บทที่ 4 ซ้อมดาบ
แล้วในท้ายที่สุด ความเจ็บปวดเหล่านั้นก็ทำให้เขาเลิกถามนางไปในที่สุด
เมื่อไร้ญาติพี่น้อง ก็เท่ากับไร้การสนับสนุน เซียวซีโตมาอย่างโดดเดี่ยว แม้จะมีคนเข้าหาอยู่บ้าง ด้วยเห็นว่าเขาเป็นโอรสที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานมากที่สุด แต่มันก็เป็นเพียงการเข้าหาเพื่อผลประโยชน์ เขาไม่มีสหาย จนกระทั่งเสด็จพ่อส่งชินอ๋องเฉิงอี้ผู้นี้มาให้
“ข้าสืบทอดตำแหน่งมาตั้งแต่ยังเยาว์ รู้ทันทุกเล่ห์เหลี่ยมกลโกงในราชสำนัก และสั่งสมอำนาจมาจวบจนถึงทุกวันนี้ หากศัตรูไม่เกรงกลัวพระบารมีฮ่องเต้ มันก็ต้องหัดเกรงกลัวข้าบ้าง” น้ำเสียงของเฉิงอี้เคร่งขรึมจริงจัง แต่ก็แฝงไปด้วยความอ่อนโยน และมีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่จะได้รับน้ำเสียงเช่นนี้
“ใครเลยจะไม่กลัวท่าน แค่ถลึงตาใส่ พวกนั้นวิ่งกันหางจุกก้น”
เฉิงอี้เคาะศีรษะคนปากดีไปครั้งหนึ่ง แต่ก็อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าไม่เห็นกลัว”
“เพราะข้ารู้นิสัยของท่านดี” เซียวซีหมุนตัวกลับมาหา จ้องมองเข้าไปในตาสีนิลโดยปราศจากคำพูด คล้ายจะปล่อยให้ดวงตาเอ่ยถ้อยคำออกมาแทนสิ่งที่เอ่ยเป็นวาจาไม่ได้เพราะผิดกฎสวรรค์
“องค์ชาย พระสนมกุ้ยเฟยมีรับสั่งให้หา...” ขันทีหน้าตำหนักโผล่พรวดเข้ามาโดยที่ทั้งสองไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า เพราะต่างตกอยู่ในภวังค์ทั้งคู่
เซียวซีรีบผละออก เขามีท่าทีเรียบเฉยขณะพยักหน้ารับ แต่ก็มิวายเห็นว่าดวงตาของข้าราชบริพารมีประกายแห่งความสงสัยแวบขึ้นมา
“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
จื่อเว่ยวิ่งตาลีตาเหลือกตามมา รู้ดีว่าองค์ชายกับท่านอ๋องไม่ชอบให้คนนอกเข้ามายุ่มย่ามในสถานที่แห่งนี้ โดยปกติแล้ว เขาคือคนรับหน้าที่แจ้งข่าวต่าง ๆ นานาจากบุคคลภายนอก แต่วันนี้เขาคลาดสายตาไปเพียงเสี้ยววินาที เจ้าขันทีหน้าเซ่อก็ทะเล่อทะล่าเข้ามาเสียได้
“เจ้าไปเถอะ ข้าเองก็จะไปหาท่านอาจารย์”
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง เซียวซีเป็นฝ่ายเดินออกไปก่อน โดยมีจื่อเว่ยเดินตามตัวลีบ แผลที่ขาเกิดเจ็บขึ้นมาพอให้เขารู้สึกรำคาญใจ แต่ถ้าเลือดยังไม่ซึมออกมาก็เป็นอันใช้ได้ ไม่อย่างนั้นมารดาคงจะห่วงกังวลน่าดู
ตำหนักใหญ่โตโอ่โถงเงียบสงบขัดกับความหรูหราฟู่ฟ่า ดอกไม้บานสะพรั่งหน้าทางเข้าตำหนักเตือนให้เขานึกถึงดอกไม้ป่าที่ตั้งใจจะเก็บมาฝากมารดา แต่กลับวางมันทิ้งไว้และลืมไปเสียสนิท เขาจึงหยุดเด็ดดอกสีชมพูบอบบางขึ้นมาดอกหนึ่งแทนดอกเดิมที่หายไป
“ได้ยินว่าเจ้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทมา” ฝู่ซินเอ่ยตั้งแต่ลูกชายยังไม่ได้เข้ามาในห้องดี นางพยักพเยิดให้ปิดประตู มองสำรวจราวกับเขาเป็นเด็กน้อยที่ไปเล่นซนแล้วเพิ่งกลับเข้าบ้าน ก่อนสายตาจะหยุดอยู่ที่ขาของเขา “เจ้าได้รับบาดเจ็บรึ”
“ลื่นล้มน่ะขอรับ” คำพูดคำจาไร้พิธีรีตองแสนเรียบง่าย เขาเลือกเบี่ยงเบนความสนใจของมารดาด้วยดอกไม้ แล้วเลื่อนตัวนั่งฝั่งตรงข้าม แล้วรินชาให้ตัวเอง เซียวซีชอบอยู่กับมารดาเพียงสองคน เสมือนสองแม่ลูกที่อยากเก็บตัวเงียบในวังหลวง แต่ก็มักจะมีคนนำเรื่องราวชวนปวดเศียรเวียนเกล้าเข้ามาในที่แห่งนี้เสมอ
“เสด็จพ่อของเจ้าตรัสว่าอย่างไรบ้าง”
“ตรัสเรื่องไท่จื่อขอรับ และเตือนให้ข้าระวังตัวให้ดี”
“แล้วเรื่องชายแดนแคว้นหยวนเล่า”
“ชายแดนหรือ” เขาเลิกคิ้วสูง วางถ้วยชาด้วยความสงสัย “ท่านแม่รู้เรื่องนั้นด้วยหรือขอรับ”
ท่าทางของนางดูกระวนกระวายใจ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นสงบลงเมื่อเห็นว่าเซียวซีจ้องมอง “แม่ก็พอจะได้ยินมาบ้าง”
“เรื่องนี้ค่อนข้างจะเป็นเรื่องลับเฉพาะทีเดียว”
“แม่ถามจากอาจารย์ของเจ้า” นางกล่าวเนิบ ๆ และเสริมอีกเล็กน้อย “เพราะแม่กังวลว่าเจ้าจะต้องกลับเข้ากองทัพเร็ว ๆ นี้ ทั้งที่เพิ่งกลับมา”
“ข้าคิดว่าท่านจะกังวลน้อยกว่า หากข้าอยู่ไกลจากเมืองหลวง”
“ไม่มีแม่คนใดอยากเห็นลูกเดินเข้าสนามรบหรอกนะเซียวซี” นางเอื้อมมือมาแตะใบหน้าบุตรชายด้วยความทะนุถนอม ลูกคนนี้คือสิ่งเดียวที่นางเหลืออยู่ในชีวิตอันผกผันแสนจะขมขื่น แต่โชคชะตาก็ยังเล่นตลกไม่เลิก เลือกที่จะปูทางให้นางและลูกชายไปในทางที่ไม่ได้ง่ายดายกว่าเดิมเลยแม้แต่น้อย
“ข้าไม่มีทางปล่อยให้ท่านแม่อยู่คนเดียวแน่ ทุกครั้งที่ไปรบ ข้าจะกลับมา และข้าก็ทำตามที่ลั่นวาจาไว้เสมอ ท่านเองก็ประจักษ์ด้วยสายตาตัวเองแล้ว”
“ดีแล้วลูกเอ๋ย” นางยิ้ม แต่กลับดูโรยราซีดเซียว ความวิตกกังวลขโมยความอ่อนเยาว์ไปจนหมดสิ้น ในหัวใจของนางยังมีเรื่องน่าหนักอึ้งปกปิดเอาไว้ นางตระหนักดีว่านางคงจะปกปิดได้ไม่นานนัก แต่ก่อนที่มันจะปะทุ นางจะต้องเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้พร้อมเพื่อความอยู่รอด ตัวของนางเองไม่เท่าใดนัก นางอยู่มานานเกินพอ แต่กับแก้วตาดวงใจเพียงหนึ่งเดียว นางต้องทำให้แน่ใจว่าเขาจะอยู่อย่างมั่นคง
“ท่านแม่มีเรื่องกังวลใจอยู่หรือ”
“ก็กังวลเรื่องชายแดนตามประสาแม่นั่นแหละ เจ้าอย่าใส่ใจเลย” นางโบกไม้โบกมือ “ท่านอ๋องสบายดีหรือ”
“สบายดีขอรับ บึ้งตึงและเข้มงวดเฉกเช่นที่เป็นมา”
“ไม่ได้พบกันนานแล้ว”
เซียวซีเข้าใจความหมายแฝงในข้อความจึงเอ่ยตอบ “ข้าจะบอกเขาให้นะขอรับว่าท่านเอ่ยถึง”
“มาเถอะ แม่อยากเดินเล่นสักหน่อย”
เขารีบเข้าไปประคองร่างกายผอมบางให้ยืนขึ้น จับแขนนางวางบนท่อนแขนของเขา แล้วพาเดินออกจากห้องช้า ๆ มารดาของเขาอายุไม่มากนัก ความงามของนางยังปรากฏอยู่ในดวงหน้าและทุกท่วงท่าที่ขยับเคลื่อนไหว หากไม่รู้มาก่อนว่าฮ่องเต้เจอนางนอกวังหลวง เขาจะคิดว่ามารดาเติบโตอยู่ภายใต้รั้วแห่งนี้ เพียงแต่นางถูกบดบังด้วยเมฆหมอกที่มองไม่เห็น ดวงตาสีหม่นปกปิดประกายแห่งความอ่อนหวาน มุมปากสองข้างเม้มสนิทแน่นเครียดเขม็ง แม้แต่ตอนเดินไปด้วยกัน นางก็ยังล่องลอยและติดกับความคิดของตัวเอง
เซียวซีรู้ดีว่ามารดาไม่ได้เป็นกังวลเรื่องที่เขาอาจจะต้องออกไปรบวันนี้พรุ่งนี้ มันเป็นความหนักอกหนักใจเรื่องอื่นที่เขาจะไม่มีวันล่วงรู้
“ฝ่าบาทดีกับเราสองแม่ลูกมาก พระองค์เมตตาและรักเจ้าอย่างจริงใจ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น แม่ขอให้เจ้าจงเลือกพระองค์” นางโพล่งขึ้นหลังจากเงียบไปนาน
“เสด็จแม่ คนที่ท่านกล่าวถึงคือพระบิดาของลูกนะพ่ะย่ะค่ะ ลูกย่อมรักและเคารพ รวมทั้งถวายชีวิตให้พระองค์อยู่แล้ว”
ฝู่ซินตบหลังมือบุตรชายแผ่วเบา “ดี ดีแล้ว”
นางพูดซ้ำไปซ้ำมา