บทที่ 1 เที่ยวเล่นจนได้เรื่อง
คิมหันตฤดูอันโหดร้ายทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างแห้งแล้ง ไร้ชีวิตชีวาและร้อนอบอ้าวจนทนอยู่ในตำหนักไม่ได้ เซียวซียืนมองเปลวแดดเต้นระริกอยู่ในอากาศ มือข้างหนึ่งคอยปัดแมลงที่บินวนอยู่รอบตัวเสียงดังหึ่ง ๆ ชวนรำคาญ ขณะที่ในหัวก็คิดหาวิธีคลายความเบื่อหน่ายและดับร้อนอันมีอยู่หลายหนทาง แต่ทุกอย่างนั้นต้องอยู่ในตำหนักที่มีข้าราชบริพารเดินไปมาให้ว่อน และโอดครวญถึงความร้อนกันระงม เห็นแล้วช่างน่าสะท้อนใจ
เซียวซีหนีออกมาอยู่ข้างนอก อาศัยต้นไม้กับลำธารเพื่อผ่อนคลายความร้อนระอุ บุรุษหนุ่มร่างสูงโปร่งกระชับชายแขนเสื้อยาวรุ่ยร่าย เดินข้ามถนนเส้นเล็กที่มีต้นหญ้าแห้งตายขึ้นรกเรื้อไปยังริมลำธาร ด้านหลังมีขันทีซึ่งตามติดเขาราวกับปลิงตามมาไม่ห่าง
“ความจริงเจ้าไม่ต้องมากับข้าก็ได้”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทรับสั่งมาว่า…”
“เอาเถอะ ๆ ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าฟังประโยคนั้นมาเป็นพันครั้ง เจ้าไม่เบื่อจะพูดบ้างหรือ”
ไม่มีทางที่เขาจะได้อยู่คนเดียว แม้ไม่ใกล้เคียงกับการจะได้เป็นองค์ชายรัชทายาท แต่เมื่อเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เขาจึงมีคนไม่ประสงค์ดีมากมายรายรอบตัว
เซียวซีไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเหตุใดเสด็จพ่อถึงได้โปรดปรานเขาเป็นพิเศษ ถึงแม้เขาจะเป็นถึงเป็นแม่ทัพ ซึ่งอาศัยความสามารถทางการรบอย่างสูง แต่โอรสของฮ่องเต้ทุกพระองค์ต่างแข่งขันกันอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้ได้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้เช่นกัน ไหนจะเหล่าอ๋องทั้งหลายแหล่ที่พยายามทำคุณประโยชน์ ให้ตัวเองได้อยู่ในสายพระเนตรของฮ่องเต้อีก แม้ท่านอาจารย์จะบอกว่าเขาหัวดีและมีไหวพริบอย่างน่าชื่นชม แต่ก็ไม่ได้ฉลาดปราดเปรื่องราวกับอัจฉริยะ อย่างน้อยก็แพ้อยู่คนหนึ่ง
คิดแล้วเซียวซีก็ถอนหายใจยาวเมื่อนึกถึงคนผู้นั้น
เฉิงอี้บอกว่าเป็นเพราะความรักที่เสด็จพ่อมีให้กับมารดาของเขามันเผื่อแผ่มายังเขาด้วย นางอยู่ในตำแหน่งกุ้ยเฟยซึ่งเป็นรองก็แต่ฮองเฮาเท่านั้น หลายคนที่คอยสนับสนุนนางซึ่งนับเป็นขั้วอำนาจแบบลับ ๆ ถึงขนาดกล้าพูดออกมาว่าหากฮ่องเต้ไม่ได้มีฮองเฮาอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะพบเจอกับมารดาของเขา ตำแหน่งนั้นจะตกเป็นของนางอย่างแน่นอน
ความคิดเช่นนี้ไม่เคยออกมาจากปากมารดา แต่มันก็ทำให้นางและเขาตกอยู่ในอันตรายจากมือที่มองไม่เห็น
เซียวซีคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เขาปาดเหงื่อจากหน้าผาก นึกถึงเฉิงอี้ซึ่งเขาแอบย่องหนีออกมาไม่ให้ชายหนุ่มตามได้ทัน ป่านนี้คงหัวเสียน่าดู
“ตรงนี้แหละ” เขาหันไปบอกจื่อเว่ย ก่อนจะนั่งลงริมลำธารเล็ก ๆ
ชายหนุ่มนึกสงสัยขึ้นมาว่าต้นน้ำอยู่ที่ใด อันที่จริงเขาไม่เคยเดินสำรวจบริเวณนี้มาก่อน แต่เมื่อดูจากแผนที่โดยละเอียดที่จื่อเว่ยไปหามาให้ สายน้ำนี้ตัดผ่านป่าอันคดเคี้ยว กว่าจะมาถึงชายป่าด้านนี้ก็เหลือเพียงลำธารขนาดเล็ก เขาจึงนึกสนุกอยากจะไปสำรวจดูสักหน่อย
“จื่อเว่ย เจ้าอยากหาอะไรทำแก้เบื่อหรือไม่”
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ” ตอบทันทีทันควัน ด้วยรู้ถึงสีหน้าและสายตาวิบวับแบบนั้นดี
จื่อเว่ยได้ยินเรื่ององค์ชายน้อยแสนซนมาเนิ่นนาน แม้เขาจะเข้ามารับหน้าที่ในช่วงไม่กี่ปีให้หลัง ซึ่งองค์ชายได้เติบโตเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม แต่ความชอบสนุกหาได้ลดลงไม่ ถ้าหากมีคำถามว่าอยากทำอะไรแก้เบื่อหรือไม่ เท่ากับหายนะและความวุ่นวายอาจจะมาถึงในไม่ช้า
“เจ้าจะไม่คิดสักหน่อยหรือ”
“เรามากันเพียงสองคนเองนะพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วอย่างไร”
“หากเกิดอันตรายอันใดขึ้นกับพระองค์ กระหม่อมเกรงว่าอาจจะช่วยเหลือไม่ทัน”
“เช่นนั้นก็อย่าให้เกิดอันตรายใด ๆ ขึ้นสิ” เซียวซีตอบกลับง่าย ๆ แล้วลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางกระตือรือร้น “เราจะไปสำรวจต้นน้ำสายนี้กัน”
“แต่นี่ยังเป็นช่วงบ่ายอยู่เลยนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมว่ามันออกจะร้อนไปสักหน่อยสำหรับองค์ชาย”
“ข้าไม่คิดอะไรหยุมหยิมไร้สาระเช่นนั้น เราก็ไปกันได้แล้ว”
จื่อเว่ยก้มมองสิ่งของที่หอบหิ้วติดตัวมาด้วย ซึ่งมีเพียงอาหารในกล่องข้าวผูกผ้า น้ำดื่มและตำราหนึ่งเล่มเท่านั้น ช่างเรียบง่ายแตกต่างจากองค์ชายอื่น ๆ ที่เจ้ายศเจ้าศักดิ์ที่จะต้องใช้สอยแต่ของชั้นเลิศเพื่อความสะดวกสบาย ทั้งยังมีข้าทาสบริวารติดตามเป็นจำนวนมาก ทว่ากระนั้นการรับใช้องค์ชายอื่นง่ายดายกว่านี้มาก เพราะบรรดาองค์ชายเหล่านั้นวัน ๆ เอาแต่เที่ยวเล่นในเมืองหลวง จับจ่ายใช้สอยและเกี้ยวหญิงงาม ไม่ได้ออกมาผจญภัยตามป่าเขาเสี่ยงอันตรายเยี่ยงนี้
สิ่งเดียวที่ทำให้เขายังคงถวายความจงรักภักดีให้องค์ชายเซียวซีคือความมีจิตใจอันดีและเปี่ยมด้วยเมตตาของตัวองค์ชายเอง แม้นั่นหมายความว่าเขาจะต้องทนกับสารพัดเรื่องวีรกรรมแผลง ๆ ก็ตามที
“จื่อเว่ย รีบเดิน เดี๋ยวจะมืดค่ำไปเสียก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ ๆ กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้”