บทที่ 5
เมื่อเลี้ยวรถเข้าไปในทางวิ่งไม่ไกลนัก แรนดี้ก็หยุดลงเอาเท้ายันพื้นดินไว้เพื่อทรงตัว ดอว์นซึ่งคลายใจที่ความสนใจของลูกชายมีเพียงแค่นั้นออกเดินตามไป เพราะเธอเองก็อยากจะเห็นบ้านใกล้ๆ อยู่เหมือนกัน
“ดูนั่นสิ”
ดอว์นชี้ไปยังช่องลมที่มีฝาแคบๆเปิด-ปิดได้ตรงหลังคา
“นั่นละวิธีระบายอากาศแบบโบราณของชาวคีย์ เวสท์ ยิ่งกว่านั้นมันก็ยังเป็นช่องที่ลมเย็นจะพัดผ่านเข้ามาได้ด้วย”
“จริงหรือครับ”
ดวงตาของแรนดี้เป็นประกาย ไม่ใคร่แน่ใจนักว่าแม่กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่
“จริงสิลูก”
ดอว์นยืนยันแน่นแฟ้น หันไปกวาดสายตามองตัวบ้านอีกครั้ง มันมีความปรารถนาฉายแสงอยู่ในดวงตาสีฟ้าคู่นั้น “แม่รักบ้านเก่าแบบนี้จริงๆ”
“งั้นเราก็ซื้อเสียเลยสิครับแม่”
เด็กชายเสนอความเห็นขึ้นและรีบพูดต่อก่อนที่เธอจะทันตอบ “แม่ยังบอกเลยว่าชอบบ้านหลังนี้ แล้วตอนนี้เราก็กำลังหาที่อยู่ใหม่กันด้วย”
“ใจเย็นๆก่อนลูก”
ดอว์นรู้ดีว่าคำพูดประโยคนั้นมันมีความกระตือรือร้นแฝงอยู่
“ไม่ถูกต้องเลยนะที่เราจะซื้ออะไรเพียงเพราะเราชอบมันเท่านั้น เราจะต้องรู้ราคา ต้องรู้ว่าเขามีเงื่อนไขในการจ่ายเงินยังไงด้วย ยิ่งกว่านั้นเราจะต้องรู้เสียก่อน ว่าถ้าซื้อแล้วจะต้องใช้เงินซ่อมแซมอีกมากน้อยแค่ไหน เท่าที่ดูนี่รู้สึกว่ามันจะเกินกำลังเรานะแรนดี้”
“เรื่องซ่อมแซม เราทำเองบ้างก็ได้นี่ครับแม่”
แรนดี้เสนอความเห็นอีกครั้ง
“ตาต้องช่วยเราได้แน่เลย ผมว่าแม่น่าจะเข้าไปดูงานไม้ฝีมือตาที่อยู่ในโรงรถบ้างนะครับ พนันได้เลยว่าตาต้องซ่อมทุกอย่างแน่”
“อ้าว..ก็ตาของลูกเป็นช่างไม้ที่มีฝีมือนี่จ๊ะ”
พ่อของเธอไม่เคยวางมือจากการนำแผ่นไม้มาประดิษฐ์เป็นสิ่งของต่างๆเลย มันเป็นงานที่เขาทำด้วยความชำนาญมาชั่วชีวิต
“แต่ว่าที่เราจะต้องซ่อมน่ะ มันไม่ใช่แค่งานไม้อย่างเดียวหรอก ยังมีเรื่องท่อน้ำทิ้ง เรื่องการเดินสายไฟและอะไรต่อมิอะไรอีกตั้งหลายอย่าง”
“ผมว่าแม่เพียงแค่เดาเท่านั้นละน่า”
แรนดี้พยายามใช้วิธีอื่น
“เพราะแม่เองก็ยังไม่รู้ว่าในบ้านหลังนี้ มันจะมีอะไรให้เราต้องซ่อมแซมหรือเปล่า”
“มันก็จริงอยู่หรอกนะ”
ดอว์นจำต้องยอมรับความจริงในเรื่องนี้
“แต่ถึงยังไงเราก็ไม่มีเงินมากพอที่จะเอามาซื้อบ้านที่อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมอย่างมากมายหรอก”
โดยความเป็นจริง เธอไม่อยากพูดถึงเงินที่มีอยู่ค่อนข้างจำกัด แต่แรนดี้ควรได้รับรู้ว่า การจะซื้อบ้านสักหลังมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาค่าซื้อเพียงอย่างเดียว
“แต่ถึงยังไง เราก็ยังถามเขาเพื่อหาความรู้ได้นี่ จริงไหมล่ะครับแม่?”
แรนดี้ยังไม่ลดละความพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมต่อไป
ดอว์นเริ่มเกิดความลังเลขึ้นมา ถ้าจะว่าไปแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรที่จะสอบถามหาความรู้อย่างที่แรนดี้ว่า อย่างน้อยการถาม นอกจากจะรู้ราคาบ้านที่เจ้าของตั้งไว้แล้ว ก็ยังจะได้รู้ด้วยว่า บ้านหลังนี้อยู่ในสภาพอย่างไร มันมีคำว่า “ถ้า” อยู่มากมายก่อนที่จะก้าวหน้าไปให้ไกลกว่านี้
“แม่จะลองดูก็แล้วกัน”
เธอตอบแบ่งรับแบ่งสู้และเตือนลูกชาย ว่าเสียเวลาอยู่ที่นี่กันนานเกินไปแล้ว ควรจะกลับกันได้เสียที
ที่โต๊ะอาหารค่ำวันนั้น แรนดี้ดูจะผูกขาดการคุยเรื่องที่ออกไปขี่จักรยานกับแม่ ซึ่งเท่ากับเป็นการเตือนดอว์นเป็นนัยถึงสิ่งที่เธอสัญญาไว้
“เรายังแวะดูบ้านเก่าหลังหนึ่งด้วยนะครับ”
เด็กชายหันไปบอกตา
“ผมอยากให้ตาได้เห็นบ้านหลังนั้นด้วยกันจังเลยครับ หญ้าขึ้นรกรุงรังก็จริงแต่ดอกไม้สวยมาก เพื่อนนักเรียนคนหนึ่งของแม่เคยอยู่บ้านหลังนั้นใช่ไหมครับ?”
ลูกชายดึงดอว์นให้เข้าร่วมในการสนทนาอย่างชาญฉลาด
“ก็บ้านเก่าของพวกแวน เดอ เวียร์นั่นแหละค่ะพ่อ”
ดอว์นพูดเรียบๆ ขณะตักซุปหอมกรุ่นใส่ปาก
“เออ..พ่อกับแม่พอจะรู้ไหมคะ ว่าตอนนี้ใครเป็นเจ้าของบ้านหลังนั้นอยู่?”
เธอหันไปถามมารดา
สีหน้าของริต้า เคเนดี้เครียดเคร่งขึ้นอย่างประหลาด แต่สามีของนาง ซึ่งบัดนี้เรือนผมสีแดงเข้มได้เปลี่ยนเป็นสีขาวหมดทั้งศีรษะแล้วเป็นผู้ตอบแทน
“ดูเหมือนมันจะเป็นของ..”
“ฉันว่าไม่ใช่หรอก..”
ริต้ารีบขัดขึ้นทันที จ้องตาสามีก่อนจะชำเลืองมองไปทางแรนดี้
“แนคิดว่ามีใครคนหนึ่งจากแผ่นดินใหญ่เป็นคนซื้อบ้านหลังนั้นไว้ แต่แม่มารู้ว่า เขาก็กำลังบอกขายอยู่เหมือนกันนะ ดอว์นลองถามจากบริษัทซื้อขายที่ดินดูก็ได้นี่ลูก”
“ดีค่ะ”
ดอว์นตอบเรียบๆ แต่ไม่วายสงสัยในอากัปกิริยาของมารดาที่ดูแปลกเปลี่ยนไป
“ทำไม..นี่ลูกคิดจะซื้อบ้านหลังนั้นหรือไง?”
บิดาเอ่ยถามขึ้น
“เท่าที่พ่อรู้ บ้านหลังนั้นปลูกสร้างขึ้นไว้แข็งแรงมากทีเดียว”
“ใช่ครับ”
แรนดี้รีบเสริมอย่างแข็งขัน
“สำหรับตอนนี้ก็เพียงแค่อยากรู้เท่านั้นละค่ะ”
เธอกล่าว แต่ความเป็นไปได้ก็ยังดึงดูดใจอยู่
จนเมื่อการรับประทานอาหารสิ้นสุดลงและดอว์นช่วยมารดาล้างจานอยู่ ที่ความสงสัยของเธอได้รับการยืนยัน ตอนนั้นเธออยู่เพียงลำพังกับริต้า ส่วนแรนดี้กับตาลงไปอยู่ในโรงรถแล้ว
“ใครเป็นเจ้าของบ้านแวน เดอ เวียร์นั่นกันแน่คะแม่?”
เธอเอ่ยถามขึ้นตรงๆ
“สเลเตอร์ มึไบรด์”
มารดาตอบไม่เต็มเสียง
“แม่น่ะอยากเอาอะไรยัดใส่ปากพ่อเสียจริง..บอกตั้งหลายหนแล้ว ว่าเวลาพูดเรื่องสำคัญไม่ให้พูดต่อหน้าแรนดี้ พ่อของหนูเป็นอย่างนี้ทุกที พูดแล้วถึงจะได้คิด”
“แล้วทำไมเขาถึงซื้อบ้านนั้นไว้ล่ะคะ?”
ดอว์นเอ่ยถามสิ่งที่อยู่ในความคิดออกมาดังๆ
“เขาคงถือว่าเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งละมัง”
ริต้ายักไหล่
“เขาเป็นเจ้าของที่ดินหลายแห่งอยู่หรอก ซื้อมาขายไปอยู่ตลอดเวลา ที่จริงสเลเตอร์มีความสามารถในเรื่องนี้ไม่น้อย รู้จักสร้างตัวเอง..”
นางชะงักคำพูดลงเมื่อเห็นสีหน้าลูกสาวเปลี่ยนไป
“แม่ขอโทษนะดอว์น แต่การที่หนูเลือกจะแต่งงานกับซิมป์สันแทนที่จะเป็นแม็คไบรด์ มันก็ไม่ใช่ความผิดที่ใครจะมาว่าได้นี่ แม้ว่าตอนนี้ฐานะเขาจะดีขึ้นมากแล้วก็เถอะ”
นางปลอบใจลูกสาว
“หนูรู้ค่ะ”
ดอว์นถอนหายใจยาว เมื่อมาถึงเวลานี้เธอรู้แล้วว่า ความรักเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับชีวิตมากแค่ไหน และเธอช่างโง่เขลาเพียงไรที่แต่งงานกับเงิน เพราะคิดว่าเงินเป็นสิ่งที่มีค่ากว่าความรัก แม้ว่าเธอจะพยายามหักห้ามความเสียใจที่ตัดสินใจผิดลงไป แต่ถึงอย่างไรความรู้สึกดังกล่าวก็ยังย้ำเตือนให้เกิดความอาวรณ์อยู่ไม่รู้วาย
“ตั้งแต่หนูแต่งงานไป..รู้สึกว่าสเลเตอร์ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินเป็นการใหญ่”
มารดากล่าวต่อด้วยสีหน้าและน้ำเสียงสลดลง
“เงินทุกเซ็นต์ที่เขาหามาได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เขาเอาไปลงทุนหมด ยอมเสี่ยงแม้ว่ามันจะหมายถึงหมดตัว”
นางส่ายหน้าราวสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกสิ้นหวัง
“แม่ว่า เมื่อมาถึงเวลานี้มันคงกลายเป็นนิสัยไปแล้วละมัง”
นางยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีเปลวไฟของลูกสาวแผ่วเบา เป็นกิริยาที่เตือนใจให้ดอว์นคิดถึงเมื่อครั้งยังเด็ก ยามที่ มาอยากจะปลอบโยนให้เธอหายจากความขุ่นข้องหมองใจแม่ก็จะลูบหัวอย่างนี้เสมอ
“แต่นั่นแหละ เงินมันไม่เคยทำให้เรามีความสุขขึ้นมาได้หรอก ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือเป็นตัวลูกเองก็ตาม”
“นั่นสิคะแม่”
รอยยิ้มอย่างเสียใจฉาบขึ้นตรงมุมปาก
“หนูคิดจะติดต่อเขาเรื่องบ้านหลังนั้นไหมล่ะ?”
ดอว์นไข๊อกเปิดน้ำใส่ลงในอ่างล้างจาน
“หนูว่า แรนดี้คงไม่ปล่อยให้หนูอยู่อย่างเป็นสุขจนกว่าหนูจะสอบถามเรื่องบ้านให้รู้เรื่องหรอกค่ะ”
เธอหัวเราะเบาๆ ทั้งที่ปราศจากอารมณ์ขัน
“และหนูก็คิดว่ามันเป็นข้ออ้างที่ดี ที่หนูจะติดต่อกับเขาด้วย มันก็คงเหมือนกับการที่เราเอาเท้าหยั่งอุณหภูมิของน้ำเสียก่อนที่จะจุ่มลงไปในอ่างอาบทั้งตัวละมังคะ”
“นั่นสินะ ไอ้การที่จู่ๆหนูจะเดินเข้าไปหาเขา แล้วก็เล่าเรื่องแรนดี้ให้ฟัง มันก็ออกจะยังไงๆอยู่เหมือนกัน”มารดาตอบอย่างเห็นด้วย
“นั่นเป็นเรื่องที่เราจะต้องพูดกันต่อไปค่ะ”
ดอว์นรู้ว่าตัวเองกำลังผัดวันประกันพรุ่งที่จะติดต่อกับสเลเตอร์นานเกินไปแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะถ่วงเวลาอีกต่อไป เพราะถึงอย่างไรเธอก็ต้องเผชิญหน้ากับเขาอยู่ดี แต่ปลอบใจตัวเองว่า อย่างน้อยเธอก็ยังมีเวลาคิดอีกตั้งคืน..