บทที่ 3
ความเงียบตกลงปกคลุมบรรยากาศในห้องนั้นไว้ ก่อนที่ริต้าจะเอ่ยถามต่อ ด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความตกใจ
“อ้าว..ทำไมล่ะ?”
“ก็เพราะว่าหนูต้องการเงินน่ะสิคะ”
ดอว์นยิ้มน้อยๆ พยายามอำพรางความรู้สึกหลากหลายไว้
“นี่หนูพูดอะไรแม่ไม่เข้าใจเลย”
คราวนี้ ริต้า เคเนดี้แสดงความสงสัยออกมาอย่างไม่ปิดบังและโดยไม่รอฟังคำตอบของลูกสาว นางก็สรุปเอาตามความเข้าใจของตัวเองว่า..
“หรือว่าซิมป์สันเกิดหมดตัวขึ้นมา เพราะเหตุนี้ใช่ไหมที่ทำให้เขาตายด้วยโรคหัวใจ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะแม่”
ดอว์นตอบเรียบๆ
“อาการโรคหัวใจของเขา มันน่าจะเกิดขึ้นเพราะเขาออกกำลังบริหารร่างกายหักโหมเกินไป แล้วก็ชอบเล่นเทนนิสกลางแดดมาก แม่ก็รู้ว่า อากาศตอนบ่ายในฮิวสตันน่ะ แดดมันแรงขนาดไหน ส่วนเรื่องทรัพย์สินของเขาน่ะ หนูว่าคงไม่มีมีรู้ตัวเลขที่แน่ชัดหรอกนะคะว่ามันสักเท่าไหร่ แต่ก็กว่าสิบล้านนั่นแหละ”
“แม่ยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่เลย”
ริต้เอนหลังลงพิงพนักเก้าอี้จับตามองหน้าลูกสาวอยู่
“ก็ในเมื่อเขารวยขนาดนั้นแล้วทำไมหนูยังต้องหาเงินทางอื่นอีกล่ะ?”
“เรื่องมันง่ายค่ะ”
ดอว์นจับตาอยู่กับน้ำสีดำในถ้วยตรงหน้า
“เพราะว่าซิมป์สันเขาไม่ได้ยกมรดกให้หนูเลยน่ะสิคะ นั้นเป็นความจริงอย่างที่สุด”
“แต่..”
ผู้เป็นมารดาถึงกับนิ่งอึ้งไป
“แต่..ว่าหนูเป็นเมียเขานะ อย่างน้อยหนูก็ควรจะต้องมีส่วนในทรัพย์มรดกของเขาบ้าง”
“อันที่จริงหนูก็น่าจะคัดค้านพินัยกรรม เรียกร้องเงินค่าเลี้ยงดูตลอดชีวิตในฐานะที่เป็นเมียเขาได้”
ดอว์นตอบไปตามความจริง
“แต่หนูไม่ทำอย่างนั้นหรอกค่ะแม่ ซิมป์สันเขาระบุไว้ในพินัยกรรมแล้วว่า หนูจะได้รับเงินค่าครองชีพปีละหมื่นห้าพันเหรียญ จนกว่าแรนดี้จะบรรลุนิติภาวะหรือไม่หนูก็แต่งงานใหม่ หนูคิดว่าเขาคงกลัวว่าหนูจะเอาเงินทองไปใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย หรือไม่ก็เอาไปบริจาคการกุศลต่างๆละมังคะ..”
แม้เธออยากจะให้มันเป็นคำพูดแบบติดตลกแต่ริต้าก็ไม่ได้รู้สึกนึกขันตามไปด้วย
ดอว์นรู้อยู่แก่ใจ ว่าจริงๆแล้วซิมป์สันมีเหตุผลอื่นที่ดีกว่านั้น
“ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ยุติธรรมอยู่ดี”
ริต้าค้านอย่างไม่พอใจ
“หนูแต่งงานอยู่กินกับเขาตั้งสิบเอ็ดปีเชียวนะ”
“ใช่ค่ะ แต่เราทั้งสองคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจนี่คะ ว่าที่หนูยอมแต่งงานกับเขาก็เพื่อเงิน ซิมป์สันเองก็รู้เรื่องนี้ เพียงแต่เขามีความคิดว่า ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่เรื่องนั้นมันไม่ได้สำคัญอะไรเลย”
เธอยกกาแฟขึ้นจิบ
เธอไม่ได้เสียใจแม้แต่น้อยที่เขาตัดสินใจระบุไว้ในพินัยกรรมเช่นนั้น ซิมป์สันมีเหตุผลมาพอที่จะทำอย่างนั้นได้
“ถ้าจะว่าไปแล้ว ตลอดเวลาที่อยู่กินด้วยกัน เขาก็ให้ความสุขหนูทุกอย่าง จนในที่สุดเขาก็ทำให้หนูแคร์เขาได้และถึงขั้นที่จะรักเขาขึ้นมาบ้าง บอกตามตรงนะคะแม่ ว่าหนูเองก็พยายามจะเป็นเมียที่ดีของเขามาโดยตลอด หนูเป็นหนี้บุญคุณเขาไม่น้อยเลย”
“หนูเองก็ยังสาวอยู่มาก”
ผู้เป็นมารดามองหน้าเธออย่างรักใคร่ เอื้อมมากุมมือบีบแรงๆอย่างให้กำลังใจ แม่ทุกคนย่อมมองเห็นลูกสาวของตนดีกว่าคนอื่นเสมอ
“นั่นไม่ใช่ข้ออ้างหรอกค่ะแม่”
ถ้าเธอจะไม่ได้รับความรู้สึกอะไรมาก่อน ตลอดเวลาสิบเอ็ดปีที่ผ่านมา มันก็ได้สอนให้เธอได้ตระหนักในสิ่งหนึ่ง ว่ามนุษย์นั้นมีความเห็นแก่ตัวสูงมาก ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ต้องรับทุกข์เพราะความทะเยอทะยาน ความเห็นแก่ตัวนั่นมาแล้ว รวมทั้งตัวเธอเองด้วย
“ตอนนี้หนูก็มีโอกาสเริ่มต้นใหม่แล้ว”
“แล้วหนูคิดจะทำอะไรต่อไปล่ะลูก”
ริต้าถามด้วยความห่วงใย อยากจะช่วยลูกแต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร
“ยังไม่รู้เลยค่ะ”
ดอว์นลุกขึ้นจากโต๊ะ ยกมือขึ้นกอดอกไว้ราวเกิดความหนาวเยือกเย็นขึ้นในใจ เดินช้าๆไปหยุดอยู่ตรงมุ้งลวดอีกครั้งเอี้ยวหน้ามาทางแม่
“ของกำนัลต่างๆ ที่ซิมป์สันซื้อหาไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเพชร เสื้อขนสัตว์ราคาแพง มันเป็นสมบัติส่วนตัวที่หนูจะเก็บไว้ได้ แต่หนูคิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกต่อไปแล้วก็เลยขายไปหมด ได้เงินมากว่าห้าหมื่นเหรียญ อย่างน้อยมันก็มากพอที่จะซื้อบ้านเล็กๆสักหลัง”
“ที่ไหนล่ะ?”
เธอประสานสายตาอยู่กับมารดาเป็นครู่ก่อนจะเมินหลบ
“ตอนแรกหนูก็คิดว่าจะอยู่ในเท๊กซัสต่อไป เพื่อที่แรนดี้จะได้ไม่ต้องย้ายโรงเรียน ไม่ต้องหาเพื่อนใหม่”
สีหน้าของเธอเครียดขรึมกว่าเดิม
“แต่แม่ก็คงจำสุภาษิตเก่าๆ ได้นะคะว่า..เมื่อคนเราหมดเงินก็หมดเพื่อน ไม่มีใครเขาอยากรู้จักเราหรอก”
เธอเปล่งเสียงหัวเราะเบาๆอย่างชอกช้ำใจ
“พอใครๆ เขารู้ว่าหนูเป็นแม่ม่ายที่สิ้นเนื้อประดาตัว แม่คงจะต้องแปลกใจทีเดียวนะคะถ้าหนูจะบอกว่า จู่ๆ เพื่อนที่เคยคบหากันอยู่ก็หายหน้าไปหมด หนูกลายเป็นคนไม่มีเพื่อนไปเกือบจะในทันที ไม่ใช่แต่หนูหรอกค่ะ..แรนดี้ก็เหมือนกัน เพราะเหตุนี้ไงคะ หนูถึงตัดสินใจทิ้งเท๊กซัสมา..เพราะเห็นแก่แรนดี้นั่นแหละ”
“แล้วแรนดี้ล่ะ แกรับสถานการณ์แบบนั้นได้ด้วยหรือ?ไม”
สีหน้าของริต้าบอกความร้อนใจ สัมผัสความชอกช้ำความเจ็บปวดที่เกิดกับลูกสาวได้ ราวกับเป็นความรู้สึกของตัวเอง
“มันก็พูดยากนะคะแม่”
ดอว์นถอนหายใจ ทอดสายตาเหม่อมองออกไปภายนอก
“แรนดี้เป็นเด็กที่ค่อนข้างจะเก็บความรู้สึก เพราะฉะนั้น บางครั้งแม้แต่หนูเองก็ยังไม่รู้เลยว่าแกคิดอะไร ตอนที่ซิมป์สันตายใหม่ๆ แกเสียใจมากค่ะที่เพื่อนๆไม่ยอมคบหาด้วย หนูคิดว่าแกคงสับสนแล้วก็สิ้นหวังอยู่ในใจ”
“แล้วซิมป์สันเขาไม่..เอ้อ..”
“เปล่าเลยค่ะ เมื่อสองปีก่อนซิมป์สันเขาฝากเงินไว้ในธนาคารจำนวนหนึ่งเพื่อการศึกษาของแรนดี้ แต่นอกจากนั้นแล้ว เขาก็ไม่ได้ให้อะไรแกเลย”
ดอว์นรู้สึกเจ็บร้าวอยู่ในลำคอ พยายามต่อสู้กล้ำกลืนความรู้สึกหลากหลายที่พรั่งพรูขึ้นมาพร้อมกันลงไว้ ซุกมือลงในกระเป๋ากางเกงยีน
“ที่จริงหนูก็ดีใจอยู่เหมือนกันนะคะแม่ ที่ซิมป์สันมายืนยันให้หนูบอกความจริงกับลูกตั้งแต่แกยังเล็ก ถ้าหนูไม่ทำตามที่เขาแนะนำ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแรนดี้จะยอมรับได้ เวลานี้หนูสบายใจค่ะแม่ที่แรนดี้รู้เรื่องส่วนตัวของแกมานานแล้ว รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ๆของซิมป์สัน”
ดอว์นสำนึกในบุญคุณของอดีตสามีผู้ล่วงลับไม่น้อย ที่เขาดีต่อลูกชายของเธอเหลือเกิน แม้ว่าเขาจะไม่ได้รักแรนดี้อย่างพ่อที่รักลูก แต่กระนั้นเขาก็ให้ความเมตตาแก่แรนดี้มาโดยตลอด ความรักในสายเลือดอันรุนแรง ทำให้ซิมป์สันไม่เต็มใจที่จะรับแรนดี้เป็นบุตรบุญธรรม ขาได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วว่า จะต้องเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์เป็นทายาทในกองมรดกได้
“แล้วแรนดี้รู้หรือเปล่า ว่าพ่อแท้ๆของแกเป็นใคร..?”
ริต้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเกรงใจ
ดอว์นหันหลังจากประตูช้าๆ เดินกลับมาที่โต๊ะทิ้งตัวลงนั่งในเก้าอี้
“รู้ค่ะ แกเอ่ยปากถามหนูเอง หนูก็เลยเล่าให้ฟัง เพราะคิดว่าแกมีสิทธิ์ที่จะรู้จักชื่อพ่อที่แท้จริง”
น้ำเสียงที่เล่าราบเรียบไม่บอกความรู้สึกใดๆ เลย
“นั่นสินะ”
แม้ริต้าจะคล้อยตามแต่ความรู้สึกกังวลใจก็ยังรบกวนอยู่
“จริงๆ แล้วแรนดี้ก็ไม่ได้พูดเอ่ยถามออกมาตรงๆหรอกค่ะ แต่หนูรู้ว่าแกอยากให้เราย้ายมาอยู่คีย์ เวสท์นี่ แกอยากรู้เรื่องพ่อ เพราะอย่างนั้นไงคะที่ทำให้แกอยากจะออกไปเดินเล่นกับพ่อ แกคิดเอาเองว่า สักวันหนึ่งแกอาจบังเอิญได้พบกับสเลเตอร์หรือไม่ก็อาจจะได้เห็นเขาบ้าง แรนดี้อยากมีพ่อมาก ตอนที่ซิมป์สันยังมีชีวิตอยู่มันก็ไม่สู้กระไรหรอก เพราะแรนดี้แกล้งยอมรับว่าเขาเป็นพ่อได้ แต่เมื่อมาถึงตอนนี้..”
“แล้วหนูคิดจะย้ายมาอยู่ที่นี่จริงๆหรือเปล่า?”
ริต้าไม่กล้าพอที่จะหวังว่าดอว์น ลูกสาวคนเดียวจะตัดสินใจกลับมาอยู่ที่นี่ จะได้เห็นหน้ากันตลอดไป อย่างที่นางอยากให้เป็นมานานแล้ว
“มันก็ต้องขึ้นอยู่กับ..”
“กับอะไร..?”
“สเลเตอร์ค่ะ”
ดอว์นตอบสั้นๆ ยกมือเรียวงามขึ้นเสยพวงผมสีแดงแกมทอง อย่างจะอำพรางความรู้สึกหวั่นไหวที่กำลังเกิดขึ้นอยู่
“หนูจะเล่าเรื่องแรนดี้ให้เขาฟังอย่างนั้นหรือ?”
หลังจากดอว์นปิดปากเรื่องนี้อย่างสนิทมาเป็นเวลาหลายปี ริต้าก็อดแปลกใจในความเปลี่ยนแปลงทางความคิดของลูกสาวไม่ได้
“เขาเองก็มีสิทธิ์จะรู้เหมือนกันนะคะแม่”
น้ำเสียงนั้นราวจะแก้ตัว
“อันที่จริงหนูน่าจะบอกเขาก่อนหน้านี้นะ”
ผู้เป็นมารดาพูดอย่างไม่เห็นด้วย
“ไม่ได้ค่ะ”
ดอว์นตอบปฏิเสธออกไปทันที แต่แล้วเมื่อคิดได้ว่า สิ่งที่มารดาพูดนั้นมันเป็นความหวังดี ใบหน้าที่เชิดอยู่ลดต่ำลง
“ค่ะแม่..ที่จริงหนูน่าจะบอกให้เขารู้เสียตั้งแต่ตอนนั้น แต่หนูโง่ที่คิดว่าตัวเองจะแก้ไขสถานการณ์ได้”
“คนวัยรุ่นก็ต้องคิดอะไรแบบนั้นด้วยกันทั้งนั้นละลูก”
ริต้าพูดเสียงเบาอย่างเห็นใจ
“หนูจำเป็นจะต้องบอกให้สเลเตอร์รู้ ส่วนการที่เขาจะต้องรับเรื่องนี้ยังไง จะเป็นสิ่งตัดสินว่าเราจะอยู่ที่นี่ต่อไปหรือว่าควรจะย้ายไปอยู่ที่อื่น ซึ่งหนูไม่อยากให้แรนดี้รู้เรื่องนี้ ถ้าสเลเตอร์ปฏิเสธที่จะยอมรับแก แม้แต่เพียงความรู้สึกส่วนตัวซึ่งหนูก็จะไม่ตำหนิเขาเลย แต่หนูก็ยังไม่อยากให้แรนดี้รู้อยู่ดี ไม่อยากให้แกต้องเสียใจเพราะความโง่ของหนูเอง”
เธอหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาถือ แต่กาแฟก็เย็นเยือกไปหมดแล้ว
“แล้วหนูคิดจะไปพูดเรื่องนี้กับเขาเมื่อไหร่ล่ะ?”
ริต้าเห็นใจลูกสาวอย่างที่สุด เพราะรู้อยู่ว่าสถานการณ์อย่างนั้นมันจะสร้างความอึดอัดขัดเขินให้เกิดขึ้นมากแค่ไหน
“ก็คงอีกสักสองสามวันละมังคะ อยากจะใช้เวลาในช่วงแรกๆ นี่อยู่กับพ่อแม่ให้มากที่สุด”
ดอว์นจำเป็นต้องเผื่อไว้ เพราะถ้าเธอพูดกับสเลเตอร์แล้ว แต่ไม่เป็นที่ตกลงกันได้เธอก็อาจจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ดอว์นรู้ว่าตอนที่เธอทอดทิ้งเขาไปนั้น สเลเตอร์เจ็บช้ำมากแค่ไหน นอกจากเจ็บช้ำแล้วเขาก็ยังโกรธแค้นมากอย่างไม่อาจให้อภัยเธอได้ ดอว์นไม่อยากเดาด้วยซ้ำว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ถ้าได้รู้ว่าจริงๆ แล้วแรนดี้เป็นลูกของเขา