ตอนที่ 4 อดีตที่ไม่เคยลืม
เซียวจิ้นคังไม่อยากอยู่ต่อ รู้ดีแก่ใจนักว่า ท่านย่าผู้นี้แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยรักและเมตตา สิ่งใดก็ล้วนระคายสายตาไปเสียหมด จึงกล่าวประชดประชันขึ้นเบา ๆ “ท่านพ่อของข้าภักดีจนตัวตาย ไม่เคยคิดแย่งชิงผู้ใด หากท่านย่าไม่มีอะไรแล้ว หลานขอตัวพ่ะย่ะค่ะ”
ชายหนุ่มยังคงจดจำได้ดี นับตั้งแต่จำความได้ เคยถูกก่นด่ามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ใส่ร้ายให้เขารับโทษโบยจนต้องนอนซมไปตั้งหลายวัน คราวนั้นเป็นไท่จื่อที่ทำความผิด แต่คนที่รับกรรมดันกลายเป็นเขาไปเสียได้
“หยุดนะ” หญิงชราไม่พอใจแผดเสียงเหี้ยม “เจ้าหลานชั่วช้า วันนี้ข้าจะลงโทษเจ้าให้ได้” ไทเฮาคว้าแขนของหลานชายเอาไว้ได้ แต่เขากลับสะบัดออก
“ช่างอวดดีเหมือนพ่อไม่มีผิด” ไทเฮาตะคอกเสียง แววตาเกรี้ยวกราดยิ่งนัก นางควบคุมอารมณ์กรุ่นโกรธเอาไว้ไม่ได้ วันนี้จะต้องตีเจ้าหลานคนนี้ ลงโทษให้เข็ดหลาบ รู้จักที่ต่ำที่สูง คราวหน้าคราวหลังจะได้ไม่กำเริบอวดดีอีกต่อหน้านางอีก
เซียวหยางหรงเห็นว่าเรื่องบานปลายไปกันใหญ่ “เสด็จแม่พระทัยเย็นก่อนได้หรือไม่ จิ้นคังไม่ชอบให้ผู้ใดแตะต้องเนื้อตัว ท่านก็รู้ดีนี่นา”
“จนป่านนี้ยังเข้าข้างเจ้าหลานชั่วอีกรึ” หนนี้หญิงชราช้อนสายตาเขี้ยวเข้มมองไปยังบุตรชาย นางทำทุกทางเพื่อให้ตำแหน่งฮ่องเต้มั่นคง ไม่ว่าจะแปดเปื้อนเลือดมากมายเยี่ยงไร นางก็มิเคยหวั่น สิ่งเดียวที่นางหวังคือพระโอรสจะต้องได้ครองราชย์เป็นบิดาแห่งแคว้นเซียว
หนนี้เซียวจิ้นคังไม่ยอมความ ยืนประจันหน้าท่านย่า เอ่ยน้ำเสียงแข็งกระด้างประชดประชันอีกฝ่าย “คำก็ชั่ว สองคำก็ชั่ว หากข้าชั่วช้าจริง ๆ ละก็ เหตุใดไม่ตัดหัวข้าเล่า”
ชายหนุ่มหัวเสียไม่น้อย ถูกท่านย่าเล่นงานโดยที่ไม่ทันตั้งตัว เขาเองก็ไร้ความผิด เหตุใดนางจึงต้องชิงชังเข้าไส้ เห็นหน้าเขาทีไร ไม่เคยมีครั้งไหนเลยจะมีความจริงใจมอบให้ ล้วนเสแสร้งแกล้งทำเสมอ
ชินหวางรูปงาม เดินออกมาจากตำหนักด้านใน มีองครักษ์คนสนิทยืนหน้านิ่งอยู่ด้านนอก รอคอยผู้เป็นนายมาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว
“รถม้าคอยอยู่ด้านนอกขอรับ” มู่หวงรีบผายมือเชิญผู้เป็นนาย เขากวาดสายตามองไปทางด้านหลัง เกรงว่าจะมีผู้ไม่หวังดีคิดลอบทำร้าย
“วันนี้ข้าถูกท่านย่าหมายหัวอีกแล้ว เกรงว่าคงดึงนางมาพัวพันแน่” นาง...ที่เซียวจิ้นคังหมายถึงก็คือหลี่หรูหราน โฉมงามบ้านป่า ทั้งแสนพยศราวกับม้าพยศ อีกทั้งยังแก่นแก้วเกินสตรีในห้องหอ เพียงแค่แรกพบสบตาก็เกิดชื่นชอบเข้าให้อย่างจัง
“คุณหนูหลี่ท่าทางเฉลียวฉลาด คงไม่กลายเป็นหมากในมือของไทเฮาแน่นอนขอรับ” มู่หวงคิดเช่นนั้น เท่าที่แอบสังเกตคุณหนูหลี่ ก็หาใส่สตรีอ่อนหวาน ไร้หัวคิดแต่อย่างใด
สตรีดี ๆ ที่ไหนจะหนีออกจากจวนดื่มสุรา ในหอนางโลมกัน คงมีเพียงแค่คุณหนูหลี่ผู้เดียวกระมังที่กล้าหาญเยี่ยงนี้ อีกทั้งยังไม่หวั่นว่าจะถูกจับได้อีกด้วย
“ข้าก็ภาวนาขอให้เป็นเช่นนั้น หากรู้ว่าเรื่องมันจะบานปลาย ข้าจะไม่ร้องขออะไรท่านลุงเลย” ระหว่างทางทั้งสองได้พูดคุยกัน เซียวจิ้นคังมีสีหน้าเคร่งเครียดเห็นได้ชัด แต่เขาพยายามหักห้ามมิให้ตนเองกรุ่นโกรธ กลัวว่าโรคเก่าจะกำเริบขึ้นมา
“ไทเฮาจ้องจะเล่นงานท่านอ๋องอยู่แล้ว อีกอย่างตระกูลหลี่ใช่ใครจะข่มเหงรังแกได้ กระทั่งฝ่าบาทยังเกรงใจหลายส่วน” มู่หวงถึงแม้เป็นเพียงแค่องครักษ์ แต่เขาคือยอดฝีมือที่ได้รับมอบหมายจากหวางเฟยให้ดูแลซื่อจื่อในขณะนั้น
จวบจนหวางเฟยสิ้นใจไปจากไป เขาจึงดูแลซื่อจื่อน้อย จนได้รับการอวยยศเป็นชินหวาง ดำรงตำแหน่งแทนชินหวางที่สวรรคตในสนามรบไปเมื่อหลายปีก่อน มู่หวงจึงทำงานทดแทนบุญคุณ และยินดีมอบชีวิตนี้ให้แก่ชินหวางเซียวจิ้นคัง
ชายหนุ่มชะลอฝีเท้า “นั่นเป็นเพราะทั้งสองเป็นสหายกันอย่างไรเล่า อีกอย่างแม่ทัพหลี่มีความดีความชอบมากมาย ในวาระสุดท้ายของท่านพ่อข้า ก็เป็นแม่ทัพหลี่ที่แบกร่างไร้วิญญาณ” พอพูดถึงเรื่องนี้ทีไร เซียวจิ้นคังมักมีสีหน้าขาวซีด ราวกับคนป่วยไข้จนเห็นได้ชัด
มู่หวงรีบเข้ามาประคอง “ท่านอ๋องอย่าพูดเรื่องอดีตอีกเลย พูดทีไรท่านก็ไม่สบายไปเสียทุกครา” เจ้านายน้อยผู้นี้มิใช่คนร่างกายอ่อนแอ แต่ถูกเล่นงานด้วยพิษร้าย โชคดีที่พิษร้ายไม่แล่นเข้าสู่หัวใจ ยังช่วยเหลือไว้ได้ทัน
แต่ที่น่าเสียดายยิ่งนัก ก็คือโรคทางในที่มิอาจรักษาให้หายดี หากพูดเรื่องเก่าก่อนทีไร ท่านอ๋องน้อยก็มักหน้าตาซีดเซียวเช่นนี้เสมอ มู่หวงจึงมักกังวลใจเสมอ เฝ้ารอคอยให้ใครสักคนช่วยเยียวยาหัวใจดวงน้อยให้หายดี
“ข้าควรทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้สินะ ท่านพ่อข้าต้องตายในสนามรบ ท่านแม่ก็ตรอมใจตาย ส่วนข้าก็ยังยึดติดกับเรื่องอดีตมันไม่ส่งผลดีกับข้า แต่ข้าก็ห้ามใจไม่ได้ การตายของท่านพ่อต้องมีเงื่อนงำ”
มู่หวงก็คิดเช่นนั้น แต่หลักฐานถูกกำจัดไปจนหมดหนทางเอาผิด “ไทเฮาย่อมไม่รามือ หากรู้ว่าท่านอ๋องกำลังตามสืบเรื่องนี้อยู่ นางต้องขัดขวาง ไม่ให้ท่านสมหวังเป็นแน่” สตรีตำหนักหลังช่างร้ายกว่ายิ่งกว่าอสรพิษเสียอีก ทางที่ดีต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ มิเช่นนั้นก็คงยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ
ท่านอ๋องหนุ่มมีความคิดขึ้นมา “งานนี้เห็นทีว่า ข้าคงต้องร้องขอความช่วยเหลือจากหลี่หมิงแล้วกระมัง” เขายกยิ้มที่มุมปาก หลี่หมิง คือตัวเลือกที่ดีที่สุด เขาเป็นคนเถรตรงและซื่อสัตย์
“ท่านอาจารย์หลี่ความรู้กว้างขวาง ยังเป็นคนสุขุมรอบคอบ คิดว่าหากได้ท่านอาจารย์หลี่มาช่วยเหลือ งานของพวกเราก็คงสำเร็จเป็นไปได้ด้วยดี” มู่หวงก็คิดเช่นนั้น แต่ก็มิกล้าเสนอแนะผู้เป็นนาย
“เจ้าคิดว่าคนอย่างหลี่หมิงจะช่วยเหลือข้าหรือไม่ ถ้าหากเขารู้ว่าข้าหมายปองน้องสาวของเขากัน” เซียวจิ้นคังหนักใจนักหนา รู้ดีว่านิสัยของหลี่หมิงเป็นเช่นไร
“เกรงว่าเพียงแค่ท่านอ๋องอ้าปาก ก็คงถูกท่านอาจารย์จัดการเสียแล้วกระมัง” มู่หวงกลืนน้ำลายลงคออยากย่างลำบาก นึกถึงดวงตาที่แดงก่ำเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวนั้น ช่างดูคล้ายปีศาจร้ายยิ่งนัก
หนทางนี้ช่างดูลำบากนัก ชอบใครไม่ชอบ เซียวจิ้นคังหยุดอยู่ตรงหน้ารถม้าคันใหญ่ มีสารถีเฝ้าคอยผู้เป็นนาย “ท่านอ๋องเชิญขอรับ”
ชายหนุ่มเหยียบบันไดเทียบม้า เปิดม่านประตูแล้วก้มศีรษะเล็กน้อย เข้าไปนั่งด้านใน มีเบาะรองนั่งทั้งหนาและนุ่ม ทำให้นั่งสบายนัก สีหน้าของชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ไม่สู้ดี จู่ ๆ ก็รู้สึกหายใจติดขัด จนต้องนำถุงหอมออกมาดมเพื่อผ่อนคลาย
“ท่านอ๋องให้ท่านหมอมาตรวจอาการที่ตำหนักหรือไม่ขอรับ” มู่หวงเป็นห่วง ยังไม่คลายความกังวลใจ เปิดม่านประตู พบว่าท่านอ๋องกำลังสูดดมถุงหอม ข้างในถุงนี้บรรจุสมุนไพรหลายชนิด หากสูดดมเข้าไปช่วยให้ผ่อนคลายได้ ถุงหอมนี้ได้รับจากแม่นางผู้หนึ่ง ท่านอ๋องพกติดกายเอาไว้ไม่เคยห่าง
“เรื่องที่ข้าไหว้วานเจ้าก่อนหน้านี้ ตามพบตัวหรือไม่” สิ่งที่เขาอยากพบก็คือเจ้าของถุงหอมใบนี้ วันนั้นเขาไปขอพรที่อาราม ได้พบกับสตรีนางหนึ่งกำลังนั่งขอพร ท่าทางเคร่งเครียดนัก ผู้คนด้านในก็แออัด เขาจึงหน้ามืดวิงเวียน สตรีนางนั้นจึงยื่นถุงหอมให้แก่เขา
ทว่านางเป็นบุตรสาวจากตระกูลใดกัน เขาไม่รู้เลย วันนั้นนางอำพรางใบหน้าด้วยผ้าสีดำ ข้างกายก็หาได้มีสาวใช้ข้างกาย ดังนั้นเขาจึงออกตามหาตัวนาง อยากได้ถุงหอมเช่นนี้อีก ยามที่นอนไม่หลับได้สูดดมกลิ่นหอมอ่อน ๆ ก็ชวนให้ผ่อนคลายยิ่งนัก
มู่หวงจึงไหว้วานให้ สหายรักนั่นก็คือหานตง เป็นยอดฝีมือเช่นเดียวกัน ฝีมือการแกะรอยช่างเก่งฉกาจเกินกว่าผู้ใด คาดว่าในไม่ช้าก็คงพบสตรีที่ท่านอ๋องตามหาแล้ว มู่หวงจึงเอ่ยว่า “ข้าน้อยให้หานตงไปสืบแล้วขอรับ คาดว่าน่าจะได้เรื่องอีกไม่นาน”