38 ความสุข
กลับจากการเที่ยวทะเลรัญภาคย์ก็พาแฟนสาวมาที่คอนโดฯ เพราะไม่อยากกลับไปรบกวนป้าใจกับลุงผลที่ตอนนี้มาคอยดูแลบ้านที่กรุงเทพฯ ให้กับมารดาของเขา แต่สาเหตุหลักๆ น่าจะเพราะว่าเขาอยากอยู่กับพุดพิชชาตามลำพังมากกว่า
“พี่รัญคะ วันนี้ไปสวดมนต์ข้ามปีกันไหมคะ”
“ไปครับ แล้วต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง” เขาถามเพราะไม่เคยไปเลยสักครั้ง
“ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรหรอกค่ะ ที่วัดมีบทสวดให้ เราก็แค่ใส่ชุดสีสุภาพถ้าจะให้ดีก็ควรเป็นชุดสีขาว แล้วก็ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ก็พอค่ะ”
“แล้วต้องไปกี่โมงครับ พี่ขอไปซื้อของก่อนได้ไหม”
“ที่วัดเริ่มสวดมนต์ก็ประมาณ 6 โมงกว่าคะ แต่เราไปสัก 2 ทุ่มก็ได้เพราะคนส่วนใหญ่ก็น่าจะไปเวลานี้พี่รัญไหวแน่นะคะ”
“ทำไมถามอยางนั้นล่ะครับ”
“ก็เพราะว่าพุดไม่รู้ว่าวัดที่เราไปนั้นมีเก้าอี้ให้นั่งหรือเปล่าพุดกลัวพี่รัญจะเมื่อย เอาอย่างนี้ไหมคะ เดี๋ยวพี่รัญไปส่งพุดที่วัดตอนออกไปซื้อของเลยก็ได้ แล้วพอสัก 4 ทุ่มค่อยตามไปที่วัด”
“อย่างนี้ก็ได้ครับ” เหมือนที่หญิงสาวพูดมาจะเข้าทางชายหนุ่มพอดี
รัญภาคย์ส่งหญิงสาวที่วัดแล้วก็ออกมายังห้างสรรพสินค้า วันนี้เขาตั้งใจจะเตรียมของขวัญให้พุดพิชชาแต่ก็ยังหาเวลาปลีกตัวไม่ได้จนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มไปร้านตุ๊กตาที่เธอเคยพาเขาไปซื้อเมื่อครั้งที่จะเอาไปจับสลากที่ร้าน จากนั้นก็ไปหาซื้อของตกแต่งห้องอีกจำนวนหนึ่ง เขาซื้อเทีนบเจลและเทียนสำหรับตั้งบนโต๊ะอาหาร จากนั้นก็สั่งอาหารและไวน์จากโรงแรมที่เขาเป็นลูกค้าประจำ นอกจากตุ๊กตาแล้วรัญภาคย์ยังมีสร้อยเส้นเล็กที่ทำจากทองคำขาวมีจี้เป็นรูปโลมา ที่คนขายแนะนำว่าโลมา เป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความโชคดี ความสำเร็จและความอุดมสมบูรณ์ เขาไม่ได้สนใจเรื่องความหมายเท่าไหร่นัก แต่ที่ตกลงเลือกเพราะเห็นว่าทั้งสร้อยและจี้สวยและดูเหมาะที่ให้พุดพิชชาได้ใส่ติดตัวทุกวัน
เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วขากลับก็ไม่ลืมที่จะแวะร้านดอกไม้ที่อยู่ก่อนถึงคอนโดฯ เขาเลือกดอกกุหลาบสีแดงดอกใหญ่เพียงดอกเดียวเพราะอยากจะสื่อให้เธอรู้ว่าเธอเป็นคนเดียวในใจเขา
“ไปซื้อของเป็นยังไงบ้างคะ ได้ครบไหม” เธอไม่รู้ว่าเขาไปซื้ออะไร แต่เห็นว่ากว่าเขาจะตามไปที่วัดก็เกือบ 21 นาฬิกา
“ได้ครบครับ”
“ไปซื้ออะไรมา บอกได้ไหม”
“บอกได้ครับ ไม่ได้มีความลับอะไร แต่ถึงคอนโดฯ แล้วค่อยบอกได้ไหมครับ พี่จะรีบขับให้ไวกว่านี้ เพราะดูเหมือนใครบางคนจะเริ่มง่วงแล้วใช่ไหม”
“ตอนออกมาจากวัดพุดไม่ได้ง่วงนะคะ แต่รถพี่รัญนั่งแล้วมันสบาย ตอนนี้เลยเริ่มจะง่วงแล้วค่ะ”
“ง่วงก็นอนไปเลยครับ เดี๋ยวถึงแล้วพี่จะบอก”
จากนั้นเธอก็หลับไปจริงๆ รัญภาคย์แอบมองหญิงสาวข้างกาย ไม่ว่าเธอจะหลับหรือจะตื่นก็ดูเหมือนว่าเธอจะสะกดสายตาของเขาได้เป็นอย่างดี
“ถึงไวเหมือนกันนะคะ พี่รัญเหยียบมาเท่าไหร่คะเนี่ย”
“ไม่ได้ขับไวนะครับ แต่ถนนโล่งมาก” เขาไม่กล้าบอกว่าขับมาไวแค่เพราะกลัวเธอจะไม่กล้าหลับขณะที่เขาขับรถอีก
ไฟทั้งห้องมืดสนิท พุดพิชชาพยายามควานหาสวิตช์ไฟที่ขอบประตูแต่กดยังไงไฟก็ไม่ยอมติด
“จะว่าไฟดับก็ไม่ใช่ เพราะไฟทางเดินยังสว่างอยู่เลยนะคะ”
“นั้นสิ พี่ว่าพุดยืนรออยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่เข้าไปดูที่คัทเอาท์ก่อน” รัญภาคย์เดินเข้าไปในบ้าน เขาจุดเทียนที่วางยู่บนโต๊ะอาหารและจุดเทียนหอมในแก้วเล็กๆ ที่เรียงไว้ตั้งแต่ประตูทางเข้ายาวจนถึงโต๊ะอาหาร
“พี่รัญคะ เข้าไปนานจัง พุดเข้าไปเลยได้ไหม พุดใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์ก็ได้นะคะ”
“เข้ามาได้เลยครับ” เขารีบเปิดประตูให้หญิงสาว
พุดพิชชาเปิดประตู้เข้ามาแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เสียงจากเทียนเรียงกันเป็นแนวยาวจากประตูทางเข้า พอมีทางเดินตรงกลางให้เธอไปตามแนวได้ เธอเดินตามทางไปช้าๆ จนถึงโต๊ะอาหารก็เห็นอาหารหน้าตาน่ารับประทานวางอยู่เต็มโต๊ะ หญิงสาวน้ำตารื้นเกาะขอบตาทั้งสองข้าง เธอไม่คิดเลยว่ารัญภาคย์จะเป็นคนละเอียดอ่อนและโรแมนติกเช่นนี้
“พี่รัญ” เธอเรียกชื่อชายหนุ่มแล้วเดินไปหา รัญภาคย์ยืนอ้าแขนรับเธอก็โผเข้าไปกอดทันที พุดพิชชาไม่รู้ว่าจะขอบคุณเขาอย่างไรดีกับสิ่งที่เขาทำให้เธอในวันนี้
เขากอดเธอนิ่งอยู่นานความเงียบสงัดยามค่ำคืนทำให้เขาได้ยินเสียงเธอร้องไห้
“ขอบคุณนะคะพี่รัญ” เขาเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาแล้วกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู
“พี่รักพุดนะครับ” เขาบอกรักเธออีกครั้ง นับเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่ดีมากๆ สำหรับเขาและเธอ
“พุดก็รักพี่รัญค่ะ”
“พี่มีของขวัญให้ด้วยนะครับ แต่รอให้ทานข้าวเสร็จแล้วค่อยให้ดีไหม”
“ให้ตอนนี้ไม่ได้เหรอคะ” เธอเองก็อยากจะรู้ว่าเขาเตรียมอะไรไว้ให้เพราะตั้งแต่กลับจากเที่ยวทะเลด้วยกันเขากับเธอก็อยู่แต่ในห้องเท่านั้น จะมีห่างกันก็แค่ช่วงที่เขาบอกเธอว่าจะไปซื้อของแล้วไปส่งเธอที่วัดก่อน
“ไม่ได้หรอกครับ พี่หิวแล้ว”
“ก็ได้ค่ะ แต่พุดไม่มีของขวัญให้พี่รัญเลยนะคะ” เธอรู้สึกผิดที่ไม่ได้เตรียมของขวัญมาให้เขาในวันที่พิเศษเช่นนี้
“พี่ไม่ได้ต้องการของขวัญอะไรหรอกครับ แค่เริ่มต้นปีใหม่พี่ได้อยู่กับพุดพี่ก็มีความสุขมากแล้วครับ”
พุดพิชชาตื่นนอนแต่เช้าแม้ว่าเมื่อคืนกว่าจะได้ก็ผ่านเช้าวันใหม่มาแล้วเป็นชั่วโมงแต่เธอไม่อยากตื่นสายในวันแรกของปี หญิงสาวเตรียมอาหารเช้าอย่างง่ายๆ ให้กับชายหนุ่มคนรักที่ตอนนี้ยังนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มในห้องนอน เธอคิดว่าจะเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่จะไปปลุกเขามาทานทาอาหารด้วยกันในวันขึ้นปีใหม่
“ตื่นเช้าจังครับ” รัญภาคย์เข้ามาสวมกอดหญิงสาวจากด้านหลัง แล้วกดจมูกเข้ากับเส้นผมนุ่มสวยที่เขาเคยแอบคิดว่ามันจะนุ่มสักแค่ไหน แล้วพอเขาได้สัมผัสแล้วก็รู้สึกว่าคิดไม่ผิดเลยสักนิด
“อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่รัญ” พุดพิชชาพยายามเบี่ยงตัวออกจากออ้อมกอดนั้น แต่ไม่ใช่เพราะว่าเธอรังเกียจแต่หญิงสาวอยากมองหน้าเขาให้ชัดๆ ว่านี่เป็นความจริงไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน
“อรุณสวัสดิ์ครับ ทำไม่รีบตื่นแต่เช้า ยังไม่ตอบพี่เลยนะครับ”
“พุดไม่อยากตื่นสายตั้งแต่วันแรกของปีค่ะ แล้วก็อยากมาทำอาหารเช้าให้พี่รัญทานด้วย พี่รัญไปอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวอาหารก็เสร็จแล้วจะได้ทานพร้อมกัน”
“ไม่อยากทานอาหารเลย” เขากอดเธอแน่นขึ้น
“อ้าวทำไมล่ะคะ หรือว่าอยากทานอย่างอื่น” เธอมองจานไข่ดาวแล้วก็ขมวดคิ้วเพราะไม่ได้เตรียมซื้อของสดไว้เลยทำได้แค่เพียงไข่ดาว ไส้กรอก และขนมปังที่กำลังเตรียมจะปิ้ง
“ก็พี่อยากทานอย่างอื่น” เขามองหน้าหญิงสาวคนรักแล้วมองลงไปในตวงตากลมโตนั้นอย่างสื่อความหมาย
“แต่พุดหิวแล้วค่ะ ถ้าพี่รัญยังดื้อไม่ยอมไปอาบน้ำพุดจะทานคนเดียวแล้วนะคะ” แม้เธอจะรู้ว่าตอนนี้เขาต้องการอะไรแต่ก็อายเกินกว่าที่จะยอมทำตามที่เขาต้องการในเวลาเช้าเช่นนี้
“ใจร้ายจัง” เขาบ่นแต่ก็ยอมคลายอ้อมกอดนั้นแล้วรีบเข้าไปอาบน้ำอย่างที่เธอบอก
“พุดครับ ไปเชียงใหม่กันไหม” เขาถามขณะที่กำลังช่วยหญิงสาวเช็ดจานที่พึ่งล้างเสร็จแล้วเก็บเข้าที่
“มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าคะ” เพราะเขาไม่ได้บอกเธอมาก่อนว่าจะต้องไปที่เชียงใหม่และล่าสุดที่คุยกันนั้นเขาก็บอกเธอว่ายังไม่คิดจะไปตอนนี้
“พี่จะพาพุดไปไหว้แม่”
คำตอบของรัญภาคย์ก็ยิ่งทำให้พุดพิชชายิ่งไม่เข้าใจไปอีก เธอมองหน้าเขาเหมือนอยากจะถามว่าเพราะอะไร และชายหนุ่มก็พอจะเดาออกว่าเธอกำลังสงสัยอย่างมาก
“พี่อยากพาพุดไปไหว้แม่ในฐานะคนรัก” สีหน้าของเขาจริงจัง
เมื่อได้ฟังคำตอบแล้วเธอมองหน้าเขาแล้วก็ยิ้มให้กับคำตอบของเขา
“ค่ะ” เธอตอบรับคำชวนนั้นทันที
******
“สวัสดีปีใหม่จ้ะพุด ฉันไปหาแกที่บ้านว่าจะชวนไปฉลองกันสักหน่อยแต่ก็ไม่เจอ” เสียงปราณติญาโทรศัพท์มาบ่นหลังจากที่ไปหาเพื่อนที่บ้านแล้วไม่เจอเมื่อหลายวันก่อน
“พอดีว่าฉันมาทำธุระกับพี่รัญที่กรุงเทพฯ แล้วไปเชียงใหม่ต่ออีก ขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้บอกก่อน”
“ไม่เป็นไร ฉันก็บ่นไปอย่างนั้นแหละ แล้วนี้กลับมาหรือยัง”
“กลับมาแล้วกำลังว่าจะเอาสตรอว์เบอร์รี่ไปให้แกที่บ้าน”
“ดีเลยวันนี้พี่แฟนฉันไม่อยู่ เราจะได้เม้าท์กันให้สนุกไปเลย” ปราณติญาไม่ค่อยมีโอกาสอยู่กับพุดพิชชาสองคนมากเท่าไหร่เพราะทุกครั้งนั้นเมฆาแฟนของเธอจะอยู่ด้วย
“ฉันจะเข้าไปเย็นๆ อยากกินอะไรไหมล่ะจะซื้อไปทำให้กิน”
“ไม่ต้องลำบากเลย มาคุยกันดีกว่า เรื่องอาหารเดี๋ยวฉันไปซื้อที่ร้านหน้าปากซอยไว้รอ” ปราณติญานั้นไม่อยากให้เพื่อนต้องเสียเวลาในครัวเพราะโอกาสที่จะคุยกันนั้นไม่ค่อยมีมากนัก
“ตามใจแกละกัน แล้วน้ำสลัดยังจะเอาอยู่ไหม”
“เอาสิ เกือบลืมไปเลย” แม้ว่าจะย้ายออกไปแล้วแต่พุดพิชชาก็มักแวะมาหาเพื่อนบ่อยๆ เวลาที่เธอมาบ้านของรัญภาคย์และเธอจะเอาน้ำสลัดมาฝากปราณติญาเสมอ
“อะไรนะ” เสียงปราณติญาดังลั่นบ้านเมื่อพุดพิชชาบอกเธอว่ารัญภาคย์กับเธอมีอะไรกันลึกซึ่งไปแล้ว
“เบาๆ สิป่านเดี๋ยวคนอื่นได้ยินหรอก”
“ก็คนมันตื่นเต้น ไหนว่าแต่งงานเพราะโดนพ่อบังคับ แล้วไหงกลายเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะ ฉันว่าแล้วดูยังไงก็ไม่เหมือนเก้งกวาง”
“ไม่ต้องมพูดเลย แกนั่นแหละที่เห็นด้วยกับฉันแต่แรก” พุดพิชชาจำได้ดีว่าปราณติญาก็เห็นด้วยกับเธอจนพากันสรุปว่ารัญภาคย์เป็นเก้งกวาง
“แล้วพี่รัญโกรธเราสองคนไหมที่ไปกล่าวหาเขาแบบนั้น” ปราณติญรู้สึกผิดมากที่ไปกว่าวหาคนอื่นแบบนั้น
“พี่เค้าก็ไม่ได้ว่าอะไร”
“เฮ้อ โล่งใจไปทีนึกว่าจะมองหน้ากันไม่ติดซะแล้ว”
“แล้วนี่ป่านเตรียมงานไปถึงไหนแล้วล่ะ”
“ก็เตรียมไปเรื่อยๆ เพราะต้องสอนกันทั้งสองคน แต่เดือนมีนาก็จะว่างคงจะเตรียมงานได้เต็มที่หน่อย”
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลยนะ”
“อืม ขอบใจนะพุด เรื่องที่ให้ช่วยก็มีเรื่องเดียวนั้นแหละ” แล้วทั้งสองคนก็พากันหัวเราะเพราะเรื่องที่ว่านั้นก็คือเรื่องที่เพื่อนของเธออยากลดน้ำหนักลงอีกสักหน่อยก่อนที่จะถึงวันแต่งงาน พุพิชชามองแล้วก็ไม่เห็นว่าเพื่อนของเธอจะอ้วนตรงไหน แต่ก็อย่างว่า เพราะทุกคนก็คงอยากจะสวยที่สุดในวันสำคัญของชีวิตกันทั้งนั้น