บทที่ 3 เด็กในบ้าน
ธามอาบน้ำแต่งตัวใหม่ด้วยเสื้อผ้าชุดลำลองแล้วลงไปชั้นล่าง เขารู้สึกสดชื่นขึ้นหลังจากแบกความล้ามาทั้งช่วงเช้า หลังจากทำหน้าที่ผู้ประกาศข่าวในช่วงเวลาของตัวเอง เขายังต้องเข้าประชุมกับทีมคนทำงานและผู้บริหารของสำนักข่าว ซึ่งกว่าจะเสร็จก็กินเวลาเกือบสามชั่วโมง หลังจากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับ
ชายหนุ่มเปิดตู้เย็นที่วางอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องรับประทานอาหาร แล้วหยิบเบียร์กระป๋องเย็นเฉียบติดมือออกมา ก่อนจะเดินไปยังหน้าบ้าน แล้วปีนขึ้นไปนั่งบนขอบระเบียง
เมื่อกวาดสายตาไปทางด้านหน้าของอาณาเขตใหญ่ บ้านใหญ่ของพ่อยังตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น แต่นานแล้วสินะที่เขาไม่ได้แวะเวียนไปหา หากยังทักทายผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือเกือบทุกเช้า
อาณาเขตแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่สิบกว่าไร่ นอกจากบ้านหลังใหญ่ของพ่อที่ปลูกสร้างอยู่ทางด้านหน้าและบ้านหลังเล็กสองชั้นของเขาหลังนี้ ก็ยังมีบ้านของเจตน์พี่ชายคนโตที่สร้างอยู่ใกล้กำแพงอีกฝั่ง ส่วนกันต์ซึ่งเป็นน้องชายคนเล็กนั้น แม้พ่อจะกันที่ดินว่างไว้ให้ แต่เจ้าตัวก็ไม่มีแผนจะย้ายมาอยู่ด้วยกัน...กันต์ยังสมัครใจที่จะพักอยู่ในเพนต์เฮาส์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาคนเดียว
ชายหนุ่มเปิดกระป๋องเบียร์แล้วดื่มอย่างผ่อนคลาย พลันเมื่อเหลือบสายตาขึ้นมองท้องฟ้าก็เห็นความมืดครึ้มเคลื่อนเข้ามาปกคลุม ดูท่าแล้วไม่แคล้วว่าจะมีฝนตกห่าใหญ่ในอีกไม่ช้า ปลายกิ่งใบของต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นเป็นทิวแถวตลอดแนวของทางเข้าบ้านกำลังไหวเอนด้วยแรงลมพัด
สายตาคมปลาบมองผ่านแนวต้นไม้นั้นออกไปจนเห็นบ้านพักคนงาน เพราะมีต้นไม้เป็นม่านบังตาจึงทำให้เขาเห็นบ้านหลังนั้นแค่รางๆ หากนึกประหลาดใจอยู่ครามครัน เขาอยู่บ้านหลังนี้มาแปดปีแล้ว แต่ไม่เคยคิดจะมองเห็นมันมาก่อน
‘แกสร้างบ้านตรงนั้นเถอะ มันอยู่ใกล้บ้านพักคนงานเกินไป ฉันไม่อยากให้คนในบ้านมารู้เห็นเรื่องของฉัน’
‘ไม่อยากให้คนงานเอาไปพูดเวลาเห็นนายหิ้วผู้หญิงมานอนด้วยงั้นสิ’
‘ปากแกนี่นะ’
ธามหัวเราะเมื่อจำได้ว่าต้อนเจตน์จนจนมุม อีกทั้งเจ้าตัวก็ไม่ได้พูดแก้ตัว เพราะต่างรู้แก่ใจกันดีว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมันเป็นเรื่องจริงเสียยิ่งกว่าอะไร
เจตน์เลือกสร้างบ้านบนที่ดินแปลงที่ตั้งห่างออกไป แทนที่จะเป็นแปลงนี้ที่พ่อเลือกให้ตั้งแต่แรก แถมเจ้าตัวยังอุตส่าห์ทำประตูเข้าออกเป็นของตัวเอง เพราะไม่ต้องการขับรถผ่านประตูด้านหน้าซึ่งเป็นทางเข้าออกของบ้านใหญ่ อีกทั้งยังเลี่ยงใช้ประตูรั้วด้านหลังซึ่งเป็นเส้นทางที่คนงานใช้กันเกือบทุกวันอีกด้วย
แรกทีเดียว ธามยังใช้ทางเข้าออกร่วมกับบ้านใหญ่ แต่พอเห็นว่าทางออกด้านหลังสามารถเชื่อมกับเส้นทางลัดที่ตัดผ่านไปยังสถานที่ทำงานของตนได้ มันสะดวกกว่า เพราะไม่ต้องเสี่ยงกับรถติดบนถนนสายหลักอยู่ทุกวัน อีกเหตุผลนั้นก็คืออยากเลี่ยงจากคนบ้านใหญ่เป็นทุนเดิม
ธามไม่อยากเจอพ่อกับผู้หญิงคนปัจจุบันที่เข้ามาในฐานะคนดูแลบ่อยนัก เขาไม่มีปัญหาที่พ่อมีผู้หญิงคนใหม่ ดีเสียอีกที่พ่อมีคนดูแล แต่เป็นเพราะเขาอยากได้ความเป็นอิสระ และอยากให้พ่อมีความเป็นส่วนตัวด้วย เขาจึงเลือกใช้ทางออกเดียวกับคนงานไปโดยปริยาย
ส่วนแม่ของเขาซึ่งเป็นหญิงชาวสเปนที่เคยแต่งงานกับพ่อแล้วมาตั้งรกรากที่เมืองไทยในระยะหนึ่งนั้นก็ได้หย่าขาดและย้ายกลับประเทศไปตั้งแต่เขาเป็นเด็ก เมื่อก่อนเขาและพี่ชาย รวมถึงน้องชายก็เคยไปพักอยู่ด้วยเสมอ
ครอบครัวใหม่ของแม่นั้นมีแต่พ่อเลี้ยงชาวสเปนคนเดียว ซึ่งพ่อเลี้ยงก็ยอมรับลูกทั้งสามคนของแม่ได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นสำหรับธาม ถึงแม้พ่อกับแม่จะแยกทางกัน แต่เขาไม่ถือเป็นปัญหา เพราะสัมผัสได้ตลอดมาว่าตนได้รับความรักและความใส่ใจอย่างเพียงพอเท่าที่คนคนหนึ่งควรได้รับ
โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ พ่อกับแม่ก็เข้าสู่วัยชรา หากมีสิ่งใดที่เป็นความสุขและความสะดวกสบายของพวกท่าน นอกจากจะไม่ขวาง เขายังสนับสนุนให้ทำอีกด้วย
ฝนกระหน่ำเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทั้งที่ไม่ถึงชั่วโมงก่อนแสงแดดยังจ้าจนร้อนอบอ้าว
ติรยายืนเกาะเหล็กดัดหน้าต่างมองออกไปข้างนอก ม่านสายฝนหนาทำให้เธอมองภาพข้างหน้าพร่ามัว ต้นไม้ใหญ่ที่กำลังต้านลมฝนนั้นโบกสะบัดกิ่งใบอย่างน่ากลัว ก่อให้เกิดเสียงดังจนได้ยินมาถึงที่นี่
“น่ากลัวว่าต้นสนหน้าบ้านคุณธามจะโค่นลงมานะป้า”
เสียงของมะนาวซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านพักคนงานด้วยกันเปรยขึ้น ติรยาเหลียวมองแล้วคอยฟังการสนทนาระหว่างมะนาวกับป้าขวัญซึ่งเป็นคนเก่าแก่ของที่แห่งนี้ไปอย่างเงียบๆ
“ไม่โค่นหรอก ต้นสนมันแข็งแรง รากมันหยั่งลึก แถมยังยืนต้นแถวเรียงกันตั้งหลายต้น มันช่วยกันต้านแรงลมได้”
“ไว้ใจได้หรือป้า” มะนาวค้านเสียงสูง ก่อนจะทำเสียงเล็กเสียงน้อยตามมา “ตอนกลางคืน เวลาหนูมองไปทางบ้านของคุณธามทีไร กลัวจนขนลุกทุกที บรรยากาศบ้านนั้นเหมือนตั้งอยู่กลางป่าแทนที่จะเป็นกลางเมือง”
“แต่พี่ว่าน่าทึ่งดีออกนะ ต้นไม้ใหญ่ๆ เป็นแหล่งฟอกปอดให้เรา มันช่วยผลิตออกซิเจน ทำให้อากาศที่เราหายใจสะอาดและบริสุทธิ์”
ติรยาออกความเห็นพลางถอยออกจากหน้าต่าง แล้วมานั่งบนโซฟายาวใกล้ๆ กับป้าขวัญ
“ถ้าไม่ใช่ที่ดินเก่าแก่ ต้นหมากรากไม้พวกนี้ก็คงไม่เหลือ ที่ดินแปลงนี้ส่งต่อกันมาตั้งแต่คุณทวดของคุณธาม คุณเจตน์ และคุณกันต์ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ทุกวันนี้ลูกหลานของท่านยังถือครองอยู่ ไม่ได้ขายให้พวกนายทุนเอาไปสร้างคอนโด คนแก่อย่างฉันก็พลอยมีที่ซุกหัวนอนไปด้วย”
ป้าขวัญเปรย คล้ายกับรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะบอกให้ใครรับรู้ หากสองสาวที่นั่งประกบข้างกลับตั้งใจฟังอย่างเห็นเป็นเรื่องน่าสนใจ
“พูดถึงคุณเจตน์ ช่วงนี้แกไม่กลับบ้านหลายวันแล้ว ปกติถึงจะดึกดื่นค่อนคืน แต่แกก็กลับมานอนบ้านทุกวัน”
“ยุ่งเรื่องเจ้านายจนได้นะยายมะนาว”
ป้าขวัญปรามพลางค้อน หากมะนาวก็ไม่ได้ใส่ใจ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาพูดต่อ
“คุณธามต่างกับคุณเจตน์จริงๆ นะ เช้าตรู่ก็ขับรถออกไปทำงาน พอทำงานเสร็จก็กลับบ้านแต่วัน บางทีก็กลับตั้งแต่ช่วงเที่ยง หนูเห็นเขาใช้ชีวิตอย่างนี้มาตั้งหลายปี คุณธามเป็นคนดีนะป้า หนูไม่เห็นแตกแถวเหมือนพี่น้องอีกสองคนเลย”
“คนเราดูแค่นี้ไม่ได้หรอก การที่เขาออกไปทำงานตั้งแต่เช้าและกลับบ้านเร็วกว่าคนอื่น อาจเป็นเพราะงานของเขาบังคับให้ทำ ส่วนคุณเจตน์เป็นผู้บริหาร มีงานให้ทำตั้งมาก ถึงจะกลับบ้านไม่เป็นเวลาบ้าง พี่ก็คิดว่ายังเป็นเรื่องปกติ”
“คุณธามเป็นเจ้าของบริษัทเหมือนกันนะพี่กริม งานที่เขาทำอยู่เป็นของเขาเอง ถึงจะไม่ใหญ่โตเหมือนกิจการของคุณเจตน์ก็เถอะ แต่รวยไม่ใช่เล่นเลยนะพี่”
“แหม! เดี๋ยวนี้พัฒนาใหญ่แล้วนะ รู้ถึงกระเป๋าสตางค์เจ้านายด้วย” ป้าขวัญอดไม่ได้ที่แทรกขึ้นมา
“หนูรู้เพราะเห็นข่าวเขียนถึงคุณธาม หนูก็เลยอ่าน มันเป็นคอลัมน์ประเมินรายได้ของบริษัทจำพวกสื่อ มีบริษัทของคุณธามรวมอยู่ด้วย เขาว่าบริษัทของคุณธามกำลังมาแรง โฆษณาสินค้าเข้าเป็นอันดับต้นๆ เลย เพราะงานของเขาเข้ากระแส ไม่ตกยุค”
“ฉันไม่รู้ด้วยหรอก ไม่อยากสนใจเรื่องของเจ้านาย เราก็เหมือนกัน เรื่องพวกนี้ถึงรู้แล้วก็เงียบๆ ไว้บ้าง”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย บริษัทของคุณธามมีรายได้เป็นสิบๆ ล้านทุกเดือน ปีนึงเหลือกำไรไม่รู้ตั้งกี่ล้าน เห็นเงียบๆ แต่เงินเพียบนะป้า”
มะนาวพูดพลางทำท่าหลิ่วตา อย่างที่ติรยาเห็นแล้วต้องหัวเราะ...แม้จะหมั่นไส้คนที่สาวรุ่นน้องพูดถึงก็ตาม
“โอ๊ย! คุณทั้งสามคนไม่มีวันจนหรอก เงินขวัญถุงที่คุณภัทรแบ่งให้ กินใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด ถ้าไม่ทำตัวเกเรเสียก่อน”
“นั่นสิ น่าอิจฉานะ คนอะไร พอเกิดมาก็รวยเลย ไม่ต้องทำงานก็ได้”
“แต่พี่เห็นคุณทั้งสามคนทำงานกันนะมะนาว ดูท่าว่าจะทำมากกว่าเราเสียอีก”
ติรยาอดที่จะค้านไม่ได้ เพราะต้องการให้มะนาวมองเห็นอีกด้านของพวกเขา แต่มะนาวก็มีเหตุผลของตัวเองจนได้
“เพราะเขาว่างกันไงพี่กริม คนรวยๆ พอไม่มีอะไรทำ พวกเขาก็เลยทำงานดีกว่า หนูดูออก”
แล้วจึงเป็นป้าขวัญนั่นแหละที่แย้งออกมา ก่อนจะโบกมือไล่ให้ไปทำงาน
“พูดยังไงของแกนะ ถ้าอย่างนั้นฉันก็ดูว่าแกเริ่มว่างแล้วเหมือนกัน งั้นไปเก็บกวาดล้างครัวให้หน่อยเถอะ ฉันจะไปเอนหลังก่อน บ่ายๆ ตื่นมาจะได้ทำน้ำซุปกระดูกหมูส่งให้แม่ครัวบ้านใหญ่เก็บไว้ทำอาหาร”