บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 ซ้อมดาบ

เรื่องการแต่งตั้งรัชทายาทคือสาเหตุของความตึงเครียดในราชสำนัก ถึงได้มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าในวันนี้ แม้ฮ่องเต้จะแสดงท่าทีว่าจะแต่งตั้งองค์ชายฉินซึ่งเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง แต่โอกาสของโอรสองค์อื่นก็ยังไม่หมดเสียทีเดียว นั่นจึงเป็นเหตุของการแข่งขันอย่างดุเดือดของกลุ่มผู้สนับสนุนหลายฝ่ายที่ต่างผลักดันและช่วงชิงอำนาจระหว่างกันเสมอมา

เซียวซีถูกกำชับให้ระวังตัวมาตั้งแต่ยังเยาว์ แต่ในเวลานี้ ทุกอย่างทวีความรุนแรงขึ้น ฮ่องเต้มีความคิดว่าส่งโอรสองค์นี้เข้าสนามรบ ยังปลอดภัยกว่าการอยู่ในวังรอเวลาโดนแร้งทึ้ง พวกมันเป็นศัตรูที่มองไม่เห็นและป้องกันได้ยากกว่า หากไม่ใช่เพราะมีเฉิงอี้คอยดูแลอีกแรง เซียวซีคงถูกส่งไปอยู่ที่อื่นเสียนานแล้ว

“ข้ารู้มาว่าองค์ชายฉินกำลังเร่งหาแรงสนับสนุน”

“ก็คงจะหาจากโอรสท้ายแถว และบรรดาอ๋องที่อยู่หัวเมืองอื่น” เฉิงอี้มองตามหลังเซียวซีที่เดินหายลับไปตามมุมโค้ง หลังจากเขาออกปากว่าจะอยู่คุยธุระอีกสักครู่ แล้วจะตามไปฝึกวิชาที่จวนของอาจารย์ด้วยกัน ความห่วงใยของเขาทำให้แม้ชายหนุ่มจะลับสายตาไปเพียงชั่วครู่ชั่วยาม เขาก็บังเกิดความไม่สบายใจขึ้นมา

“ยังมีองค์ชายมู่อีกคน” ฮ่องเต้ยามนี้แม้จะห่วงบัลลังก์ของตน แต่ก็พะวงอยู่กับโอรสที่เกิดกับสนมที่เขารักยิ่ง ทั้งสองมีความหลังต่อกันมามาก คำพูดของเขาที่ว่าจะปกป้องเด็กคนนี้ถูกยึดถือเป็นดั่งคำสาบานและเป็นสัญญาใจระหว่างกัน

“จริงอยู่ที่องค์ชายมู่แสดงออกว่าไม่ชอบเซียวซี แต่นั่นยังดีกว่าพวกจ้องจะแทงลับหลัง”

“ข้ากลับคิดตรงกันข้าม ข้าหวั่นใจกับพวกที่ทำทีเป็นสนับสนุนเซียวซี ไม่รู้ว่าพวกมันจะหาประโยชน์จากลูกข้าด้วยวิธีใด ศัตรูในคราบมิตรนั้นร้ายกาจยิ่งกว่าศัตรูในที่แจ้งนัก”

เฉิงอี้ผงกศีรษะรับ “ตราบใดที่เรายังตรึงให้ทั้งสองฝ่ายเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เมื่อนั้นองค์ชายเซียวซีก็จะยังคงปลอดภัย พระองค์อย่าทรงห่วงกังวลเกินไปนัก กระหม่อมจะดูแลองค์ชายด้วยชีวิต”

สายตาของฮ่องเต้แม้จะไม่แจ่มชัดเท่าเก่า แต่ยังคมปลาบและมองทุกสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่งตวัดมองเขาราวกับจะคาดคั้น ชั่วขณะนั้น เฉิงอี้เกิดความสงสัยว่าชายชรารู้ถึงสิ่งที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้หรือไม่ ความลับเรื่องความเสน่หาที่เป็นเรื่องต้องห้ามต่อโอรสองค์โปรดของพระองค์

“ขอบใจเจ้ามาก” ฮ่องเต้ยกมือแตะไหล่เขาด้วยความหนักแน่นและไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ นั่นเป็นสัญญาณว่าการสนทนาจบสิ้นลงแล้ว

เฉิงอี้พึมพำคำลาแล้วเดินจากมา จุดนัดพบระหว่างเขาและเซียวซีคือในป่าหลังจวนของท่านอาจารย์ ที่ตรงนั้นสงบเงียบ ปราศจากหูตาที่ชอบสอดส่องและให้ความรู้สึกราวกับว่าโลกนี้มีเพียงอากาศบริสุทธิ์ สายน้ำอุ่น พืชพรรณอันอุดมสมบูรณ์ และพวกเขาเพียงสองคน

เฉิงอี้ยังจำวันแรกที่ได้พบเด็กน้อยท่าทางดื้อดึง แต่ถูกฉาบหน้าเอาไว้ด้วยความนิ่งเงียบยืนอยู่ข้างบัลลังก์ของฮ่องเต้ เด็กน้อยผู้นั้นค้อมตัวให้เขาก็จริง แต่สายตาเหลือบขึ้นมามองอย่างไม่กลัวเกรง ทั้งสองอยู่ในช่วงวัยที่ไม่ห่างกันมากนัก แต่เขาถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวด สุขุมนุ่มลึกและจริงจัง ขณะที่เซียวซีมีพระสนมกุ้ยเฟยที่ผู้คนต่างยกย่องว่าเป็นดั่งบุปผาในวสันตฤดูเป็นผู้ฟูมฟักทะนุถนอมและปล่อยให้องค์ชายใช้ชีวิตได้ตามใจ ทั้งสองจึงแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว

โชคดีที่ความแตกต่างของทั้งสองกลับกลายเป็นส่วนที่เติมเต็มให้กันและกัน ในขณะที่เซียวซีมุทะลุ อารมณ์ร้อนและกล้าได้กล้าเสีย เขากลับเย็นชา ไม่กล้าเสี่ยงและมักจะทำทุกอย่างอย่างซ้ำซากจำเจ หากคนใดคนหนึ่งเกิดเหมือนอีกคนมากไป ชีวิตคงจะน่าเบื่อเหลือทน

“ท่านมาแล้ว” เซียวซีร้องเรียก แต่ไม่ได้ละจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ เรือนกายได้สัดส่วนเหยียดตรง มือข้างที่ถือดาบยื่นไปข้างหน้า แต่เฉิงอี้คิดว่าท่วงท่านั้นยังไม่สง่างามพอ เขาจึงเข้าไปยืนซ้อนด้านหลังและแตะแขนเจ้าตัวขึ้นอีกเล็กน้อย

เซียวซีขำพรืด

“มีอะไรน่าขัน” เขาตวัดเสียงถาม

“ท่านจะไม่ยอมให้สิ่งใดไม่สมบูรณ์เลยสินะ”

“ในเมื่อเราทำให้มันสมบูรณ์ได้ ข้าก็ไม่เห็นว่าการพยายามอีกนิดจะเสียหายตรงไหน”

“แล้วนี่...ข้าทำได้ดีพอหรือยัง”

เฉิงอี้เปลี่ยนมายืนฝั่งตรงข้าม สอดส่ายสายตาหาความผิดพลาดแม้แต่เรื่องที่เล็กน้อยที่สุด เช่นการควบคุมลมหายใจผิดจังหวะหรือการวางตำแหน่งขา หากแต่จิตใจของเขากลับไขว้เขวเมื่อได้สบกับดวงตาคู่นั้น

“ข้าทำได้ดีแล้ว ข้าเห็นคำตอบในดวงตาท่าน”

เขาทำเสียงหึในลำคอ

“มาเถอะ ท่านยังต้องช่วยข้าซ้อมอีกมาก ครั้งที่แล้วอาจารย์เอาไม้ฟาดหน้าแข้งขาจนเกือบแตก”

“เจ้าก็น่าจะตั้งใจให้มากกว่านี้”

“ก็ข้าไม่ถนัดอาวุธนี้เท่ากระบี่ นี่ข้าก็ฝึกมาตั้งแต่ยังเยาว์ แต่ไม่เป็นที่พอใจของท่านอาจารย์เสียที หรือจะเป็นเพราะเขาเอาข้าไปเทียบกับท่านก็ไม่รู้ได้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ชาตินี้ทั้งชาติ ข้าคงไม่มีทางเป็นเลิศทางดาบแน่”

เฉิงอี้ไม่อยากเสียเวลาสาธยายว่านอกจากเขาแล้ว มือหนึ่งด้านการต่อสู้ในวังหลวงแห่งนี้ก็คือผู้ที่ยืนบ่นปาว ๆ อยู่นี่เอง

“หากเป็นในสงคราม ใช้กระบี่เห็นจะไม่เหมาะนัก แต่ในใต้หล้านี่ ข้าขอยกให้เจ้าเป็นที่หนึ่งเลยทีเดียวเชียว” เขาพูดอย่างเอาใจ

คนฟังยิ้มออก ความขุ่นมัวเมื่อครู่ถูกลบหายไปสิ้น เซียวซีรีบตั้งท่าอกผายไหล่ผึ่ง เริ่มกระบวนท่าใหม่ตั้งแต่ต้น แต่ยังมิวายหันมาชวนคุย

“เสด็จพ่อตรัสเรื่องข้าหรือ”

“การแต่งตั้งองค์รัชทายาทใกล้เข้ามาทุกที ไม่แปลกใจที่จะทรงห่วงกังวล ที่น่าห่วงไปกว่านั้น คือกลุ่มอำนาจที่อยากใช้เจ้าเป็นเครื่องมือต่อรองกับกลุ่มอื่น ๆ อาจทำให้เจ้าตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก”

“สิ่งที่คุ้มหัวข้าอยู่คือความรักความเมตตาของเสด็จพ่อ แต่ก็เป็นสิ่งนี้อีกเช่นกันที่สามารถทำลายข้าได้”

“คนพวกนั้นต่างหากที่ทำลายเจ้า โดยอาศัยความรักของฝ่าบาทเป็นเครื่องมือ” เฉิงอี้แก้คำพูด แล้วหันมาแก้ท่าทางให้เซียวซีอีกรอบ เขาใช้ดาบแตะให้อีกฝ่ายย่อเข่าลงอีกเล็กน้อย

เซียวซีกลอกตา แต่ก็ยอมย่อตัวลง ถึงกระนั้นก็ยังไม่เป็นที่พอใจของเขาอยู่ดี เขาจึงเปลี่ยนไปยืนซ้อนอยู่ด้านหลังอย่างใกล้ชิด จนได้กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ที่ผสมผสานระหว่างความสะอาดสะอ้านและหอมอ่อน ๆ ความใกล้ชิดเช่นนี้ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น โดยเฉพาะตอนที่ทั้งคู่ต้องนอนกลางดินกินกลางทรายด้วยกัน หากแต่ยิ่งนานวันเข้า ความรู้สึกของเขาก็ยิ่งแปรเปลี่ยนไปจนยากจะควบคุม

เฉิงอี้นิ่งคิดอย่างยุ่งยากใจ ความเงียบของเขาทำให้เซียวซีเอี้ยวตัวมาหา

“คิดสิ่งใดอยู่ หรือท่านคุยอะไรกับเสด็จพ่อมากกว่านี้”

“ไม่ ข้ากำลังคิดเรื่องชนกลุ่มน้อย”

“ท่านไม่เคยว่อกแว่กเสียหน่อย”

“ข้านอนไม่พอ” เขาตัดบทดื้อ ๆ ใช้ขาตัวเองแตะที่ขาขวาเซียวซีเป็นสัญญาณให้ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ดังที่มันเคยเป็นมาเสมอ ทั้งสองเคลื่อนไหวไปพร้อมกัน แม้แต่ตอนหมุนตัวแล้วเสือกดาบไปข้างหน้า เสียงคมดาบดังแหวกอากาศพร้อมกับเสียงลมพัดใบไม้ไหว นี่นับเป็นฤดูกาลแรกของปีที่ทั้งสองคนได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข หลังจากการเดินทางไปตั้งค่ายที่ชายแดนนานหลายเดือน โชคดีที่ไม่ได้มีเหตุการณ์เลยเถิด นอกเหนือจากการกระทบกระทั่งธรรมดา เพราะข้อเสนอทางการค้าที่เซียวซีเป็นคนยื่นไปนั้นก่อเกิดความพอใจกันทั้งสองฝ่าย แม้ในตอนนี้จะยังคุมเชิงกันอยู่ แต่มันก็ทำให้กองทัพได้ถอนกำลังกลับวังหลวงเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้

เซียวซีคือมันสมองของเขา ไม่ใช่เพียงมือขวาที่คอยระวังหลังให้

“ข้าอยากออกจากเมืองหลวง แต่ไม่อยากกลับไปสนามรบ” เซียวซีพูดขึ้น มือห้อยอยู่ข้างลำตัวด้วยความเหนื่อยหน่าย “ความวุ่นวายของที่นี่กำลังฉีกพวกเราเป็นชิ้น ๆ”

“ข้าพาเจ้าหลบไปสักพักได้ แต่เจ้าคงไม่อยากทิ้งพระสนมกุ้ยเฟยเอาไว้เพียงผู้เดียว”

“นั่นก็จริง”

“อดทนอีกหน่อยเถอะ เมื่อมีการแต่งตั้งองค์รัชทายาทเสร็จสิ้นลงแล้ว ก็จะไม่มีใครมาวุ่นวายกับเจ้าอีก”

“ท่านแน่ใจหรือ ข้าก็ไม่ต่างอะไรกับหอกข้างแคร่ ขัดหูขัดตาคนพวกนั้นไปเสียหมด แล้วยังไร้ผู้สนับสนุนที่ไว้ใจได้อีก”

เท่าที่เซียวซีรู้ มารดาของเขาได้เข้ามาอยู่ในรั้วในวังเพราะเคยช่วยเหลือฮ่องเต้ที่ปลอมตัวออกไปท่องยุทธภพ เมื่อครั้งยังเป็นบุรุษหนุ่ม ทั้งสองเกิดความรักใคร่กัน เป็นความรักลึกซึ้งอย่างแท้จริง ฮ่องเต้จึงพามารดาของเขาเข้าวัง จากนั้นไม่นาน เขาจึงถือกำเนิดขึ้นด้วยความรัก ทว่าไม่มีใครยินดีกับโอรสของกุ้ยเฟยผู้ไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นนี้นัก

ไม่มีผู้ใดรู้จักตัวตนที่แท้จริงของนาง แม้แต่เขาซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขก็ไม่รู้ เหตุใดเขาจึงไม่มีวงศาคณาญาติ เหตุใดมารดาถึงบ่ายเบี่ยงเมื่อเขาถามถึงอดีต เหตุใดความเศร้าโศกและโหยหาจึงผุดขึ้นมาบนใบหน้าของนางอย่างสุดจะกลั้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel