บทย่อ
ในเงามืดของอดีต ความรักของเซียวซีและเฉิงอี้จะสามารถก้าวข้ามอุปสรรคแห่งความตายได้หรือไม่? "ในเงื้อมมือแห่งสงคราม เซียวซีและเฉิงอี้ สองชายผู้เชื่อมโยงกันด้วยมิตรภาพที่เกินกว่าคำว่าเพื่อน เมื่อศึกสิ้นสุด ความรักที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยกลับถูกทำลายด้วยความตาย แต่สายใยที่ลึกล้ำยังคงหลอกหลอนและพัวพันจิตวิญญาณของพวกเขา การเดินทางครั้งสุดท้ายของเซียวซีที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและการค้นหาความหมายในชีวิต จะพาเขาไปสู่ความจริงที่เกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ การพบกันอีกครั้งในเงามืดของอดีตชาติ จะเป็นโอกาสให้พวกเขาได้สมหวัง หรือจะเป็นเพียงการย้ำเตือนถึงรักที่พ่ายแพ้อย่างเจ็บปวด... ‘ต้าลี่ฮวาดวงใจพ่ายรัก’ นิยายที่เต็มไปด้วยดราม่า ความรักที่ต้องแลกมาด้วยน้ำตา และความหวังที่ริบหรี่ในเงามืดของชะตากรรม"
บทนำ
เสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัวและความสิ้นหวังดังอยู่เพียงอึดใจเดียวก็เงียบหายไป หากแต่เสียงปลายดาบที่เฉือนเข้าไปในเนื้อจนโลหิตพุ่งกระฉูดไหลทะลัก กลับได้ยินแจ่มชัดและฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ แม้จะใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจลบเลือน
หญิงสาวกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอด นางวิ่งเข้าไปหลบในห้องทางขวามือที่เปิดอ้าเอาไว้ สองขาเขย่งก้าวข้ามศพของนางกำนัลที่นอนคว่ำหน้าเลือดเจิ่งนองบนพื้นอย่างน่าอนาถ ก่อนจะคลานเข้าไปนั่งคู้ตัวอยู่ใต้เตียงด้วยความหวาดกลัว ขณะที่เสี่ยวหนิง หญิงสาวอีกนางก็รีบปิดประตูตามหลัง ลากศพไปขวางธรณีประตู แล้วมุดตามเข้ามาโดยใช้ร่างตัวเองบังนายหญิงเอาไว้ หากพวกมันบุกเข้ามาในนี้ นางก็พร้อมจะเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
เสียงกรีดร้องด้านนอกยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ผสมปนเปไปกับการขอร้องอ้อนวอนสั่นเครือ ทุกคนล้วนต้องสังเวยชีวิตให้กับความบ้าคลั่งของทหารที่ถูกส่งเข้ามากวาดล้างผู้ที่เป็นเสี้ยนหนามเจ้านายของพวกมัน โดยไม่สนความถูกต้องใด ๆ ความป่าเถื่อนไร้สำนึกของคนเหล่านี้ไม่ต่างจากสุนัขรับใช้ไร้สมอง แม้ว่างานนี้จะทำให้พวกมันแปดเปื้อนไปด้วยมลทิน แต่ศีลธรรมอันใดก็หามีไม่
“ฮองเฮาเพคะ ถ้าหากพวกมันมาพบเราเข้า…” เสี่ยวหนิงเอ่ยขึ้น แต่พูดยังไม่ทันจบประโยคก็โดนขัดขึ้นเสียก่อน
“เราสองคนต้องพยายามเอาชีวิตรอด ไม่ใช่แค่เราคนใดคนหนึ่ง”
“แต่…” ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ยังคงลังเลเพราะเป็นห่วงเจ้านาย
“ไม่มีแต่” ผู้เป็นฮองเฮาพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
ทันใดนั้นเสียงบานประตูที่โดนเขย่ากึงกังจากภายนอกดังขึ้น แต่ทำอย่างไรก็เปิดไม่ออก เนื่องจากติดศพที่เสี่ยวหนิงลากไปขวางเอาไว้ เมื่อเปิดดี ๆ ไม่ได้ ชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็ถีบประตูเข้ามาเสียงดังปัง ทำให้ทั้งสองเกร็งไปทั้งร่างจนแทบลืมหายใจ เขากวาดสายตาไปทั่ว เหลือบมองซากศพไม่ต่างจากมองแมลงตัวเล็กน่ารำคาญ และยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ
สองนายบ่าวหดหัวกลับเข้าที่เดิม หัวใจเต้นกระหน่ำจนแทบหลุดจากอก รู้ดีว่าหากมันเดินเข้ามาสำรวจอย่างถี่ถ้วนสักหน่อย ก็จะเจอพวกนางอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น หากลองสู้แล้วหนีเอาตัวรอดไม่ได้ นางก็ขอยอมตายดีกว่าโดนพวกมันจับไป แม้ความตายจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลยก็ตาม โดยเฉพาะสตรีที่กำลังตั้งครรภ์โอรสสวรรค์อยู่ ความตายย่อมเป็นทางเลือกสุดท้ายอันน่าเจ็บปวด แต่ก็ใช่ว่าทั้งสองจะมีทางเลือกอื่น
ร่างกำยำเคลื่อนเข้ามาจนถึงกลางห้อง มันหยุดชะงัก หันไปมองศพนั้นอีกครั้ง แล้วขานรับเสียงเรียกที่ดังอยู่ด้านนอก
“มาเถอะ พวกเราต้องรีบแล้ว”
“หานางพบหรือยัง”
“ยัง แต่มีคนเห็นนางออกจากตำหนักไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนช่วยหลบหนี” เสียงชายอีกคนตะโกนตอบ คั่นด้วยเสียงตบตีและเสียงร้องครวญครางของคนที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ข้างนอก
“เช่นนั้นเรายิ่งต้องตามจับนางและพวกที่ให้ความช่วยเหลือกลับมาให้ได้”
สิ้นเสียงประตูก็เลื่อนปิดดังปัง แต่ทั้งสองก็ยังไม่กล้าโผล่หน้าออกไปในทันทีทันใด ด้วยกลัวว่าจะยังมีพวกมันหลงเหลืออยู่ นับว่าสวรรค์ยังมีเมตตาต่อลมหายใจให้กับหญิงสาวที่น่าเวทนาทั้งสองอยู่บ้าง
“เสี่ยวหนิง ข้าว่าตอนนี้พวกมันคงแห่ไปปิดล้อมทางเข้าออกหลัก ๆ กันหมด นี่จึงเป็นโอกาสเดียวที่เราจะใช้หลบหนี”
นางก้มลงไปหยิบชุดที่ถูกพวกป่าเถื่อนรื้อค้นกระจุยกระจายขึ้นมา แล้วเอามันไปซับเลือดพอให้ได้เปื้อนเล็กน้อย ก่อนจะรีบถอดชุดที่เด่นสะดุดตาของตัวเองออก เพื่อสวมชุดใหม่แทน
เสี่ยวหนิงรีบทำตาม โชคดีที่ทั้งสองเข้ามาหลบในห้องของสาวรับใช้ จึงมีเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแบบเรียบง่ายให้นำมาสวมใส่ปิดบังตัวต้น จากนั้นก็ใช้เลือดทาใบหน้าอีกนิดเพื่ออำพรางใบหน้าที่แท้จริง นางฉีกเสื้อมาทำเป็นห่อผ้า ฉวยเอามีดที่ปักคาอกของสองขันทีที่นอนตายอยู่ไม่ไกลใส่ลงไปด้วย
หญิงสาวร่างเล็กบอบบางสองคนหอบข้าวของออกจากตำหนักอันใหญ่โตด้วยความเร่งรีบ พวกนางต้องชักเท้าหนีเลือดเจิ่งนองบนพื้น ยกมือขึ้นปิดจมูกกับกลิ่นคาวคละคลุ้ง ทั้งยังต้องคอยระวังพวกคนถ่อยที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อ การหนีจึงเป็นไปอย่างทุลักทุเล มีสองสามครั้งที่พวกมันย้อนกลับมา พวกนางอาศัยหลบตามหลังต้นไม้และมุมมืด แล้วก็พากันมาถึงประตูลับจนได้ เส้นทางต่อจากนี้ต้องปีนรั้วออกไป ซึ่งหลังรั้วนั่นคือโลกที่พวกนางไม่เคยคุ้นมาก่อน
“ปีนขึ้นมาเลยเพคะ” เสี่ยวหนิงมุ่งมั่นจะพาฮองเฮาข้ามไปให้ได้ หญิงสาวนั่งลงคุกเข่า ตั้งใจจะใช้ตัวเองเป็นบันได
ทว่า...
“พวกนางอยู่นั่น!!”
เมื่อเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น ผู้เป็นฮองเฮาที่ปีนป่ายไปได้ครึ่งทางรีบใช้สองมือเกาะขอบรั้วเอาไว้แน่น ส่วนขาก็ออกแรงดันตัวขึ้นไปด้วยแรงทั้งหมดที่มีหวังจะข้ามกำแพงไปให้เร็วที่สุด
“ฮองเฮาเพคะ” เสี่ยวหนิงร้องเรียกด้วยความหวาดกลัวเพราะพวกศัตรูกำลังกรูกันเข้ามา
“อดทนอีกนิดนะ ข้ากำลังจะข้ามไปได้แล้ว” นางกระหืดกระหอบ ยกขาข้ามไปได้ข้างหนึ่ง แต่พวกมันก็วิ่งเข้ามาใกล้แล้วเช่นกัน นางจึงไม่มีเวลาลังเล แม้จะกลัวว่าแรงกระแทกจะกระทบกระเทือนถึงลูก แต่หากไม่โดด ก็จะไม่มีแม้แต่โอกาสรอดชีวิต
“จับพวกนางไว้”
ผู้เป็นฮองเฮาเหลือบมองไปทางต้นเสียง ทหารกบฏนับสิบพากันกรูเข้ามา นางจึงตัดสินใจปล่อยตัวเองให้ไถลลงไปบนพื้นแล้วรีบหยัดตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล จากนั้นก็เขย่งยื่นมือออกไปหาเสี่ยวหนิงที่อีกฟากของกำแพงด้วยความยากลำบาก
“กระโดดขึ้นมาเร็ว ข้าจะช่วยจับ” นางเร่งเร้าทั้งหวาดกลัวและกังวล
เสี่ยวหนิงคำนวณแล้วว่าต่อให้ตนข้ามไปได้ ทหารพวกนี้ก็ยังจะตามไล่ล่านางและฮองเฮาอยู่ดี แต่หากนางอยู่ถ่วงเวลา ก็จะทำให้ฮองเฮามีโอกาสหนีมากขึ้น ไม่มีใครไม่รักชีวิต แต่นางรักสตรีที่ให้ข้าวให้น้ำและชุบเลี้ยงนางมากกว่า การต้องสละชีวิตในวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่นางจะต้องคิดให้ยุ่งยากมากความ เมื่อตัดสินใจด้วยความเด็ดเดี่ยวแล้วก็ร้องบอกนายผู้เป็นเจ้าชีวิต
“ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันจะขอตายอยู่ที่นี่ แต่ฮองเฮาจะต้องหนีและมีชีวิตรอดไปให้ได้ เพื่อที่สักวันหนึ่ง พระนางจะได้กลับมาทวงบัลลังก์ให้กับองค์ชายน้อยนะเพคะ”
“เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร ไม่นะ เสี่ยวหนิง ห้ามทำเรื่องโง่เขลาเด็ดขาด”
“รีบไปสิเพคะ”
“ไม่ ข้าสั่งให้เจ้าปีนขึ้นมา” อีกฝ่ายเขย่งจนสุดปลายเท้าพร้อมทั้งยื่นแขนแกว่งไปมาด้วยความร้อนใจ แต่เสี่ยวหนิงได้ตัดสินใจไปแล้ว นางจึงไม่สนใจความช่วยเหลือที่ฮองเฮาหยิบยื่นให้
“ไปได้แล้วเพคะ หม่อมฉันเคยให้คำมั่นแล้วว่าชีวิตนี้จะถวายเพื่อพระนาง เพราะฉะนั้นก็ให้หม่อมฉันได้ทำตามที่ลั่นวาจาเอาไว้เถิด”
หญิงสาวละล้าละลัง นางมีความผูกพันกับเสี่ยวหนิงราวกับเป็นมิตรสหาย แม้จะอยู่ในสถานะที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งที่นางกำนัลเอ่ยก็เป็นความจริงที่มิอาจปฏิเสธได้ นางยังมีลูกน้อยให้ต้องปกป้อง และในตอนนี้ นางก็คงหมดหนทางที่จะช่วยคนที่นางรักมากที่สุดไปแล้ว
“ลาก่อนเพคะ ฮองเฮา ขอให้สวรรค์คุ้มครองพระนางและองค์ชาย”
วาจาสุดท้ายของเสี่ยวหนิงถูกกลบไปด้วยเสียงกรีดร้อง แม้จะเศร้าโศกเสียใจเพียงใดที่ต้องสูญเสียบ่าวรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ไปต่อหน้าต่อตา นางจำต้องถอยออกมาจากตรงนั้น และวิ่งโดยไม่หันหลังกลับไปมอง หลบเข้าไปในตรอกสกปรกของชาวบ้านอันยากไร้ ทำตัวให้กลมกลืนไปกับพวกเขาและอดอยากปากแห้งอยู่หลายวัน กว่าความช่วยจะมาถึงในช่วงวินาทีสุดท้ายจากบุรุษที่รักและหวังดีกับนางมาอย่างยาวนาน
เขาช่วยนางให้รอดชีวิต เอาตัวไปชุบเลี้ยงและให้ชีวิตใหม่ นางฝังกลบอดีตของตนเองเอาไว้ และไม่ได้กลับไปที่นั่นอีกเลย