บทที่ 2
สเลเตอร์สร้างความเชื่อให้กับตัวเองว่า เป็นเพราะดอว์นเพิ่งอายุสิบแปด วัยสาวรุ่นย่อมจะหลงใหลกับของกำนัลและความสนใจที่ซิมป์สัน ลอร์ด ทุ่มเทให้เธออย่างไม่หยุดยั้ง สเลเตอร์ยอมรับว่าเขาแค้นใจเป็นที่สุด เมื่อเธอเลือกแต่งงานกับเงินมากกว่าความรัก คำพูดของเธอในตอนเช้าวันนั้นยังก้องอยู่ในหู
“ฉันตัดสินใจมานานแล้วว่า ถ้ามีโอกาสแต่งงานเมื่อไหร่ฉันจะเลือกแต่งกับคนรวย แต่ถ้าจะต้องแต่งงานใหม่เป็นครั้งที่สอง ฉันจะเลือกแต่งกับความรัก”
ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ที่เขาบอกตัวเองให้ตัดใจจากเอเสีย แต่เขาก็ไม่อาจตัดความรักความต้องการในตัวเธอได้เลย
ดอว์น..ผู้มีเรือนผมสีแดงแกมทอง ราวสีแสงแห่งดวงตะวัน ดวงตาคู่สีเขียวแกมฟ้านั้นไม่ได้ต่างไปจากสีแห่งท้องทะเล ดังนั้นเธอจึงเป็นทั้งดวงตะวันและท้องทะเลสำหรับเขา เป็นทั้งสิ่งที่สูงสุดและล้ำลึกเกินจะหยั่งได้
บัดนี้เธอได้กลับมาแล้วในฐานะเศรษฐินีม่าย สันกรามของเขานูนเด่นขึ้น อยากรู้นักว่าเธอจะกลับมาเรียกร้องความรักที่เธอเคยเขี่ยทิ้งอย่างไม่ไยดีอีกหรือไม่ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็บังเกิดความชิงชังในตัวเธอขึ้นมาอย่างรุนแรง
เธอคงคิดละสิว่าเขายังต้องการเธออยู่ทั้งที่เวลาผ่านมานานแสนนานแล้ว ดอว์นคิดหรือว่าถ่านไฟเก่าที่มอดดับไปนานแล้วจะคุโพลงขึ้นเป็นเปลวไฟที่ร้อนแรงและลวกลามเผาไหม้ทั้งเขาและเธออีกครั้ง ความแค้นใจแผ่ซ่านไปทั่วเรือนกาย
“เขาจะมาอยู่นานสักเท่าไหร่ล่ะ?”
สเลเตอร์ถามห้วนๆ
“ก็ไม่ได้ยินพ็อพพูดถึงเรื่องนั้นเหมือนกันนะ แต่เขาคงไม่คิดว่าลูกสาวจะอยู่นานสักเท่าไหร่นักละมัง คงจะอยู่แค่สองสามวันเท่านั้นละ”
จีเตอร์ยักไหล่อย่างไม่รู้สึกยินดียินร้าย
“ในเมื่อดอว์นมีเงินออกอย่างนั้น มันก็ย่อมมีสถานที่ต่างๆให้เขาได้ไปเที่ยวชม ดีหว่าจะมาหมกตัวอยู่ในคีย์ เวสท์ตอนฤดูร้อนนี่เป็นไหนๆ”
“นั่นสินะ..”
สเลเตอร์คล้อยตามห้วนๆ สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมตัวเองไม่รู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินคำตอบนั้น
“ดูนั่น..”
จีเตอร์ร้องบอกพร้อมกับชี้มือไปข้างหน้า
“เห็นมันหรือยังล่ะ?”
สเลเตอร์ก็มองดูอยู่เหมือนกัน..เพียงแต่ไม่เห็น..
“ยัง..”
เขายืดคอชะเง้อมองดูพื้นน้ำที่หมุนวนเป็นวงกว้าง ทันเห็นกระโดงของปลาทาพันที่ลอยขึ้นมาพ้นพื้นน้ำก่อนจะกลิ้งตัวหายไปจากสายตา
“รู้สึกว่ายังมีอีกตัวหนึ่งนะ”
“สงสัยจะฝูงใหญ่ทีเดียวนะนี่”
จีเตอร์ขยับเรือเข้าไปใกล้
“เห็นไหม..ผมบอกคุณแล้วว่ามันต้องอยู่ตรงนี้..”
“ใช่..จริงๆ เสียด้วย..”
เขาก้มลงมองพื้นน้ำสังเกตเห็นแนวหินโสโครก จึงตรวจสอบอุปกรณ์ที่ใช้ในการตกปลาอีกครั้ง เพื่อความแน่ใจว่าสายเบ็ดไม่ได้ตึงจนเกินไป เขารออยู่ขณะที่จีเตอร์วาดพาย พาเรือเข้าไปใกล้ พยายามตั้งสมาธิอยู่กับงานตรงหน้า แม้คันเบ็ดจะอยู่ในมือ แต่ความตื่นเต้นที่จะได้ใช้ความสามารถพิเศษที่มีอยู่ เพื่อจับปลาใหญ่ขนาดนี้ได้เลือนหายไปแล้ว ความสนุกกับกีฬาโปรดหมดสิ้นไปเมื่อมีการพูดถึงดอว์น..!
เมื่อเรือเข้าไปใกล้มากพอที่จะเหวี่ยงเบ็ดลงได้ สเลเตอร์ก็เหวี่ยงมันลงด้วยสัญชาตญาณมากกว่าจะตั้งใจ แต่กระนั้นเบ็ดก็ยังไปลงในตำแหน่งที่ถูกต้อง เรือยนต์ลำที่เขาโดยสารมาอยู่ห่างจากฝูงปลาไม่มากนัก
ปลาตัวหนึ่งงับเบ็ดเข้าเต็มที่ มันบิดตัวเป็นเกลียวตอนที่โผนขึ้นจากพื้นน้ำ กระโดงสีเงินตัดกับสีครามของท้องฟ้า มันเป็นปลาที่มีลำตัวขนาดใหญ่มาก แต่สเลเตอร์กลับไม่รู้สึกชื่นชมยินดีกับความสามารถของตัวเองในครั้งนี้เลย ทันใด สายเบ็ดก็หย่อนลง เบ็ดหลุดออก
“มันหลุดไปได้แล้ว”
เสียงจีเตอร์ร้องอย่างเสียดาย
“ถ้าตัวใหญ่มากๆมันก็มักจะหลุดไปได้ยังงี้เสมอละ”
สเลเตอร์พูดอย่างไม่ยินดียินร้าย ซึ่งในสายตาจีเตอร์ดูเขาจะผิดปกติไปมาก
เขาไม่ได้ตั้งใจจะเปรียบเทียบการสูญเสียปลาทาพันตัวที่ติดเบ็ดกับดอว์นเลย แต่ถึงอย่างไรทั้งสองกรณีก็ดูจะคล้ายคลึงกันอยู่ คือเริ่มต้นด้วยดีแล้วก็สลัดทิ้งในตอนจบ ทั้งที่เขาแน่ใจว่าสามารถดึงมันเข้ามาอยู่ใกล้ตัวได้แล้ว ซึ่งในที่สุดเขาก็ถูกทิ้งไว้กับความเจ็บช้ำและอาวรณ์
บลูยีนสีน้ำเงินอ่อนจางตัวนั้น เนื้อผ้าอ่อนนุ่มลงเนื่องจากผ่านการนุ่งมาหลายครั้งจนเหลือจะจำ แต่สภาพที่ค่อนข้างหลวมบอกให้รู้ว่าเธอผอมลงกว่าเดิมทั้งที่เป็นคนรูปร่างแบบบางอยู่แล้ว รองเท้าบู๊ทสีเนื้อที่สวมใส่อยู่เป็นรองเท้าหนังแท้ตัดเย็บด้วยมือ ส่วนเสื้อสีเหลืองบุษราคัมเข้มที่สวมใส่ก็ตัดเย็บด้วยผ้าไหมเนื้อดี
ดอว์น ลอร์ด เคเนดี้ ยืนอยู่เบื้องหลังประตูมุ้งลวด มองดูพ่อที่กำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานอยู่กับลูกชายของเธอ ซึ่งเป็นหลานชายคนเดียวของพ่อ ดูเหมือนพ่อกำลังใช้ความพยายามอย่างมากที่จะทำเวลาให้ทันกับช่วงเวลาถึงสิบปีที่สูญหายไป แรนดี้โตขึ้นมาโดยไม่เคยเห็นหน้าค่าตาทั้งคุณตาและคุณยายเลย
ความคิดดังกล่าวสร้างความเจ็บปวดให้เกิดขึ้น มันเป็นความเจ็บปวดที่เกิดจากความรู้สึกละอายใจที่เธอไม่มีโอกาสได้เดินทางกลับมาคีย์ได้ และเพราะความรักในศักดิ์ศรีนั่นเอง ที่ทำให้ทั้งพ่อและแม่ ไม่ยอมรับเงินค่าเครื่องบินที่เธอส่งมาให้ เพื่อให้เดินทางไปเยี่ยมเธอในเท๊กซัส
ขณะสายตาจับอยู่ที่ลูกชาย มันก็มีแววแห่งความยุ่งยากใจปรากฏขึ้นในดวงตาคู่สีฟ้าเข้มของเธอ ในวัยสิบขวบ แรนดี้ทั้งตัวสูง เรือนผมสีเข้มยุ่งเหยิงไม่เคยหวีให้เรียบได้เลย และในแววตาของหนุ่มน้อย บ่อยครั้งที่มันแสดงออกถึงความสับสนไม่แน่ใจมากกว่าจะมีความสุข
แต่ขณะนี้มันกำลังเต็มไปด้วยประกายความตื่นเต้น เมื่อแรนดี้สามารถบังคับให้ตาทำอะไรบางอย่างได้
“แม่ครับ”
เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองมาทางประตูมุ้งลวดและเห็นเธอที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“ตากับผมจะไปเดินเล่นกันนะครับ”
“โอเค..”
เธอตอบรับการบอกกล่าว หัวแม่มือยังเกี่ยวอยู่กับห่วงเข็มขัดที่คาดทับกางเกงยีนไม่ได้โบกมือล่ำลาขณะที่ตาหลานเดินออกไปด้วยกัน
“ตา..”
เสียงแม่พูดขึ้นทางด้านหลัง ย้ำสรรพนามนั้นด้วยน้ำเสียงที่บอกความปีติยินดี
“แม่ว่าพ่อคงคลำกระดุมเสื้อวุ่นวายเลยละ ถ้าแรนดี้เรียกเขาอย่างนั้นต่อหน้าพวกเพื่อนๆ เขาเที่ยวเอารูปหลานชายอวดใครต่อใครตั้งแต่แรนดี้เกิดแล้ว ตอนนี้ได้ของจริงมาเลยดีใจใหญ่”
“นั่นสิคะ”
ดอว์นตอบรับเสียงเบา เหลือบตามองแม่ที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างตัว
“ไม่รู้ว่าใครอยากจะพาใครไปเดินเล่นกันแน่”
แม่พูดต่อด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ
“หนูเข้าใจค่ะ ว่าที่แม่พูดหมายความว่ายังไง”
ดอว์นถอยห่างออกมาจากประตู เธอรู้ว่าใครเป็นต้นคิดเรื่องนี้ เพราะรู้ดีว่าแรนดี้ตื่นเต้นมากที่จะได้เที่ยวชมและสำรวจเมืองให้ทั่ว ซึ่งความอยากรู้นั้นเองที่สร้างความกังวลใจให้กับเธออยู่
“ยังมีพายมะนาวเหลืออีกชิ้นหนึ่งแน่ะ แน่ใจนะว่ายังไม่อยากกิน”
แม้ถามเรรื่องนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว
“คอยดูเถอะ..ตอนกลับมาทั้งตาทั้งหลานต้องแย่งกันกินแน่”
“ไม่ละค่ะ ท้องแน่นจนไม่มีที่ว่างจะใส่อะไรลงไปได้อีกแล้ว”
เธอยกมือขึ้นลูบท้อที่อ่มตื้อด้วยอาหารฝีมือมารดา
“กินมากๆ อ้วนตายเลย”
ริต้า เคเนดี้ กวาดสายตามองรูปร่างลูกสาวอย่างพิจารณา
“แม่ว่า หนูยังอ้วนได้อีกเยอะเชียวละ”
แต่ดอว์นไม่ได้ตอบคำพูดประโยคนั้นของมารดา
“หนูขอกาแฟดีกว่าค่ะ ยังเหลือใช่ไหมคะ?”
ดอว์นขยับจะเดินเข้าไปในครัว แต่มารดายับยั้งไว้
“นั่งเถอะ เดี๋ยวแม่ไปเอาให้เอง”
ดอว์นขยับปากจะทักท้วง แต่รู้ว่ามันไม่มีความหมายสำหรับแม่ เพราะแม่พร้อมที่จะเอาใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วและเธอก็ไม่อยากทำให้แม่เสียใจ เพราะรู้ว่านั่นคือความสุข แม้ว่าแม่จะต้อนรับการกลับมาของเธอด้วยอาหารรสเลิศ แต่กระนั้นนางก็ยังคิดว่า ดอว์นควรจะได้รรับในสิ่งที่ดีกว่านี้ การ “ดีกว่า” ที่ว่านั้น มันเป็นมาตรฐานที่ใครตั้งขึ้นเล่า..?
ดอว์นทรุดตัวลงนั่ง วางมือลงบนโต๊ะ มือที่ประสานกันบีบกระชับ มันเป็นปฏิกิริยาที่แสดงออกถึงความหวั่นไหวในใจ
ริต้า เคเนดี้ เฝ้าจับสังเกตความเปลี่ยนแปลงในทุกอิริยาบถของลูกสาว..นับแต่พิธีฝังศพลูกเขยเสร็จสิ้นลง พฤติกรรมของดอว์นเปลี่ยนไปมาก ผ่ายผอมลงกว่าเดิม แม้ว่าแววแห่งความยุ่งยากในดวงตาอาจแปลความหมายได้ว่า เธอยังโศกเศร้าเสียใจกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของสามี แต่ริต้าไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริง
นางรินกาแฟใส่ลงในถ้วยกระเบื้องเคลือบทั้งกับของดอว์นและตัวเอง เมื่อวางถ้วยหนึ่งลงตรงหน้าลูกสาวนั้น ริต้าก็อดแปลกใจไม่ได้ ที่นางได้ให้กำเนิดหญิงสาว ผู้มีความสวยล้ำเลิศอย่างยากที่จะใครเปรียบได้คนนี้
นางดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งออกและทรุดตัวลงนั่ง รู้สึกยินดีอย่างยิ่งถ้านางจะสามารถช่วยเหลืออะไรลูกสาวไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามได้ ดอว์นเป็นลูกสาวที่มีทุกสิ่งพรั่งพร้อม ไม่ว่าจะเป็นความสวย ความมั่งคั่งและสถานะทางสังคม
“แม่รู้นะว่าหนูมีเรื่องกลุ้มใจ”
ริต้าเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน
“อยากเล่าให้แม่ฟังบ้างไหม?”
ดอว์นเหลือบตามองหน้ามารดาอย่างแปลกใจและขอบคุณระคนกัน รอยยิ้มอ่อนๆฉาบขึ้นบนเรียวปาก
“แม่คะ หนูเพิ่งกลับมาถึงบ้านแค่สองชั่วโมงเท่านั้น หนูว่าเราอย่าเพิ่งเอาเรื่องอื่นมาคุยกันเลย ไว้พรุ่งนี้ก็ยังได้ ตอนนี้เราคุยเรื่องที่มันสบายใจก่อนจะดีกว่า”
เธอรู้ว่ามันออกจะไม่ยุติธรรมเท่าไร ที่พอกลับมาถึงบ้านก็เอาเรื่องเดือดร้อนมาเล่าให้พ่อแม่ได้ร่วมรับรู้
“หนูเอาเครื่องเพชรไปเก็บไว้ที่ไหนเสียล่ะ?”
ริต้าซึ่งจับตามองนิ้วที่ว่างเปล่าของลูกสาวเอ่ยถามขึ้น
“ทำไมไม่สวมแหวนแต่งงาน ดูเหมือนแม่จะเคยเห็นแหวนเพชรเดี่ยวเม็ดเขื่องอยู่วงหนึ่งไม่ใช่หรือ?”
ดอว์นกำหูถ้วยกระเบื้องเคลือบแน่น ราวจะซ่อนมือไว้จากสายตาของแม่ รู้สึกอยู่เหมือนกันว่าเมื่อไม่มีแหวนสวมอยู่ นิ้วนางข้างซ้ายก็ดูเบาอย่างประหลาด แต่แล้วเธอก็ถอนใจออกมา
“หนูขายไปแล้วละค่ะ”