บทที่ 3 สินค้าพรีเมียม
เลือดในกายเย็นเฉียบ หัวใจของธัญรดีบีบรัดขณะมองเรือเร็วลำสีขาวแล่นห่างออกไป...กระทั่งเรือลำนั้นลับหายจากสายตา
กันต์จับตามองคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงท้ายเรือ เขาไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่มั่นใจว่ามันไม่ใช่ความยินดีอย่างแน่นอน
‘...และเธอก็เต็มใจช่วยผมทุกทีที่ผมเดือดร้อน’
คำพูดของคนเจ้าเล่ห์ย้อนเข้ามาในหัว กันต์รู้ว่านัทธีจงใจพูดให้เขาเข้าใจว่าธัญรดียินยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้ได้เงินห้าล้าน แต่ภาพที่ประจักษ์สู่สายตา ต่อให้เป็นคนโง่และหูเบาแค่ไหนก็ต้องรู้ว่าเจ้าหมอนั่นโกหก
“คุณจะดื่มอะไรไหม”
หวังจะดึงเธอออกมาจากความนิ่งงัน เพราะความนิ่งของเธอนั้นทำให้เขาไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไร
“ไม่ค่ะ”
กันต์ไหวไหล่ คำตอบของคนซื่อที่ดื้อรั้นอย่างเธอไม่ได้ทำให้เขาผิดคาด
“ถ้าไม่ดื่ม...คุณก็ควรนั่งลง”
เจ้าของเรือสำราญเชื้อเชิญแขกที่ถูกทิ้งไว้ให้นั่งลงเสีย เชื่อว่าหากใครมาเจอสถานการณ์อย่างนี้เข้าก็ยากจะทำตัวให้เป็นปกติ แค่เธอครองสติได้อย่างที่เห็น กันต์ก็คิดว่าเธอเก่งมากแล้ว
“ฉันจะกลับ ของของฉันอยู่ที่โรงแรม”
คนที่หย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้มาหลายนาทีพูดขึ้น ทำให้คนที่นอนเอนกายรอพระอาทิตย์ตกดินอยู่บนเก้าอี้อีกตัวนั้นต้องนิ่วคิ้วขมวด
“กลับยังไง คุณจะให้ใครมารับ” ยอมรับว่างุนงง เพราะความต้องการของเธอไม่ได้อยู่ในหัวเขาสักนิด
“เรือของคุณจะกลับกี่โมงคะ” ธัญรดีไม่ตอบคำถาม หากแต่ถามเขากลับ และคำถามนั้นทำให้กันต์ฉุนกึก
“กี่โมง? นี่คุณคิดว่าเรือลำนี้จะพาคุณไปส่งที่ฝั่งอย่างนั้นหรือ”
“ถ้าไม่ใช่เรือลำนี้ คุณก็ต้องมีเรือเร็วลำอื่น”
“ผมไม่มี”
คนตัวใหญ่ชันกายขึ้นมานั่ง แล้วถอดแว่นตากันแดดราคาแพงออก นับเป็นครั้งแรกที่ธัญรดีได้เห็นดวงตาของเขา อะไรบางอย่างในสายตาคู่นั้นทำให้เธอเบือนหน้าไปทางอื่น
“และเรือลำนี้ก็จะไม่กลับเข้าฝั่งในวันนี้ด้วย”
ชายหนุ่มย้ำช้าๆ ชัดๆ หวังให้คนผิวผ่องที่นั่งอยู่ท่ามกลางแสงแดดยามเย็นสาดส่องนั้นเข้าใจและรู้ตัวว่าอย่าออกคำสั่งกับเขา
“แต่ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้”
“คุณจะให้ผมทำยังไง ผมพักผ่อนของผมดีๆ พวกคุณก็มาหาผมเอง แล้วผมต้องรับผิดชอบพวกคุณด้วยหรือ”
“ฉันไม่ได้อยากมาตั้งแต่แรก แล้วฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าเรื่องมันจะเป็นอย่างนี้...ถ้ารู้ ฉันก็คงไม่มา” ประโยคท้ายหญิงสาวรำพันเสียงเบาคล้ายพูดกับตัวเองมากกว่าพูดกับเขา
“อย่างนี้คืออย่างไหน” จู่ๆ ก็อยากรู้ความคิดของเธอ
“พี่นัทโกรธฉัน”
“นายนั่นโกรธคุณ?...คุณคิดว่าเขาโกรธแล้วทิ้งคุณไว้ที่นี่อย่างนั้นหรือ”
เสียงหัวเราะห้าวทุ้มดังขึ้น ธัญรดีคอแข็ง เธอไม่อยากเป็นตัวตลกให้เขาหัวเราะ
“คุณไม่รู้มาก่อนใช่ไหมว่าเขาติดการพนัน”
“ฉันไม่อยากพูดเรื่องนี้”
ไม่ใช่เพราะอยากปกป้องนัทธี แต่เป็นเพราะเธอไม่อยากยุ่งเรื่องนี้ต่างหาก และเธอก็เพิ่งรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้นัทธีต้องดิ้นรนหาเงินตั้งมากมายนั้นเป็นเพราะเขาติดการพนัน
มันเป็นเรื่องใหญ่เกินไป และมันก็น่ากลัวจนเธออยากพาตัวเองออกมาห่างๆ
หญิงสาวชำเลืองมองผู้ชายที่ทอดกายเอกเขนกบนเก้าอี้อย่างอัตโนมัติ แล้วยกสองมือขึ้นมากอดตัวเองไว้ ไม่ใช่เพราะสายลมเย็นที่พัดแผ่ว แต่เป็นเพราะความหวั่นระแวงที่คืบคลานเข้ามาเกาะกุมดวงใจ
เธอกำลังปกป้องตัวเองจากสถานการณ์ที่ยังไม่อาจวางใจได้
ใกล้ค่ำแล้ว พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลาลับจากเส้นขอบกั้นของทะเลและแผ่นฟ้า เจ้าของเรือสำราญยังนอนทอดกายอยู่ที่เดิม ในมือมีเครื่องดื่มที่ยกขึ้นมาจิบอย่างเพลินใจ เขากำลังดื่มด่ำกับความนิ่งสงบที่ใฝ่หามาหลายเดือน หลังจากต้องเลื่อนแผนพักผ่อนมาถึงสองครั้ง พลันมือแข็งแรงที่กำลังยกแก้วบรั่นดีขึ้นมาจิบนั้นต้องชะงักค้าง เมื่อเสียงหนึ่งแทรกความเงียบขึ้นมา
“คุณจะอยู่ที่นี่ทั้งคืนหรือไง แล้วฉันล่ะ ฉันจะกลับโรงแรมยังไง ข้าวของของฉันยังอยู่ที่นั่น”
กันต์หลับตาด้วยต้องการปรับอารมณ์ หลายวินาทีต่อมาจึงลืมตาแล้วชันกายขึ้นมานั่งตัวตรง วางแก้วเครื่องดื่มบนโต๊ะขนาดเล็กข้างตัว
“คุณมาที่เรือลำนี้ยังไง”
เมื่อถูกย้อนถาม คนกำลังจนหนทางกลับเข้าฝั่งก็กัดริมฝีปากแน่น กระบอกตาร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ
“ฉันรู้ว่าฉันมาของฉันเอง ไม่เกี่ยวกับคุณ แต่ฉันกำลังขอความช่วยเหลือจากคุณ ฉันต้องกลับโรงแรม ฉันห่วงของที่ทิ้งไว้ในห้องพัก”
เธอออกมาตัวเปล่า แม้แต่กระเป๋าสตางค์หรือโทรศัพท์มือถือก็ไม่ทันได้หยิบมาด้วย ตอนนั้นเพียงแค่เปิดประตูห้องพักตามเสียงเคาะของนัทธี เขาก็ดึงเธอเข้าไปในลิฟต์โรงแรมแล้วพามาที่นี่ด้วยท่าทีเร่งร้อน
“คุณขอความช่วยเหลือจากผมอยู่เหรอ ถ้าไม่บอก ผมไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย”
กันต์ยังมีอารมณ์ขันทั้งที่อีกคนแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ หลังจากนั่งรออย่างไร้ความหวังมานานกว่าชั่วโมง เธอก็พบว่าตัวเองอาจติดอยู่ในเรือลำนี้ทั้งคืน
ชายหนุ่มมองท่าทีสับสนระคนหดหู่ของหญิงสาว เขาไม่รู้ว่าเธอคิดอะไร แต่พอใจที่เธอไม่พล่ามถึงนายคนนั้น นอกจากบอกว่าห่วงของที่ทิ้งไว้ในห้องพักของโรงแรม
คนร่างสูงยืดกายยืนขึ้นจากเก้าอี้ ขณะที่อีกคนก็ชำเลืองมองตาม เธออยากรู้ว่าเขาจะทำอะไร
กันต์เดินกลับไปยังโถงเรือ หากก่อนเข้าไปในนั้น เขาก็หันมาบอกเธอ
“เข้ามาข้างใน คืนนี้คุณต้องค้างที่นี่ ในเรือมีห้องพักสำหรับคุณ”
ธัญรดีนิ่วหน้า ทำท่าจะร้องไห้ออกมาจริงๆ หมดสิ้นแล้วความหวังที่จะกลับเข้าฝั่งในค่ำคืนนี้
“ถ้าคุณห่วงของในห้องพัก ผมจะบอกทางโรงแรมให้ดูแลไว้ให้”
“คุณรู้หรือว่าฉันพักที่ไหน”
กันต์ชะงัก เมื่อตวัดสายตามองคนถาม เขาก็เห็นเธอจ้องมองอยู่
ให้ตายสิ! ทำไมยายคนนี้ต้องคาดคั้นเราด้วย
“คุณจะย้อนถามผมทำไม ถ้าอยากให้ผมช่วยก็บอกชื่อโรงแรมมา ผมจะติดต่อไปบอกเขาให้ ยังไงพรุ่งนี้คุณก็กลับไปเช็กเอาต์ไม่ทันเวลาอยู่แล้ว”
“เอ๊ะ! เดี๋ยวนะคะ ถ้าคุณติดต่อโรงแรมได้ คุณก็บอกให้เขาเอาเรือมารับฉันได้ด้วยสิ”
ถึงโรงแรมจะไม่มีบริการเรือรับส่งลูกค้า แต่อย่างน้อยก็ขอให้ช่วยเป็นธุระจัดหาเรือเร็วมารับเธอกลับไปได้อย่างแน่นอน
“มันก็ได้...แต่ตอนนี้มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ไม่มีใครออกเรือมาพาคุณกลับเข้าฝั่งหรอก ต่อให้คุณไปติดเกาะอยู่ตรงไหนก็เถอะ”
“หมายถึงถ้าไม่ใช่ตอนค่ำ เขาก็เอาเรือมารับฉันได้ใช่ไหมคะ”
ธัญรดีปราดไปใกล้คนตัวสูง เงยหน้าขึ้นถามเขาอย่างมีความหวัง หากชายหนุ่มนิ่งไปอีกรอบ...เขากำลังใช้ความเงียบเป็นคำตอบ
“แล้วทำไมคุณไม่บอกฉันล่ะ”
ธัญรดีครางโหย เธอถูกนัทธีทิ้งไว้บนเรือสำราญตั้งแต่ตอนเย็น ได้แต่คิดว่าเวลานั้นถ้ากันต์ช่วยติดต่อโรงแรมให้หาเรือมารับ ป่านนี้เธอคงได้กลับไปพักอยู่ในโรงแรมแล้ว
ท่าทีของผู้หญิงตรงหน้าทำให้กันต์รู้สึกแปลกในอก แม้จะถูกเธอโยนทุกความผิดพลาดให้เป็นความรับผิดชอบของเขา แต่เขาก็ไม่คิดจะผลักไสมันให้พ้นตัว
“คุณจะล้างหน้าล้างตาหน่อยไหม”
เพราะเห็นร่องรอยเหนื่อยล้าที่ผุดบนดวงหน้าหวาน ชายหนุ่มจึงเสนอขึ้นมา และเมื่อธัญรดีไม่ตอบรับ เขาจึงถือวิสาสะเดินผ่านเธอไปดึงบานประตูห้องพักที่เชื่อมกับผนังโถงเรือให้เปิดกว้าง แล้วบุ้ยใบ้เข้าไปด้านใน
“นี่เป็นห้องพักของคุณ มันแคบหน่อยนะ แต่คุณอยู่ในนี้ได้...ผมรับรองว่าปลอดภัย”
เธอจะปลอดภัยจากอะไร...ธัญรดีไม่ได้ถามเขาหรอก เพราะไม่อยากตอกย้ำคิดถึงสิ่งที่อาจทำให้ไม่สบายใจ อีกทั้งอะไรบางอย่างในตัวของกันต์นั้น มันก็ทำให้เธอเชื่อตามคำพูดของเขาได้อย่างประหลาด
เมื่อชายหนุ่มเห็นหญิงสาวยังยืนจดๆ จ้องๆ อยู่ตรงหน้าประตู ไม่ยอมเข้าไปข้างในสักที เขาจึงถอยออกมาห่างๆ
“ข้างในมีห้องน้ำ คุณใช้ผ้าเช็ดตัวในห้องน้ำได้ มันเป็นของใหม่ อ้อ! มียาสระผมและสบู่ด้วย”
“ขอบคุณค่ะ”
ธัญรดีพึมพำบอก เมื่อเห็นว่าเขายืนห่างจากบานประตูพอสมควร เธอจึงกล้าที่จะเดินผ่านเข้าไปในนั้น
ผนังห้องพักด้านนอกเป็นรูปโค้งมน ส่วนด้านในซึ่งเชื่อมกับโถงเรือนั้นเป็นแนวตรง ธัญรดีไล้มือไปตามผนังห้องพักสีขาวอย่างสำรวจ ภาพเรือสำราญที่เห็นจากด้านนอกตอนนั่งเรือเร็วเข้ามานั้น เธอรู้ทันทีว่าของเล่นเศรษฐีชิ้นนี้คงมีราคาแพงลิบ…หากตอนนั้นเธอกลับไม่คิดว่าจะเป็นเรือของกันต์
ห้องพักห้องนี้แม้จะมีพื้นที่จำกัด แต่ไม่ทำให้เธออึดอัดเมื่อเข้ามาอยู่ข้างใน ด้วยมีระบบระบายอากาศที่ดีเลิศ รวมถึงอุณหภูมิเย็นฉ่ำกำลังดี มันทำให้เธอรู้ว่าทุกส่วนบนเรือลำนี้ล้วนประกอบมาจากวัสดุคุณภาพสูง
ธัญรดีหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้ริมหน้าต่างกรุด้วยกระจกบานขนาดย่อมแล้วมองวิวข้างนอก เห็นความมืดสลัวที่โรยลงมาปกคลุมทั่วท้องทะเล...เมื่อจ้องมองอยู่นานหลายนาที เธอก็เผลอห่อไหล่อย่างลืมตัว
น่ากลัว...เขาอยู่บนเรือลำนี้ได้ยังไง
เรียวคิ้วสวยมุ่นขมวดเมื่อนึกถึงตรงนี้
“มีใครอยู่บนเรือบ้างนะ นอกจากเขา...และก็เรา”
พลันดวงตาหวานก็เบิกโต ก่อนเธอจะทะลึ่งกายพรวดขึ้นยืน แล้วเปิดประตูห้องพักก้าวฉับๆ ออกไปยังห้องโถง กวาดสายตามองรอบๆ
ว่างเปล่า...ไม่มีใครสักคน
“เขาไปไหน”
ธัญรดีพึมพำถามตัวเอง อย่างน้อยในค่ำคืนนี้ก่อนจะนอนหลับในห้องพัก เธอก็ควรรู้ว่าบนเรือลำนี้นอกจากเขาแล้วยังมีใครอยู่อีกบ้าง