บทย่อ
ดอว์น เคเนดี้ สลัดสเลเตอร์ แม็คไบรด์ ชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีเทาเงิน ทิ้งบ้านในฟลอริด้า คีย์ ไปแต่งงานกับมหาเศรษฐีชาวเท๊กซัสอย่างมั่นใจ เวลาสิบเอ็ดปีผ่านไปในชีวิตสมรส สามีของเธอได้เสียชีวิตลง ดอว์นก็จำต้องเดินทาง กลับมาหาความสุขสงบที่ฟลอริด้า คีย์อีกครั้ง และเธอก็ได้พบกับเขาสเลเตอร์ แม็คไบรด์อีกครั้ง เพลิงพิศวาสที่เกือบจะมอดดับ กลับคุโพลงขึ้นอีกครั้ง...หากความปวดร้าวแต่หนหลังยังฝังแน่นอยู่ในใจเขา ดอว์นต้องทุ่มเทพลังทั้งหัวใจและจิตวิญญาณ เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าเธอพร้อมแล้วที่จะเป็นของเขาเพียงคนเดียว...ชั่วนิรันดร...แต่เธอจะทำได้สำเร็จหรือ..?
บทที่ 1
ในท่ามกลางแสงสีเหลืองทองของยามเช้าแห่งเดือนพฤษภาคม ความร้อนอบอ้าวได้เริ่มขึ้นและอุณหภูมิของอากาศในฟลอริด้า คีย์ จะต้องขึ้นไปถึงร้อยด้วยความแรงร้อนของแสงอาทิตย์ก่อนที่วันจะสิ้นสุดลง
ขณะเดียวกัน ความเงียบก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์เรือที่แล่นมาตามท้องน้ำที่เงียบสงบ เสียงนั้นทำให้นกกระทุงตัวหนึ่งโผบินขึ้นจากรวงรังที่อยู่ในระหว่างต้นโกงกางด้วยความตกใจ ปีกกว้างใหญ่ของมันกระพืออย่างรวดเร็ว ทันใด อีกสองตัวก็โผบินตามออกมา
ในยามเช้าที่เงียบสงัดนั้น ไม่มีแม้แต่สายลมอ่อน แต่ความเร็วของเรือที่แหวกไปในท้องน้ำ ฝ่าไปในท่ามกลางอากาศ ก็ยังก่อให้เกิดแรงลมที่พัดพาควันบุหรี่ที่สเลเตอร์ แม็คไบรท์ ถืออยู่ในมือ แว่นกันแดดสีดำปิดบังส่วนเสี้ยวของใบหน้า เพื่อป้องกันแสงแดดอันแรงร้อนที่สะท้อนอยู่กับพื้นน้ำ
ไม่เพียงเท่านั้น มันยังช่วยอำพรางดวงตาคู่สีเทาเข้ม ซึ่งบางครั้งยามที่มีอารมณ์ขัน มันจะเปลี่ยนเป็นประกายสีเงิน แต่บางครามันก็จะขุ่นมัวลงด้วยแววขุ่นเคือง แต่ขณะนี้สายตาคู่นั้นกำลังกวาดมองไปทั่วพื้นน้ำด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและด้วยความสนใจอย่างยิ่ง
ในท่าที่แหงนหน้าขึ้นสู้แรงลม เสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาได้สัดส่วนสมชาย นับแต่หน้าผากลาดลงมาจนถึงจมูกที่โด่งเป็นสันกับคางที่เชิดขึ้นเล็กน้อย
การใช้ชีวิตอยู่ในแถบถิ่นที่ค่อนข้างร้อน ทำให้ผิวพรรณเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลคล้ำราวสีสักทอง ริ้วรอยยับย่นปรากฏอยู่ตรงหางตา แต่กระนั้น แสงแดดก็ยังทำให้สีสันของเรือนผมสีน้ำเข้มอ่อนจางลง มันจึงแซมซ้อนอยู่ด้วยสีที่อ่อนกว่า สายลมที่พัดผ่านอยู่ตลอดเวลาทำให้เรือนผมยุ่งเหยิง บางปอยปรกลงบนหน้าผาก แต่ก็ดูจะยิ่งเพิ่มเสน่ห์แห่งความเป็นชายชาตรีให้กับเขามากขึ้น
เรือยนต์ลำนั้นแล่นผ่านเกาะเล็กๆเกาะหนึ่งใน ฟลอริด้า คีย์ ตรงแนวฝั่งคือป่าโกงกางที่รากของมันราวจะเหยียดยื่นออกมาเพื่อเขย่งให้พ้นพื้นน้ำ แต่ด้วยความเร็วของเครื่องยนต์ ทำให้เรือผ่านเกาะนั้นไปชั่วพริบตา
เมื่อทอดสายตามองตรงไปข้างหน้า สเลเตอร์ แม็คไบรด์ก็มองเห็นนกกระสาสามตัวที่กำลังหากินอยู่ใกล้แนวป่าชายเลนอันเป็นบริเวณน้ำตื้น ชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในแถบถิ่นนี้จะรู้ว่า ที่ใดมีนกกระสาที่นั่นมักเป็นบริเวณน้ำตื้นเกินกว่าที่เรือจะแล่นเข้าไปได้ ท้องเรือประมงที่คว่ำจมโคลนและตากอยู่ในแดดลม ผุพังไปตามกาลเวลา คือสิ่งที่บ่งบอกถึงความประมาทของเจ้าของเรือที่ไม่สนใจกับการหากินของนกกระสาจึงก่อให้เกิดเรื่องเศร้าขึ้น
แม้ว่าสเลเตอร์จะตระหนักชัดถึงสัญญาณอันมีความหมายจากนกเหล่านี้ดี แต่เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องบอกให้นายท้ายรู้ เพราะจีเตอร์ โจนส์ เป็น ผู้มีความชำนาญมาก ยิ่งกว่านั้นก็ยังเป็น “เพื่อนเก่า” ของครอบครัวอีกด้วย
อาชีพของจีเตอร์ โจนส์ คืการพานักทัศนาจรมาส่องปลาอยู่ในน่านน้ำแห่งนี้ ซึ่งก็ทำมานานกว่าสามสิบปีแล้ว ยิ่งกว่านั้น ในท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์ที่กึกก้อง มันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะชวนสนทนาอยู่แล้ว
ครู่ต่อมา เรือลำนั้นก็เริ่มเลี้ยวอ้อมไปทางด้านขวา มุ่งตรงไปยังร่องน้ำที่จีเตอร์ โจนส์รู้จักดี ท้องน้ำในบริเวณนี้ใสสะอาดปานแก้วผลึก สามารถมองเห็นก้นทะเลได้ ราวกับอยู่ห่างลงไปเพียงไม่กี่ฟุต จีเตอร์ โจนส์ เร่งเครื่องขึ้น เรือแหวนไปบนพื้นน้ำด้วยความเร็ว และสเลเตอร์ก็เอนหลังอย่างสบายอารมณ์ พอใจกับความเร็วของเรือและละอองฝอยของสายน้ำที่กระเซ็นขึ้นจนชุ่มไปทั้งใบหน้า
เป็นเวลากว่าร้อยปีมาแล้ว ที่มีตระกูล”แม็คไบรด์” เข้ามาอาศัยทำมาหากินอยู่ในบริเวณ”คีย์” ด้วยอาชีพทั้งที่ดีมีชื่อเสียงและที่เป็นความลับ ซึ่งก็มีทั้งทหารผ่านศึก ชาวประมงและนักขนเหล้าเถื่อน บางคนเป็นหุ้นส่วนอยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตซิการ์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างชื่อเสียงให้ฟลอริด้าไม่น้อย
ความสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์นั้น ดูจะมีอยู่ในสายเลือดของแม็คไบรด์ทุกคน จนเป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วไปว่า เพียงแม็คไบรด์พลิกฝ่ามือก็สามารถสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับงานทุกชิ้นที่พวกเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถทำอย่างเช่นบรรพบุรุษได้
ครั้งหนึ่งได้เคยมีการกล่าวขวัญถึงสเลเตอร์ แม็คไบรด์อยู่เหมือนกัน แต่มันก็เป็นเวลาเมื่อสิบปีมาแล้วและบัดนี้ทุกสิ่งก็ได้เปลี่ยนไปจนหมดสิ้นแล้วด้วย
เวลานี้เขาได้ชื่อว่าเป็นเศรษฐีคนหนึ่ง มีธุรกิจที่ดินอยู่ในคีย์ เวสท์ มีรีสอร์ตให้นักทัศนาจรพักอยู่สองแห่ง มีเรือประมงจำนวนหนึ่งให้คนเช่าหาปลา
แต่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องผู้หญิงคนที่เขารักและต้องสูญเสียเธอไป..เมื่อเธอเลือกที่จะแต่งงานกับเศรษฐีชาวเท๊กซัสมากกว่าจะไยดีเขา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น ฝากรอยแผลอันล้ำลึกไว้ในหัวใจ มันเป็นความเจ็บช้ำอย่างยากจะลืมเลือน
เมื่อเรือแล่นเข้าใกล้เวิ้งอ่าว เครื่องยนต์ก็ลดความเร็วลงจนเกือบจะปล่อยให้เรือลอยไปตามกระน้ำที่พัดพา ลมที่โบยโบกอยู่สงัดลงท้องน้ำราบเรียบราวแผ่นกระจกสะท้อนอยู่ในแสงอาทิตย์เป็นสีเดียวกับแผ่นฟ้า
“ตรงนี้ละเหมาะที่สุด”
จีเตอร์ โจนส์ ดับเครื่องยนต์ลง ในตอนช่วงปลายเดือนพฤษภาคมเช่นนี้ เป็นฤดูที่ปลาทาพันซึ่งชุกชุมมากจะเคลื่อนย้ายกันมาเป็นฝูงใหญ่ เกมการล่าปลาชนิดนี้เป็นสิ่งดึงดูดใจอย่างยิ่งและทำให้สเลเตอร์ยอมทิ้งงานทุกอย่าง เพื่อมาหาความสำราญตามแบบที่ตนชอบ ถือเป็นการพักผ่อนไปในตัว
“คิดว่ายังอยากจับปลาอยู่หรือเปล่าล่ะ?”
“หาให้สักตัวสิ เราจะได้รู้กัน”
สเลเตอร์ตอบด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า เพราะจีเตอร์ โจนส์ รู้ความสามารถในเรื่องนี้ของเขาดี
“บ่ายวานนี้พ่อเฒ่าพ็อพ เคนเนดี้ไปที่อู่ต่อเรือ..เอ๊ะ..ผมเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังหรือยัง..?”
จีเตอร์ทอดสมอเรือลงในอ่าวอย่างชำนาญแทบไม่ก่อให้เกิดเสียงขึ้นเลย
“ยัง”
สเลเตอร์ไม่เคร่งเครียดอะไรเมื่อได้ยินชื่อเคเนดี้อีกต่อไป แม้ในใจจะยังต่อต้านทำให้รู้สึกแปลบปลาบขึ้นในใจแวบหนึ่ง
คนที่เป็นไกด์เหลือบมองหน้าหนุ่มใหญ่วัยสามสิบห้าที่เขารู้จักมาตั้งแต่ครั้งยังเด็กอย่างพิจารณา รู้สึกตัวว่าจะต้องใช้คำพูดอย่างระมัดระวังมากกว่านี้ เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ไม่แคร์ต่อชีวิตอีกต่อไป แต่เป็นนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จอย่างมากคนหนึ่ง
คนที่รู้เรื่องความหลังอาจคิดว่าสเลเตอร์ลืมเลือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตเมื่อสิบเอ็ดปีที่ผ่านไปแล้ว แต่จีเตอร์ไม่อาจแน่ใจในเรื่องนี้เลย เขาเล่นโป๊กเกอร์กับชายหนุ่มผู้นี้มาหลายปี เกินกว่าจะเชื่อว่า ใบหน้าที่ราบเรียบราวไร้ความรู้สึกนี้จะไม่อำพรางอะไรไว้
ถ้าความเชื่อนั้นถูกต้อง สเลเตอร์ก็ควรจะรู้ข่าวดังกล่าวไว้ เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเผชิญหน้า..แต่ถ้าผิด..ข่าวที่เขากำลังจะเล่านี้ก็เปรียบเสมือนหยดน้ำที่กลิ้งอยู่บนหลังเป็ด ย่อมไม่มีความหมายอะไรเลย
“พ่อเฒ่าพ็อพลงไปคุยโวโอ้อวดอยู่ที่นั่น เห็นเขาบอกว่าดอว์นกำลังจะกลับมาอยู่บ้านนี่ เขาก็เลยจะพาหลานชายไปเที่ยวดูอะไรต่อมิอะไรแล้วก็แนะนำให้รู้จักกับพวกเพื่อนๆด้วย”
จากปลายหางตา จีเตอร์ โจนส์ทันสังเกตเห็นสเลเตอร์ตวัดสายตาคมปลาบมองมาทางเขาแวบหนึ่ง แต่สีหน้าไม่ได้บอกความรู้สึกอะไรเลย
“ผมว่าพ็อพคงภาคภูมิใจในตัวลูกสาวมากละมัง”
สเลเตอร์ออกความเห็นกลางๆ ยังไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมาเมื่อได้ยินข่าวนั้น
แต่ในใจเขากำลังนึกด่าตัวเองที่จิตใจช่างโหดร้ายนัก มันไม่ยอมให้เขาลืมความหลังได้เลย ถ้าเพียงแต่เขาจะหลับตาลง เขาจะต้องรำลึกนึกถึงกลิ่นหอมของดอกพุดซ้อนที่อบอวลอยู่บนเรือนผมสีแดงแกมทอง ความรู้สึกเจ็บใจขึ้นมาอัดอั้นอยู่ในลำคอ
ดอว์นบอกว่าเธอรักเขา แต่เธอก็เลือกแต่งงานกับเงิน ตอนนั้นเขายังเป็นคนหนุ่มที่ไม่มีอนาคตและสิ่งที่เธอต้องการ มันก็มากกว่าความรัก เมื่อมาถึงเวลานี้เขาไม่ได้ประณามเธออย่างตอนนั้นแล้ว แต่มันก็ไม่ช่วยให้เขาคลายความเจ็บใจกับการตัดสินใจของเธออยู่ดี
“คุณคงรู้แล้วสินะ ว่าสามีดอว์นตายได้สักเดือนแล้ว”
จีเตอร์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ก็ได้ยินข่าวอยู่เหมือนกัน”
สายตาของเขาจับอยู่กับพื้นน้ำ ราวกับรอเวลาที่ปลาทาพันจะโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำให้เห็น แต่เขากลับเหมือนไม่เห็นอะไรเลย
“เธอกลับมาครั้งนี้ในฐานะเศรษฐินีม่าย จะมาด้วยเรือยอร์ทช์หรือเครื่องบินเจ็ท”
หางเสียงนั้นเยาะหยันแม้เขาจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้อย่างดีแล้วก็ตาม
“ไม่เห็นพ็อพพูดอะไรถึงเรื่องนั้นนี่”
จีเตอร์ตอบไปตามความจริงเมื่อเอ่ยถึงพ่อของดอว์น
“ผมมีความรู้สึกตลอดเวลาเลยนะว่า สามีของดอว์นไม่ชอบให้เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทางครอบครัวเท่าไหร่นัก คล้ายกับพ่อแม่ของดอว์นไม่ใช่คนชั้นเดียวกันกับเขาอย่างนั้นละ ทั้งที่ตัวเองก็แต่งงานกับลูกสาวเขา..แต่หลังจากแต่งงานแล้วก็ไม่เคยพามาเยี่ยมบ้านเลย”
จะอย่างไรก็ตาม สเลเตอร์ออกจะดีใจไม่น้อยที่เมื่อดอว์นจากไปแล้ว เธอก็ไม่ได้หวนกลับมาอีก ครั้งหนึ่งเขาเคยบังเกิดความหึงหวงอย่างรุนแรง เมื่อคิดเลยเถิดไปถึงว่า เธอนอนอยู่ในอ้อมแขนของซิมป์สัน ลอร์ด ทั้งที่เคยอยู่ในอ้อมแขนเขามาก่อน
ความเจ็บร้าวยังคงอยู่ ทุกครั้งที่นึกถึงคืนสุดท้ายที่เขากับเธอนอนร่วมเตียงเดียวกัน ฝากฝังความรักความใคร่ให้แก่กันจนรุ่งสาง ครั้งกระนั้นเขามั่นใจอย่างเหลือเกินว่า เมื่อดอว์นรักเขามากมายถึงเพียงนั้น เธอจะไม่ยอมจากเขาไปง่ายๆแน่
แต่กระนั้นเธอก็ยังลุกขึ้นแต่งตัวและสวมสอดแหวนเพชรลงในนิ้วนางข้างซ้าย เป็นการยืนยันถึงความตั้งใจว่าเธอเลือกที่จะแต่งงานกับมหาเศรษฐีชาวเท๊กซัสผู้นั้น ทั้งที่เธอไม่ได้รักเขาเลย