ตอนที่ 5 ผู้กุมความลับ
รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากวังหลวงด้านใน ตำหนักฝูหมิงของชินหวางอยู่นอกวังหลวง เดินทางไม่ถึงยี่สิบลี้ก็ถึงตำหนักอันใหญ่โตกว้างขวาง
ในตำหนักนี้ มีนางข้าหลวงทั้งหมดสิบคน อีกสิบห้าคนเป็นข้ารับใช้ชาย ยังมีองครักษ์อีกจำนวนหนึ่ง ตำหนักฝูหมิงแห่งนี้มีข้ารับใช้มากมาย ยังไม่รวมบรรดาอนุทั้งสามของเขา ซึ่งมีสาวใช้คอยดูแลติดตามอีกจำนวนหนึ่ง
พอรถม้าจอดเทียบท่า สตรีนางหนึ่งรีบวิ่งพรวดพราดออกมาต้อนรับ “นายท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ เหนื่อยหรือไม่ ให้ข้ารับใช้ดีไหมเจ้าคะ”
“...” เซียวจิ้นคังคร้านเอ่ยตอบกลับ ถูกมู่หวงประคองลงรถม้า
สตรีนางนี้เห็นสีหน้าและท่าทางของชินหวางไม่ดี นางจึงรีบปราดเข้ามาช่วยพยุงอีกข้าง “นายท่านไม่สบายเช่นนี้ ตามหมอหลวงดีหรือไม่เจ้าคะ” นางสังเกตสีหน้าและดวงตาของชายหนุ่มคล้ายดูอ่อนล้าเต็มที คาดว่าอาการคงหนักหนาเป็นแน่ หากเป็นอย่างที่นางคิดละก็ จะได้ส่งข่าวให้คนสำคัญได้รับรู้
“เสิ่นอี๋เหนียงไม่ต้องกังวลใจนัก ข้ายังไม่ตายง่าย ๆ” อนุนางนี้ชอบเสนอหน้า ทำให้เขาไม่พอใจอยู่บ่อยครั้ง รู้ทั้งรู้ว่านางเป็นคนของใคร แต่เขาก็ยังรับนางเข้ามาในตำหนัก นำอสรพิษเอาไว้ข้างกาย เขาไม่เคยหวั่นว่านางจะแว้งกัด ดีเสียอีกจะได้รู้ความเคลื่อนไหวของฝ่ายโน้น
“เสิ่นอี๋เหนียงโปรดหลีกทาง” มู่หวงจ้องเขม็ง ไม่พอใจยิ่งนัก ไม่อยากพลั้งมือผลักไสให้ออกห่าง เรือนร่างของท่านอ๋องล้ำค่า สตรีนางนี้มิคู่ควร และไม่คู่ควรจะอยู่ในตำหนัก กระทั่งตำแหน่งอนุก็ไม่คู่ควรแก่นาง
ทว่ามู่หวงยังพูดไม่พบ เสิ่นอี๋เหนียงก็ถูกสะบัดจนร่างบอบบางถลาหงายหลังบั้นท้ายกระแทกพื้นอย่างจัง จนส่งเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
สาวใช้รีบวิ่งมาพยุงเจ้านายของตน ให้ลุกขึ้น เสิ่นอี๋เหนียงลูบบั้นท้ายตนเองด้วยความทรมาน ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกยิ่งนัก
นางช้อนสายตาเขียวเข้มมอบให้ท่านอ๋อง ซ้ำยังพูดขึ้นว่า “ข้าไม่เคยคิดแช่งชักหักกระดูกท่าน เหตุใดนายท่านจึงใจร้ายกับข้าเยี่ยงนี้เจ้าคะ” บั้นท้ายระบมเยี่ยงนี้ คงต้องนั่งไม่ได้อีกหลายวัน เขาช่างใจร้ายกับสตรีได้ลงคอ
ชายหนุ่มเจ้าของตำหนักกดยิ้มที่มุมปาก แววตาเจ้าเล่ห์มองไปยังสตรีร่างบอบบาง ซึ่งนางส่งสายตาไม่พอใจมาให้ไม่หยุดหย่อน
เซียวจิ้นคังยิ้มเยาะ “คนอย่างข้า ไม่ชอบที่สุดก็คือมีสตรีมาแตะต้องเนื้อตัว แล้วอีกอย่างในไม่ช้า ตำหนักฝูหมิงจะมีนายหญิงคนใหม่ จงสำรวมทั้งกายและใจให้ดี มิเช่นนั้นจะได้เห็นดีกัน”
“นายท่านกำลังขู่พวกข้าหรือเจ้าคะ” เสิ่นอี๋เหนียงคับแค้นใจนักหนา แต่งเข้าตำหนักหวังว่าจะได้กลายเป็นใหญ่ แต่ที่ไหนได้เป็นเพียงแค่นางบำเรอเท่านั้น
ซ้ำยังไม่เคยร่วมเตียงกับท่านอ๋อง อย่าได้กล่าวถึงเรื่องบนเตียงเลย เพียงแค่จะนั่งรวมโต๊ะรับอาหาร ท่านอ๋องผู้นี้ก็มิเคยให้อนุทั้งหลายร่วมรับอาหารด้วย เว้นระยะห่างราวกับว่าเขาระแวดระวังตัวเสมอ
หรือเขารู้ว่าพวกนางล้วนมีจุดประสงค์อันใดซุกซ่อนอยู่
ชินหวางรูปงามยิ้มเยาะอีกครา มองใบหน้าของเสิ่นอีหรือเสิ่นอี๋เหนียงอีกครา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “คนเยี่ยงข้า มิใช้คำขู่สุรุ่ยสุร่ายหรอกนะ หรือว่าจะเริ่มจากตระกูลเสิ่นดีเล่า”
“นายท่าน บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” เสิ่นอีรีบคลานเข้ามากอดแข้งขาของชายหนุ่มเจ้าของตำหนักเอาไว้ สองแก้มอาบน้ำตา ที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย ส่งเสียงกระท่อนกระแท่นออกมา ยามนี้นางอับจนหนทางแล้ว ไม่คิดว่าชายผู้นี้จะสืบรู้ความจริง
“ปล่อยข้า” น้ำเสียงเหี้ยมของเซียวจิ้นคัง ทำให้คนฟังสะดุ้งเฮือกอย่างตระหนกตกใจ นางผงะถอยหลังออกห่าง
ชายหนุ่มชำเลืองมองหญิงสาวด้วยหางตา ก่อนจากลาเขาย่อกายลงนั่งทับส้นเท้า ยกฝ่ามือหนาจับปลายคางมนของสาวงาม “จงสงบเสงี่ยม อยู่ในที่ทางของเจ้า มิเช่นนั้น ข้าจะถลกหนังตระกูลเสิ่นให้สิ้นซาก”
“เจ้าค่ะ” เสิ่นอีพยักหน้าอย่างหวาดกลัว นางไม่มีทางเลือกแล้ว หนทางนี้มิได้เดินด้วยกลีบดอกไม้ เหตุใดนางจึงต้องมารับเคราะห์กรรมด้วย
“มู่หวง” ชินหวางยืนเต็มความสูง สองมือไพล่หลัง ท่าทางองอาจยิ่งนัก สีหน้าเรียบเฉย แต่แววตานั้นกลับเปี่ยมไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ยามที่ทอดสายตาไปมองเหล่าอนุทั้งสอง
ซึ่งยืนอยู่ทางเดินห่างจากเขาราว ๆ สิบฉื่อกระมัง ชายหนุ่มคาดคะเนระยะห่างทางสายตา คาดว่าอนุทั้งสองคงไม่กล้าเข้ามาวุ่นวาย อีกอย่างน้ำเสียงของเซียวจิ้นคังคำรามเสียงดังเยี่ยงนี้ มีหรือ อี๋เหนียงทั้งสองจะกล้าเข้ามาจุ้นจ้านกัน
“ขอรับท่านอ๋อง” มู่หวงขานรับอย่างว่าง่าย เดินเข้ามายืนด้านหน้า สองมือประสาน โคลงศีรษะลงรับคำสั่งของเจ้านายเหนือหัว
“นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อี๋เหนียงทั้งสาม ห้ามย่างกรายมาเรือนด้านหน้าอีก กักบริเวณพวกนางห้ามออกนอกตำหนักเด็ดขาด กระทั่งสาวใช้พวกนางก็ห้ามออก” ผู้เป็นเจ้าของตำหนักฝูหมิง เอ่ยวาจาชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงกึ่งคำรามนี้ แม้คนยืนอยู่ไม่ถึงสิบฉื่อก็ได้ยินชัดเจนนัก
พวกนางต่างก็พากันเดินก้มหน้ากลับเข้าเรือนซึ่งอยู่ท้ายตำหนักฝูหมิงแห่งนี้ พวกนางเป็นบุตรของขุนนางในราชสำนัก ฐานะชนชั้นสูงไม่แพ้ผู้ใด
ทว่ากลายเป็นหมากของไทเฮา ส่งพวกนางเข้ามาเป็นสายในตำหนักแห่งนี้ เพื่อล้วงความลับของชินหวาง ใช้ครอบครัวของพวกนางมาบีบบังคับ ข่มขู่หมายเอาชีวิตทั้งตระกูล แล้วพวกนางหรือจะกล้ากันเล่า
“น้อมรับคำสั่งขอรับ” มู่หวงขานรับ พยุงเสิ่นอี๋เหนียงให้ลุกขึ้น สาวใช้ของเสิ่นอีถอยหลังออกห่าง ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสบหน้าผู้เป็นนาย
เสิ่นอีไม่ยินยอม นางสะบัดแขนออกจากการจับกุม แต่ก็ไม่เป็นผล นางเรียกร้องขอความเป็นธรรมขึ้น “นายท่านเจ้าคะ พวกข้ามิใช่นักโทษ เหตุใดต้องทำเยี่ยงนี้ด้วย”
“ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ข้ากำลังจะเกี่ยวดองกับตระกูลหลี่ เจ้าคิดว่าคนที่ชักใยอยู่จะช่วยเหลือเจ้าหรือ ทางที่ดีจงเชื่อฟัง” กล่าวจบแล้ว เซียวจิ้นคังจึงเดินเข้าไปในเรือนด้านหน้า
ที่นี่เป็นตำหนักของท่านพ่อและท่านแม่ ความทรงจำครั้งเก่าก่อนเขามิเคยลืมเลือน เขาเดินเข้ามาด้านใน แล้วตรงไปยังห้องตำรา ในห้องนี้มีห้องลับที่สร้างเสร็จเมื่อหลายปีก่อน ด้านในล้วนเป็นหลักฐานที่หามาได้ แล้วยังมีป้ายวิญญาณของบิดาและมารดา
ชายหนุ่มหยิบธูปหอมสามดอก จุดเทียนที่สว่างโรจน์อยู่ เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นไหว แววตาไหวระริกคล้ายคนอ่อนแอก็ว่าได้ “ท่านพ่อ ท่านแม่ อีกไม่นานทุกอย่างจะปรากฏ พวกท่านโปรดรออีกนิด ลูกจะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวัง”
พอกล่าวจบ เขาปักธูปทั้งสามลงบนกระถางหน้าป้ายวิญญาณบิดาและมารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว ชายชราเส้นผมสีขาวโพลนนั่งเยื้องอยู่หลายก้าว ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ปรายตามองไปยังลูกศิษย์หนุ่มก่อนจะหันกลับมามองตำราในมืออีกครั้ง
“คิดดีแล้วใช่หรือไม่” ชายชราเอ่ยขึ้นพร้อมกับเปิดตำราในมือถัดไปอีกหน้า เขาซ่อนตัวหลีกหนีความวุ่นวาย มาอยู่ในตำหนักฝูหมิงแห่งนี้ และทำหน้าที่เป็นทั้งท่านอาจารย์ ทั้งบิดาและมารดา สอนสั่งซื่อจื่อน้อยในยามนั้น ให้เติบโตขึ้นมาอย่างเข้มแข็ง
จนบัดนี้กลายเป็นชินหวางแห่งแคว้นเซียวแล้ว ในฐานะอาจารย์เขาปรารถนาให้ลูกศิษย์ผู้นี้ มีชีวิตที่ราบรื่นสงบสุข ไม่พบภัยอันตราย แต่ว่าสิ่งที่คิดนั้นมันไม่เป็นดั่งใจนัก
หากมิใช่ยามนั้น ที่ซื่อน้อยเข้าวัง จนต้องถูกพิษเล่นงาน แม้จับตัวคนร้ายได้ แต่ก็ไม่ให้การซัดทอดผู้ใด เขารู้แจ้งแถลงไขว่าใครกันเป็นผู้สั่งการ เขายื่นกระดาษแผ่นหนึ่ง ซ่อนอยู่ในหนังสือหน้าด้านหลังให้เซียวจิ้นคังได้อ่าน
เมื่อชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาอ่านจดหมายนี้แล้ว กระดาษแผ่นนี้หล่นลงจากมือในทันใด สีหน้าขาวซีดราวกับพบเจอเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ เขาทรุดกายนั่งกองอยู่บนพื้น ราวกับคนไร้เรี่ยวแรง ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ท่านอาจารย์ นี่คือเรื่องจริงใช่หรือไม่”
“ไทเฮาโหดเหี้ยมอำมหิต ทำทุกอย่างเพื่ออำนาจ นับจากนี้ก็แล้วแต่ท่านอ๋องจะจัดการ ตัวข้าเป็นอาจารย์อบรมสอนสั่งมาตั้งหลายปี จะทำหน้าที่จนวาระสุดท้าย”