บทที่ 2 เที่ยวเล่นจนได้เรื่อง
สองนายบ่าวเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ แข่งกับแสงอาทิตย์อันร้อนแรงแผดเผาต้นคอจนแสบไปหมด แม้เสื้อผ้าของเซียวซีจะตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายระบายอากาศชั้นดี เหมาะสมกับฤดูกาล แต่ตอนนี้ เขาถูกอาบไปด้วยเหงื่อจนชุ่มโชกไปทั้งตัว ถึงกระนั้น ทัศนียภาพข้างทางก็ทำให้เขายังมีแรงเดินต่อไป ดอกไม้บางชนิดยังชูช่ออยู่ได้แม้จะในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เขาจึงเด็ดมาหนึ่งดอกเพื่อเอาไปมอบให้กับมารดาอันเป็นที่รัก
แม้จะชอบเล่นสนุก แต่เซียวซีก็ระแวดระวังมากพอจะไม่เดินสะเปะสะปะ เขาสังเกตทุกอย่างรอบตัวและเดินขนาบไปกับเส้นทางน้ำตลอด จนในที่สุด เขาก็เดินมาถึงต้นน้ำที่ไหลลงมาจากน้ำตก ละอองน้ำกระเซ็นมาโดนใบหน้า พาให้รู้สึกรื่นเริงใจและคลายความเหนื่อยล้าทั้งหมด
เซียวซีก้มถอดรองเท้า เหยียบหินเรียบลื่นสามสี่ก้อนที่โผล่พ้นขึ้นมาจากน้ำ แล้วข้ามไปนั่งบนโขดหินสูงได้สำเร็จ ก่อนจะหย่อนเท้าลงไปในน้ำที่แม้จะอุ่นเพราะแสงแดด แต่ก็พอจะคลายร้อนได้
“องค์ชาย ประทับนั่งดี ๆ นะพ่ะย่ะค่ะ ระวังจะตกลงมา”
“รู้แล้ว ๆ เจ้าก็ตามมาสิ จะยืนทื่ออยู่ริมน้ำเช่นนั้นทั้งวันรึ”
จื่อเว่ยถอดรองเท้า ท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ เขายกชายชุดขึ้น ขณะเดินลงไปในน้ำที่ความลึกเลยข้อเท้าขึ้นมาเล็กน้อย และหยุดพะว้าพะวังจนโดนเร่งอีกรอบจึงค่อย ๆ เดินลงไปอย่างเชื่องช้า
“เจ้าจะกลัวอะไรนักหนา หาที่นั่ง แล้วมาช่วยข้าทบทวนกระบวนการจัดตั้งกองทัพในตำราดีกว่า”
องค์ชายไม่พอใจกับความชักช้า เขาลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือไปหา หมายจะให้จับเป็นหลักยึด แต่เพราะลุกพรวดพราดจนเสียหลักลื่นพรวดลงไปในแม่น้ำ ทำเอาน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง ร่างหนาจมลงอย่างรวดเร็วไปกระแทกกับหินใต้น้ำ ขาข้างหนึ่งครูดกับก้อนหินจนเลือดไหลและเจ็บชนิดที่ทำให้แข้งขาอ่อนแรงไปหมด
“องค์ชาย!!”
จื่อเว่ยร้องเรียกด้วยความตกใจ กระโดดสามก้าวติด ตามลงไปช่วยดึงร่างชายหนุ่มขึ้นมา แต่ด้วยความที่หินมันลื่น บวกกับความร้อนรนจึงทำให้ตัวเองล้มลงไปด้วย กระแสน้ำแรงพัดทั้งสองให้ยิ่งจมลงไป แต่จื่อเว่ยตั้งตัวได้ก่อน เขาตะเกียกตะกายดันตัวขึ้นมาให้พ้นน้ำ และหันไปหาองค์ชายที่ต้องพยายามรักษาชีวิตเอาไว้ให้ได้
“เซียวซี”
เสียงเรียกจากชายฝั่งทำให้ขันทีโล่งใจ ทุกครั้งที่เกิดอันตรายใด ๆ เจ้าของเสียงนี้จะเป็นผู้ช่วยองค์ชายเอาไว้ได้เสมอ
“ท่านอ๋อง ช่วยองค์ชายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงอี้กระโจนลงไปในน้ำ ความจริงมันไม่ได้ลึกเกินไปกว่าหน้าอก แต่เพราะเจ็บจากบาดแผล เซียวซีจึงทุลักทุเล ขึ้นมาไม่ได้สักที
“ยื่นมือมาเร็ว”
“เฉิงอี้ แค่ก ๆ”
ชายหนุ่มคว้าตัวเซียวซีเอาไว้ได้จากด้านหลัง ก่อนจะตีขาพาขึ้นมาถึงริมฝั่ง แล้วรีบดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามาหาเพื่อสำรวจบาดแผล
“ค่อย ๆ หายใจ” เขาลูบหลังลูบไหล่ให้คนที่ยังสำลักเอาน้ำออกจากช่องท้องไม่หยุด ก่อนจะปัดผมเปียกที่ปรกหน้าออกให้ เมื่ออาการไอสงบลง เขาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกเอาไว้ในอกเสื้อออกมาเช็ดใบหน้าซีดเซียวด้วยความเบามือ
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ข…ขอบคุณมาก”
“ไปทำการประมาทจนตกน้ำอีกแล้วหรือ”
“ไม่ต้องมาตำหนิ ข้ายังเสียขวัญอยู่” เซียวซีทำหน้าบึ้ง
“ถ้าเจ้ารู้จักเสียขวัญจริง คงไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายตั้งแต่เด็ก เจ้าอย่าเสียเวลาทำให้ข้าใจอ่อนไม่ดุด่าเจ้าเลย เพราะข้ารู้ดีว่าคนอย่างเจ้านั้นเสียขวัญไม่เป็น” แม้จะบ่นไม่ขาดปาก แต่เฉิงอี้ก็ถลกชายชุดเปียก ๆ ขึ้นเล็กน้อย เขายื่นมือไปหาจื่อเว่ยที่ก็หยิบผ้าวางบนมือให้ทันที
“จะพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูก ตอนโดนไอ้พวกคนเถื่อนรุมล้อม ข้าก็เสียขวัญอยู่นะ” องค์ชายเถียงคอเป็นเอ็น
“แต่เจ้าก็ฆ่าพวกมันตายเหี้ยน”
เฉิงอี้ซับบาดแผลเบามือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นผสานสายตากับอีกฝ่ายเข้าพอดี ดวงตาที่แสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมามีประกายวูบไหวเจืออยู่ ทำให้คนมองกลับกลายเป็นฝ่ายที่ต้องหลบสายตาเสียเอง
เขากระแอมแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “เจ็บมากหรือเปล่า”
“มาก”
“ก็แสดงว่าไม่มาก”
“เฉิงอี้!!”
“เจ้าไม่มีสิทธิ์โวยวายนะ” ท่านอ๋องผู้เคร่งขรึมบรรจงซับเลือดจากบาดแผล หากใครมาเห็นภาพนี้ก็คงไม่อยากเชื่อว่าคนแข็งกระด้างแบบเขาจะมีมุมอ่อนโยนกับใครเขาเป็นด้วย
“แล้วนี่ท่านตามข้ามาถูกได้อย่างไร”
“จะอย่างไรก็ช่างเถอะ แต่คราวหลังอย่าทำเช่นนี้อีก ข้ารู้ว่าเจ้าเก่ง ดูแลตัวเองได้ แต่อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่เคยได้ยินเรื่องชายที่ลื่นล้มในบ้านแล้วเสียชีวิตหรือ”
“ไม่เคยเลย เรื่องเป็นมาอย่างไรกัน”
เฉิงอี้รู้ดีว่ากำลังถูกยั่วเย้า หากเขาแสดงออกทางสีหน้า เซียวซีก็จะยิ่งได้ใจและแกล้งเขาไม่เลิกรา
“เราต้องไปกันแล้ว เจ้าต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะไม่สบาย”
“ข้าไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น”
“จะต้องให้เอ่ยอีกกี่รอบว่าข้าเข้าใจ แต่ป้องกันไว้ก่อนก็ไม่เสียหายไม่ใช่หรือ”
“ขอรับ! ท่านแม่ทัพใหญ่” เซียวซีรับคำแข็งขัน เลียนแบบทหารชั้นประทวนที่มักจะยืดอกและเปล่งเสียงออกมาชัดถ้อยชัดคำเมื่อได้พูดกับแม่ทัพใหญ่ที่น่าเกรงขาม
“เจ้านี่มันเหลือทน”
คนถูกบ่นยิ้มกริ่ม เดินตามร่างหนาไปโดยไม่โต้แย้งอะไรอีก ถึงแม้เขาจะเป็นองค์ชาย แต่เฉิงอี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลยแม้แต่น้อย ท่านอ๋องผู้นี้เป็นคนที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัยมากถึงขนาดเลี้ยงให้เติบโตมากับเขาราวกับพี่น้อง ปล่อยให้ศึกษากับอาจารย์คนเดียวกัน ออกรบเคียงข้างกัน และขอคำสัญญาว่าเฉิงอี้จะต้องคอยดูแลเซียวซีให้ดี
“ท่านอ๋อง”
เฉิงอี้หันกลับมาหาจื่อเว่ยที่เพิ่งกลับเข้ามาในห้องโถง หลังจากแอบเอาชุดองค์ชายไปตาก ไม่ควรมีใครได้เห็นองค์ชายในสภาพเปียกมะล่อกมะแล่กเช่นนั้น
“มีอันใดหรือ”
“ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านอ๋องกับองค์ชายเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ใครเป็นคนมาบอก ได้ฝากข้อความมาด้วยหรือไม่” โดยปกติเขาและเซียวซีจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้ทุกสัปดาห์เพื่อกราบทูลรายงานถึงสถานการณ์ทั่วไปทางการทหาร แม้ตอนนี้จะมีเรื่องของชนกลุ่มน้อยที่สร้างปัญหาอยู่เนือง ๆ แต่ยังไม่เลวร้ายถึงขนาดจะต้องเข้าเฝ้าเร่งด่วน
“ไม่มีข้อความฝากมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาเถอะ ข้าจะไปตามเซียวซีเอง เจ้าออกไปรอด้านนอก” เฉิงอี้เดินเข้าไปในห้องบรรทมด้านใน แต่ไม่ได้ก้าวล่วงเข้าไปยังพื้นที่ส่วนตัว เขาเพียงแต่ยืนอยู่ข้างนอก และมองเงาที่ขยับอยู่เบื้องหลังบานประตู
“เฉิงอี้ นั่นท่านหรือ”
“ข้าเอง ฝ่าบาทมีรีบสั่งเข้าเฝ้า ข้าไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร”
“จะไปเดี๋ยวนี้” เงาร่างขยับเคลื่อนไหวอีกเล็กน้อย
เฉิงอี้ถอยออกมา ตอนประตูเปิดกว้าง เซียวซียังแต่งตัวไม่เรียบร้อยนัก เพิ่งจะเอาสาบเสื้อทบเข้าหากัน เขาจึงต้องหันไปทางอื่น และรีบชวนคุยลดความกระอักกระอ่วนในใจ
“แผลเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“อา เราเคยโดนแทงมาด้วยกันแล้วนะ แผลแค่นี้ไม่สะดุ้งสะเทือนข้าหรอกท่านแม่ทัพใหญ่ เลือดไม่ไหลแล้วล่ะ” ชายหนุ่มออกเดิน เขาถึงได้เดินตาม แต่แล้วเซียวซีก็ผ่อนฝีเท้าลงเพื่อจะให้ทั้งคู่ได้เดินเคียงข้างกัน