บทที่ 5 ผ้าคลุมไหล่เป็นเหตุ
“หายเจ็บหรือยัง ลุกขึ้นเองไหวไหม”
ธัญรดีสะดุ้งน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงของเขา เป็นเพราะจมอยู่กับความคิดนานเหลือเกิน ทำให้เธอลืมความเจ็บปวดตรงหัวเข่าไปเสียสิ้น มิหนำซ้ำยังปล่อยใจให้เคลิ้มไปกับดวงดาวนับร้อยดวงที่โน้มต่ำลงมาใกล้...ดูคล้ายเธอจะสามารถเอื้อมมือถึงมันได้
“หายแล้วค่ะ ฉันจะกลับห้องพัก”
“ผมไม่อยากขัดจังหวะดูดาวของคุณหรอกนะ แต่คิดว่าคุณควรอาบน้ำและกินอะไรรองท้องสักหน่อย” ดวงตาคมของคนพูดพราวแสงในความมืด ก่อนจะตามด้วยประโยคต่อมาพร้อมกับยกมือขึ้นลูบท้ายทอยเขินๆ “ผมเพิ่งนึกได้ว่าคุณยังไม่ได้กินอะไร แม้แต่น้ำสักแก้ว”
ถ้ากันต์ไม่พูดถึง ธัญรดีก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน ความเครียดที่ต้องเผชิญกับเรื่องในวันนี้คงทำให้เธอลืมหิว
กันต์ลุกขึ้นยืน ธัญรดีจึงขยับตัวตาม วางสองมือกับพื้นเรือ ตั้งท่าจะดันร่างตัวเองให้ลุกขึ้น เธอรอ...เพราะอยากให้เขาเดินไปก่อน
หากผ่านไปชั่วอึดใจแล้ว ขายาวแข็งแรงของคนที่ยืนค้ำหัวเธอก็ยังไม่ขยับ
“ลุกมาสิ”
ชายหนุ่มยื่นมือไปหา ธัญรดีลังเล ก่อนเธอจะวางมือตัวเองลงบนมือใหญ่ หากแค่สัมผัสบางเบา ความผ่าวร้อนที่ส่งผ่านมานั้นก็ทำให้หญิงสาวต้องชักมือกลับ
“ออกแรงลุกขึ้นยืนเองด้วยสิ อะไรกัน พอผมจะช่วย คุณก็ทิ้งน้ำหนักลงทั้งตัวเลยหรือ”
นอกจากมือของเธอจะถูกเขาคว้าหมับเอาไว้ ไม่ยอมให้เธอดึงกลับตามที่ตั้งใจ หญิงสาวยังได้ยินเสียงกระเซ้าตามมาอีกด้วย
“ฉันลุกเองดีกว่าค่ะ คุณกลับไปก่อนก็ได้”
“ไม่ดีกว่า เรากลับพร้อมกันนี่แหละ ตอนนี้ยิ่งมืดๆ อยู่ด้วย ขืนผมปล่อยให้คุณเดินกลับเอง ถ้าเกิดคุณเดินสะเปะสะปะตกเรือลงไปในทะเล แล้วผมจะทำยังไง”
คำพูดห้าวทุ้มกลั้วหัวเราะนั้นดังเคล้าเสียงริ้วคลื่นกระทบลำเรือเบาๆ เธอรู้ว่ากันต์แค่กระเซ้าเล่น แต่มือของเธอดันสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ หญิงสาวไม่รู้แน่ชัดว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้ร่างกายของเธอตอบสนองอย่างนี้…
ธัญรดีกระตุกมือออกจากอุ้งมือหนาอีกรอบ ก่อนที่เธอจะทำขายหน้ามากไปกว่านี้ แต่กันต์ก็กวนอารมณ์เธออยู่ได้
บ้าที่สุด! ทำไมเขาไม่ปล่อยมือเราสักที
กันต์มองแผ่นหลังบางของคนที่พอเดินกะเผลกเข้าไปในห้องพักได้ก็ปิดประตูทันทีด้วยแววตายิ้มๆ
ธัญรดีไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเขา ทั้งที่เขาแค่จะประคองไหล่เธอเพื่อช่วยผ่อนแรงไม่ให้หัวเข่าข้างที่บาดเจ็บรับน้ำหนักมากไป
เธอเลี่ยงที่จะใกล้ชิดเขา ท่าทางของธัญรดีอ่านง่ายจะตาย เมื่อสักครู่ตอนที่ทั้งสองคนเดินมาด้วยกัน แสงไฟจากบริเวณหน้าโถงที่สาดส่องมาถึงนั้นทำให้เขาเห็นท่าทางของเธอได้อย่างชัดเจน เธอพยายามมองไปทางอื่นที่ไม่มีเขา นั่นก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มนึกขำ
กันต์ก้มมองตัวเอง ไม่อยากจะคิดเลยว่าสภาพเปลือยท่อนบนทั้งที่ท่อนล่างยังมีกางเกงขาสั้นสวมทับกางเกงว่ายน้ำอยู่อีกชิ้นนั้นจะส่งผลต่อหญิงสาววัยใกล้สามสิบปีอย่างเธอ...แต่มันก็เป็นไปแล้ว
ดวงตาคมปรายมองประตูห้องพัก ก่อนเขาจะเคาะประตูส่งสัญญาณแล้วบอกเธอ
“อีกครึ่งชั่วโมงคุณออกมานะ ผมจะเตรียมอาหารไว้ให้”
ร่างสูงเพรียวด้วยมัดกล้ามอย่างพองามตามประสาผู้ชายที่ชอบออกกำลังกายกลางแจ้งผละออกจากหน้าประตูห้องพักของหญิงสาวแล้วเดินไปทางด้านหลังของโถงเรือ ก่อนเขาจะเปิดประตูอีกห้องหนึ่งแล้วหายเข้าไปในนั้น
ดวงหน้าสวยผละออกห่างจากบานประตู กันต์คงเดินออกไปแล้ว ธัญรดีไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาหรอก แต่เธอคะเนจากช่วงเวลาที่ผ่านมานับนาที...คงไม่มีใครมายืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องของเธอนานขนาดนี้
หญิงสาวหันกายเข้าห้องน้ำอย่างว่องไว แล้วเปิดน้ำจากก๊อกวักใส่หน้าระรัว เธอกำลังใช้สายน้ำอุ่นเรียกสติ อยากลบภาพกายกำยำล่ำสันให้ออกไปจากดวงตา...เอ๊ะ! หรือว่ามันถูกพิมพ์เข้าไปในหัวแล้วก็ไม่รู้ เพราะไม่ว่าจะล้างอย่างไร ภาพน่าเกลียดนั่นก็ไม่หายไปสักที
ธัญรดีดึงผ้าขนหนูที่แขวนอยู่บนราวมาซับน้ำบนใบหน้าออก เพิ่งสังเกตว่าน้ำไหลเป็นทางลงมาถึงลำคอ มันทำให้เธอเกือบเปียกโชกทีเดียว หากเมื่อมองตัวเองในกระจกนิ่งๆ หญิงสาวก็ยิ่งขัดใจ
“ทำไมแก้มแดง”
มือบางยกขึ้นมาแตะแก้มนวล นอกจากแก้มจะเป็นสีแดงเรื่อแล้ว มันยังร้อนผ่าวอีกด้วย...ที่สำคัญ ดวงหน้าของเธอก็ดูประหลาด เหมือนกำลังถูกบ่มด้วยอารมณ์บางอย่างชอบกล
เมื่อสักพักใหญ่ก่อนออกไปทางท้ายเรือ ธัญรดีก็ส่องกระจกไปแล้วครั้งหนึ่ง หน้าตาของเธอตอนนั้นไม่ได้เป็นแบบนี้ สีของพวงแก้มไม่ได้แดงก่ำ...ไม่อยากคิดเลยว่าแดดลมที่บ่มเมื่อตอนกลางวันจะสำแดงฤทธิ์เอาเวลานี้
หญิงสาวส่ายหน้าแรงๆ หวังสลัดความคิดฟุ้งซ่านให้ออกจากหัว ก่อนจะก้าวออกจากห้องน้ำแล้วมายืนอยู่กลางห้องพัก บริเวณปลายเตียงนอนยังมีบานประตูที่ดูกลมกลืนไปกับผนัง เมื่อเดินไปเปิดจึงรู้ว่ามันเป็นตู้เสื้อผ้า
“เสื้อผ้าของใคร” เมื่อเจ้าของเรือให้สิทธิ์ครอบครองห้องพัก ธัญรดีจึงถือวิสาสะหยิบมาดูทีละชิ้น “เสื้อยืด แล้วก็เสื้อเชิ้ต เสื้อผ้าของใครกันนะ มีหลายขนาดด้วย”
ธัญรดีพึมพำถามตัวเองขณะกวาดสายตาสำรวจเสื้อผ้าชิ้นอื่นๆ ไปด้วย พลันสายตาสะดุดเข้ากับผืนผ้าสีน้ำเงินซึ่งมีลวดลายเฉพาะที่คุ้นตา เมื่อคลี่ออกมาจึงเห็นว่าเป็นผ้าผืนใหญ่พอตัว ใหญ่ขนาดพันรอบกายของเธอได้เลยทีเดียว
“ผ้าไหมซาติน...ของมีแบรนด์เสียด้วย สวยจัง ผ้านุ่มดีด้วย”
เรียวปากอิ่มแย้มออกมาเต็มสีหน้าเมื่อเจอของถูกใจ เธอหยิบมากางเต็มความยาวของผืนผ้า ยกขึ้นมาเหนือศีรษะแล้วหมุนรอบ แหงนมองความพลิ้วของชายผ้าอย่างนึกสนุก
คนร่างสูงเพรียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงสูงตรงบาร์เครื่องดื่มในห้องโถงหันมองทันทีเมื่อหางตาแลเห็นบานประตูห้องพักของคนที่ตนกำลังรอคอยเปิดออกมา
ดวงตาคมไหวระริกเมื่อเห็นดวงหน้านวลผ่องของหญิงสาว เจ้าหล่อนดูสดชื่นขึ้น หากเมื่อกดสายตาลงมายังสะโพกผายกลมกลึงที่ห่อหุ้มด้วยผ้าสีน้ำเงินลวดลายคุ้นตา มือแข็งแรงจึงวางแก้วเครื่องดื่มลง แล้วเดินไปหาคนเป้าหมายอย่างไม่อยากให้คาใจ
“เอาผ้าผืนนี้มาจากไหน”
ธัญรดียืนตัวแข็งทื่อตั้งแต่เห็นกันต์ลุกจากเก้าอี้เดินมาหาแล้ว ต่อเมื่อได้ยินเสียงห้าวกระชากถาม เธอจึงถอยหลังโดยอัตโนมัติ หากแผ่นหลังก็ชนบานประตูห้องเสียก่อน
“ฉันเห็นมันอยู่ในตู้เสื้อผ้า เลยหยิบมาใช้ ฉัน...ขอโทษด้วยค่ะที่ไม่ได้ถามคุณก่อน”
กันต์ไม่เคยทำหน้าเครียดกับเธอมาก่อน ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ธัญรดีจำได้เพียงว่าดวงหน้าคมสันมักเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม หรือบางทีก็มีร่องรอยขบขันโดยที่เธอไม่รู้อีกนั่นแหละว่าเขาขันอะไรในตัวเธอนักหนา ทว่าในเวลานี้มันฉาบทับด้วยความเคร่งเครียด...เขากำลังทำให้เธอกลัว
“ถ้าคุณไม่ให้ใช้ ฉันเอาไปเก็บก็ได้ค่ะ”
รู้ว่าตัวเองผิดที่หยิบของมาใช้โดยไม่ได้ถามเขาก่อน เพราะความสวยของผืนผ้าแท้ๆ ที่ทำให้เธอลืมตัวทำเรื่องไม่น่ารักลงไป
ธัญรดีขยับกายให้ออกจากห่างบานประตูห้องเพื่อจะเปิดมัน แต่เธอก็ทำได้ยาก เพราะคนร่างสูงก้าวมาใกล้จนเกือบจะชิด และไม่ทันที่เธอจะได้เปิดประตูตามความตั้งใจ พลันต้องร้องหวีดร้องออกมา ปัดมือเขาออกพัลวัน
“คุณทำอะไร ปล่อยๆ ปล่อยก่อน ฉันจะถอดเอง”