6 เพื่อนบ้าน
พุดพิชชาวุ่นวายกับการหาทำเลเปิดร้านเกือบทั้งสัปดาห์เพราะเธออยากได้ร้านที่มีพื้นทีให้เธอได้ทำครัวด้านในด้วย เพราะจะได้สะดวกในการเตรียมของและเผื่ออนาคตเธออยากทำอะไรเพิ่มจะได้ไม่คับแคบมากนัก แม้ตอนนี้จะยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรแต่ก็ยังดีกว่าเช่าร้านแล้วขายได้เพียงอย่างเดียว แต่พอทราบราคาเช่าแล้วหญิงสาวก็ต้องขอคิดดูอีกทีเพราะราคาค่าเช่าของร้านที่มีความลึกด้านในนั้นแตกต่างจากราคาห้องเดียวเกือบเท่าตัวทั้งๆ ที่หน้าร้านกว้างเท่ากัน
ระหว่างที่กำลังเดินดูไปเรื่อยๆ นั้นเธอก็เจอประกาศเซ้งร้าน เธอเข้าไปสอบถามก็ทราบว่าเจ้าของจะย้ายตามสามีไปจังหวัดอื่น พุดพิชชาดีใจเพราะทำเลค่อนข้างดีกว่าร้านแรกที่เธอเห็นวันก่อน เดิมทีร้านนี้เป็นร้านขายไอศกรีมและวาฟเฟิลฮ่องกง พี่กุ้งเจ้าของร้านเดิมบอกว่าเธอจะเอาแค่เตาทำวาฟเฟิลฮ่องกงไปด้วยเท่านั้นส่วนอย่างอื่นก็จะเซ้งให้เธอทั้งหมด
“ถ้าน้องรับตู้นี้ไว้พี่จะลดค่าเซ้งให้นิดหน่อยดีไหมคะ แล้วก็ตู้แช่นี้ด้วย เพราะพี่ขนย้ายลำบาก” พี่กุ้งชี้ไปที่ตู้แช่เย็นขนาดสองประตูใหม่เอี่ยมที่เธอพึ่งซื้อมาและตู้แช่แข็งฝากระจกซึ่งดูแล้วก็น่าจะซื้อมาได้ไม่นานนัก หญิงสาวไม่ตอบเพราะเธอรู้แล้วว่าตอนนี้อำนาจการต่อรองอยู่ที่เธอ สิ่งที่เธอจะได้จากการเซ้งร้านตามที่เจ้าของร้านแจ้งกับเธอคือ เค้าเตอร์หน้าร้าน เก้าอี้ไม้ 6 ตัวกับโต๊ะ 2 ตัว ซิงค์ล้างจาน ชั้นวางของ พัดลมบนเพดานอีกหนึ่งตัว ขนาดของร้านก็ไม่ได้แคบมากเพราะลูกค้าที่ซื้อชานมไข่มุกนั้นส่วนใหญ่จะไม่นั่งทานกันอยู่แล้วส่วนใหญ่ก็จะนั่งรอที่หน้าร้าน ถ้าเธอตกลงเลือกร้านนี้เธอจะตกแต่งอีกแค่นิดหน่อย ตรงป้ายชื่อและเค้าเตอร์ เมื่อเทียบกับอีกร้านที่มีหลังร้านยาวเป็นส่วนครัวแล้วถือว่าร้านนี้ไม่ต้องปรับปรุงมากและค้าเช่าก็ถูกเกือบครึ่ง
“ลดอีกนิดได้ไหมคะ พอดีพุดเองก็พึงจะมาทำร้าน เงินทุนยังไม่มาก ถ้าเกินงบประมาณที่ตั้งไว้พุดก็คงต้องลองไปดูที่อื่น” หญิงสาวพยายามพูดให้เจ้าของร้านเดิมเห็นใจ
“น้องมีงบเท่าไหร่ละคะ แล้วถ้าพี่ลดให้ น้องจะจ่ายเลยไหม พี่ต้องรีบย้ายเสียด้วยสิ แบบคนก่อนไม่เอานะ มาดูแล้วพอตกลงจะเซ้ง แต่ให้พี่รอผ่อนค่าเซ้งอีก พี่ไม่มีเวลาเยอะขนาดนั้น”
“ก็มีงบแค่สี่หมื่นเองค่ะพี่ พุดต้องเหลือเงินไว้ซื้ออุปกรณ์เพิ่มด้วย” เธอรีบบอก จากเดิมที่แม่ค้าตั้งราคาไว้ถึงห้าหมื่นบาท แต่เธอดูแล้วว่าตู้แช่สองประตูขนาดยี่สิบกว่าคิวนั้น ราคามือหนึ่งอยู่ที่สองหมื่นเกือบสามหมื่นบาท ส่วนตู้แช่ก็ราคาหมื่นนิดๆ ถ้าจะขายเป็นมือสองก็คงจะได้ราคาต่ำกว่านี้แน่ๆ ดูแล้วเจ้าของจะรีบอยู่ไม่น้อย การเซ้งร้านราคานี้ถือว่าถูกมาก พุดพิชชาคิดว่าพี่กุ้งคงอยากได้แค่ค่าตู้แช่คืนมากกว่า เธอคงไม่อยากขนย้ายสักเท่าไหร่เพราะดูแล้วน่าจะขนย้ายยากมาก ส่วนพวกโต๊ะ เก้าอี้เธอไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่เพราะหาซื้อเพิ่มเติมได้
“ถ้าพี่ลดให้น้องราคานี้แล้วพี่จะเหลืออะไรล่ะคะ” พี่กุ้งพยายามที่จะไม่ลดราคาลงมาตามที่เธอขอ
“พุดมีเท่านี้จริงๆ ค่ะ แต่ถ้าพี่ไม่ไหวจริงๆ พุดก็ไม่ว่าอะไรนะคะ พุดยังพอมีเวลาดูที่อื่น” เธอเน้นว่าเธอมีเวลาเพราะรู้ดีว่าอีกคนที่กำลังคุยด้วยนั้นไม่มีเวลามากอย่างเธอ
“อะ พี่ตัดใจเลยนะคะ เพราะพี่ต้องรีบย้ายจริงๆ” เจ้าของร้านตอบหลังจากที่นิ่งเงียบไปพักใหญ่
“แล้วสัญญาเช่าล่ะคะ พี่ต้องเปลี่ยนชื่อในสัญญาเช่าให้ด้วยนะคะ” พุดพิชชารอบคอบเสมอเรื่องสัญญาเช่าเพราะที่ร้านเดิมเธอก็เป็นคนจัดการเรื่องนี้เองหลังจากที่มารดาเสียชีวิต
“พี่รู้ค่ะ พรุ่งนี้พี่จะเอาสัญญาเช่าฉบับเก่ามาให้ เราไปเจอกันที่อาคารสำนักงานเพื่อเปลี่ยนชื่อผู้เช่าในสัญญากันนะคะ” แล้วเธอก็บอกทางไปสำนักงานให้กับพุดพิชชาทราบ
“ค่ะ แล้วพี่จะรับเงินสดหรือให้โอนเข้าบัญชีค่ะ พุดจะได้เตรียมมาถูก”
“โอนก็ได้ค่ะสะดวกดี”
“ได้ค่ะ พุดรบกวนขอใบเสร็จด้วยนะคะ” หญิงสาวบอกกับเจ้าของร้านที่เธอจะมาเซ้งต่อ เพราะเธอพึ่งจะเปิดร้านจึงต้องเก็บหลักฐานทุกอย่างไว้เพื่อทำบัญชีรายรับรายจ่ายและเธอไม่ลืมที่จะถามว่าถึงแหล่งซื้ออุปกรณ์และวัตถุดิบต่างๆ
“ป่านแก้ว ฉันอยากเอาข้อมูลในฮาร์ดดิสก์มาใส่โน้ตบุ๊กมีร้านที่ไหนรับทำบ้าง” พุดพิชชาถามขึ้นขณะที่กำลังนั่งช่วยเพื่อนจัดเรียงเอกสารที่พึ่งจะปริ้นออกมา
“เดี๋ยวฉันถามครูสอนคอมพิวเตอร์ที่โรงเรียนให้นะพุด ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” ปราณติญาตอบเพื่อน แล้วเธอก็ไลน์ไปถามครูที่โรงเรียน
“ได้เรื่องแล้วพุด เดี๋ยวครูที่โรงเรียนจะทำให้ ว่าแต่ข้อมูลเป็นความลับไหม”
“ไม่มีความลับอะไรส่วนใหญ่ก็เป็นข้อมูลพวกสูตรกาแฟและเครื่องดื่มต่างๆ แล้วก็พวกใบเสร็จที่ฉันสแกนเก็บไว้ ฉันอยากดูราคาต้นทุนบางอย่างเพราะจำไม่ค่อยได้แล้ว”
“อย่างนั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไร พุดเอาใส่กระเป๋าไว้นะพรุ่งนี้ฉันจะได้ถือไป”
“ได้ แล้วอย่าลืมถามเรื่องค่าใช้จ่ายมาด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ครูเมฆใจดี”
“แต่ฉันไม่รู้จักเค้านี่ อยู่จะไปใช่เค้าทำงานให้ฟรีๆ ได้ยังไงกันล่ะ” เธอเกรงใจเพื่อนครูของปราณติญา
“พรุ่งนี้พุดจะทำอะไรให้ฉันไปกินที่โรงเรียนเหรอ” ปราณติญาเปลี่ยนเรื่องจนพุดพิชชาตามไม่ทัน
“ว่าจะทำมะกะโรนีแกงเขียวหวานไก่ อากาศไม่ร้อนมากเท่าไหร่ คงไม่เสียหรอก”
“น่าอร่อยยนะ ถ้ากลัวเสียเดี๋ยวฉันเอาเข้าตูเย็นไว้ก่อนก็ได้ พอเที่ยงก็ค่อยเอาออกมาเข้าเวฟ ทำเผื่ออีก 1 ชุดได้ไหม จะให้ครูเมฆด้วย”
“ได้สิ ถึงว่าอยู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องคุยจนฉันตามเกือบไม่ทัน แล้วส่วนใหญ่ครูที่นั่นทานข้าวกันที่ไหน”
“ก็โรงอาหารของโรงเรียน แต่บางคนก็ซื้อมาทานที่ห้องพักครู”
“ป่านจะเอาไปให้ครูคนอื่นไหม ฉันจะได้ทำเผื่อเยอะหน่อย”
“ก็ดีเหมือนกันนะแต่ฉันเกรงใจ แกจะเหนื่อยล่ะสิ” ปราณติญากลัวว่าเพื่อนจะเหนื่อยกว่าเดิม
“ไม่เป็นไรหรอก ไหนก็ทำแล้วทำเพิ่มอีกหน่อยไม่ได้เหนื่อยอะไรมาก”
“ถ้าอย่างนัดแกทำแค่แกงเขียวหวานก็พอนะพุด ฉันคิดว่าจะแวะซื้อขนมจีนกับผักที่ตลาดก่อนเข้าไปที่โรงเรียน”
“แกจะเสียเวลาหรือเปล่าป่าน พรุ่งนี้เช้าฉันว่างเดี๋ยวฉันเอาแกงเขียวหวานขนมจีนแล้วก็ผักไปให้แกที่โรงเรียนซัก 11 โมงดีไหมจากนั้นฉันค่อยไปที่ร้านเพราะเจ้าของเดิมนัดฉันทำสัญญาก็ต้องบ่ายนู่นฉันเองก็ไม่ได้ทำอะไร”
“แกไปที่โรงเรียนฉันถูกแน่นะ” เธอถามอย่างไม่แน่ใจเพราะพุดพิชชาเคยไปที่นั้นมาแล้วตั้งแต่ตอนที่เธอมาบรรจุใหม่ๆ
“แน่สิ”
“งั้นก็โอเคตามนั้น”
ปราณติญาขับรถออกไปทำงาน เพียงไม่นานพุดพิชชาก็ขับรถตามไปหญิงสาวไปเพื่อไปซื้อของมาเพิ่มเพราะคิดว่าที่มีอยู่อาจจะไม่พอกับจำนวนครูที่ปราณติญาแจ้ง เธอเลือกซื้อขนมจีนที่จัดใส่ตะกร้าพลาสติกใบเล็กๆไว้หลายตะกร้าเพราะคิดว่าดีกว่าซื้อตะกร้าใหญ่แค่ตะกร้าเดียว เพราะจะได้สะดวกในการแบ่งกันทาน จากนั้นหญิงสาวก็ไปซื้อถั่วงอกและถั่วฝักยาวรวมถึงผักกาดดองเพื่อเป็นเครื่องเคียง
พอกลับถึงบ้านก็ลงมือทำโดยไม่รอช้า กลิ่นของน้ำพริกขณะที่ผัดกับกะทินั้นหอมไปทั่วบริเวณบ้านแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงจากอีกฝั่งหนึ่งของผนังกำแพงของบ้านที่ติดกัน ตะโกนแว่วมา
“หนูป่าน วันนี้ไม่ไปโรงเรียนเหรอทำอะไรทานคะกลิ่นหอมมาถึงบ้านป้าเลย” เสียงที่ทักทายมานั้นไม่ได้ตำหนิ หากแต่เป็นเสียงทักทายอย่าเป็นกันเองมากกว่า
“ขอโทษนะคะ ที่กลิ่นไปปรบกวน”
“ไม่ได้รบกวนหรอกจ้ะเพียงแต่ป้าแปลกใจที่หนูป่านไม่ไปทำงาน”
“หนูเป็นเพื่อนของป่านค่ะกำลังทำแกงเขียวหวานคุณป้าอยากลองชิมฝีมือหนูไหมคะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ป้าเกรงใจ”
“หนูทำเยอะเลยค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวถ้าทำเสร็จแล้วหนูจะตักแบ่งไปให้นะคะ หนูพึ่งมาอยู่ใหม่อยากฝากเนื้อฝากตัวกับคุณป้าด้วยค่ะ” แม้ว่ายังไม่ได้เห็นหน้ากันแต่ต่างคนก็คุยอย่างเป็นกันเอง
“งั้นก็ได้จ้ะ จะได้เห็นหน้าเห็นตากันด้วย คุยผ่านกำแพงอย่างนี้ไม่ดีเลย” เสียงอีกฝั่งพูดมาช่างตรงใจพุดพิชชายิ่งนัก
“ได้ค่ะคุณป้า”
“หนูทำต่อเถอะจะ ป้าไม่กวนแล้วเดี๋ยวแกงไม่เสร็จกันพอดี”
“ค่ะ”