บท
ตั้งค่า

บทที่ 25 พบหน้าครั้งแรก (1/3)

“หลินเอ๋อร์ เจ้าคิดอยากไปเปิดร้านชาที่แดนประจิมของอาบ้างหรือไม่” ราชาไป๋เฮ่อถามขึ้นก่อนจะกลับไปแดนประจิม

“จริงๆ หลานก็อยากไปเปิดนะเพคะ แต่มันติดที่หลานจะดูแลได้ไม่ดีเท่าที่นี่ ชาและของว่างออกมาถูกพระทัยเสด็จอาก็เพราะหลานควบคุมดูแลมาอย่างดีทุกขั้นตอน แต่ที่แดนประจิมหลานไม่สามารถควบคุมดูแลได้เพคะ ต้องขออภัยเสด็จอาด้วยจริงๆ”

ไป๋เฮ่อพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“แต่หลานขอฝากให้เสด็จอาช่วยบอกกล่าวให้ชาวเสือขาวทั้งหลายได้ทราบถึงร้านชาของหลานด้วยนะเพคะ ร้านชาจิ้งจอกน้อยยินดีต้อนรับเผ่าเสือขาวเสมอ”

“ได้ แล้วอาจะบอกให้”

“ขอบพระทัยเพคะ” เสวี่ยหลินยิ้มแก้มปริ ก่อนจะส่งกล่องกระดาษสามกล่องใหญ่ที่บนฝากล่องมีรูปจิ้งจอกน้อยสีส้ม ภายในอัดแน่นไปด้วยขนมหวานและของว่างหลากหลายชนิด

“นี่เป็นของหวานและอาหารว่างที่หลานฝากไปให้เสด็จอาหญิงและเชื้อพระวงศ์เผ่าเสือขาวได้ลองชิมเพคะ”

“ขอบใจ แล้วนี่จะคิดเงินกับอาหรือไม่” ไป๋เฮ่อถามด้วยรอยยิ้มกลั้วหัวเราะเพราะเหลือบเห็นสีหน้าบูดบึ้งของราชาเสวี่ยหมิง ผู้เป็นสหาย

“ไม่คิดเพคะ มีคนชำระให้เสด็จอาแล้ว ยืนหน้าบึ้งอยู่ข้างๆ เสด็จอาไงเพคะ” นางตอบด้วยรอยยิ้มกลั้วหัวเราะเช่นกัน

แน่นอนว่าเสวี่ยหลินขูดรีดบิดาของนางมาหนึ่งพันตำลึงทอง เป็นค่าของหวานและอาหารว่างที่มอบให้กับราชาไป๋เฮ่อ แม้ที่จริงแล้วนางย่อมไม่คิดเงิน แต่เหม่ยเมิ่ง มารดาของนางบอกว่าให้คิดเงิน เพราะอยากกลั่นแกล้งราชาเสวี่ยหมิง เมื่อถูกฟูเหรินสุดที่รักออกปากขูดรีดด้วยตนเอง ราชาเสวี่ยหมิงจึงจำใจหยิบถุงทองมามอบให้เสวี่ยหลิน

ราชาไป๋เฮ่อกลับสู่แดนประจิมได้ไม่กี่วัน ร้านชาจิ้งจอกน้อยจึงมีโอกาสได้ต้อนรับเทพเสือขาวจากแดนประจิมที่มาเยือน เพียงพวกเขาได้ลิ้มลองชา ขนมหวาน และของว่าง ต่างติดอกติดใจอย่างยิ่ง ดังนั้น ไม่นานนักจึงมีชาวเสือขาวจำนวนมากขึ้นแวะมาที่ร้านชาจิ้งจอกน้อย ชื่อเสียงของร้านชาจิ้งจอกน้อยแห่งแดนพายัพจึงยิ่งเป็นที่รู้จักมากขึ้นในแดนประจิม

ผ่านไปอีกสามพันปี ชื่อเสียงของร้านชาจิ้งจอกน้อยจึงเป็นที่รู้จักกันทั้งสี่ทะเลแปดดินแดน ไม่มีเทพเซียนคนใดในสี่ทะเลแปดดินแดนไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินนาม ‘ร้านชาจิ้งจอกน้อย’ อีกต่อไป เหล่าเทพเซียนทุกคนล้วนหาโอกาสแวะมาที่แดนพายัพเพื่อมาลิ้มลองชา ขนมหวาน และของว่างที่ร้านชาจิ้งจอกน้อยอยู่เสมอ

พวกเขาทั้งหมดยังได้ทราบว่าเจ้าของร้านชาจิ้งจอกน้อยคือ องค์หญิงน้อยเสวี่ยหลิน ธิดาองค์เล็กของราชาเสวี่ยหมิงและราชินีเหม่ยเมิ่ง องค์หญิงน้อยเสวี่ยหลินเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวขององค์ชายใหญ่เสวี่ยซานที่กำลังศึกษาอยู่ที่หุบเขาบูรพานิรันดร์

ยามนี้เสวี่ยหลินอายุได้ 18,000 ปีแล้ว เลเวลของนางเลื่อนขึ้นเป็น 140 จากเดิม 120 ลมปราณอยู่ที่เซียนนภาขั้นสิบจากเดิมอยู่ที่เซียนเมธีขั้นสิบ ขณะที่เด็กน้อยรุ่นราวคราวเดียวกับนางอยู่ไม่เกินเลเวล 130 ระดับลมปราณไม่เกินเซียนปฐพีขั้นสิบ กล่าวได้ว่านางก้าวล้ำผู้อื่นหนึ่งช่วงชั้นใหญ่ นี่ย่อมเป็นเพราะนางสามารถโคจรลมปราณเพื่อฝึกฝนไว้ตลอดเวลา ทำให้นางแข็งแกร่งกว่าผู้อื่น

ร้านชาจิ้งจอกน้อยยังคงขายดิบขายดีเป็นที่นิยมของเหล่าเทพเซียนทั้งหลาย เพราะด้วยการตกแต่งร้านที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ชาชนิดใหม่ ขนมและของว่างชนิดใหม่ที่มีเพิ่มเข้ามาทุกหนึ่งร้อยปี และร้านชาจิ้งจอกน้อยยังคงรักษาคุณภาพของชา ขนมหวาน ของว่าง และการให้บริการชั้นเลิศ ทำให้เป็นที่ติดอกติดใจของผู้มาเยือนทุกคน

นางกำนัลที่ทำงานที่ร้านชาจิ้งจอกน้อย หลายนางยังได้ดิบได้ดี บ้างได้เป็นพระสนม ภรรยารอง บางคนก็ได้เป็นภรรยาเอก แม้เสวี่ยหลินจะนึกไม่ชอบใจที่พวกนางบางคนแต่งออกไปเป็นภรรยาน้อย แต่ด้วยธรรมเนียมสามภรรยาสี่อนุในแดนเซียน เสวี่ยหลินจึงไร้คำพูดว่ากล่าว นางกำนัลคนใดที่แต่งออกไป เสวี่ยหลินจะมอบของขวัญแต่งงานให้เป็นทองคำจำนวนหนึ่งแสนตำลึงทองทุกคน เพราะของที่นางมอบให้ก็เพื่อให้เป็นสินเจ้าสาว มิให้ผู้ใดดูถูกได้ว่ามาทำงานที่ร้านชาจิ้งจอกน้อยแล้ว ไม่มีทรัพย์สินใดติดตัว เรื่องนี้สร้างความปลาบปลื้มซาบซึ้งใจแก่นางกำนัลทุกคนยิ่งนัก

หยางเจี้ยนเทียนจวินเองก็ยังเคยมาที่ร้านชาจิ้งจอกน้อย เมื่อมาแล้วก็ต้องติดอกติดใจกับชา ขนมหวาน และของว่างที่ร้านอย่างยิ่ง เมื่อหยางเจี้ยนคิดจัดงานเลี้ยงรับรองยามบ่ายแก่เหล่าเทพเซียนที่มาอวยพรวันเกิดก่อนจะถึงงานเลี้ยงจริงในค่ำคืนนั้น เขาคิดให้ร้านชาจิ้งจอกน้อยมาจัดการในเรื่องนี้ ทว่าเสวี่ยหลินปฏิเสธทันที นางตอบกลับเซียนรับใช้ของหยางเจี้ยนว่า

“ท่านช่วยทูลเทียนจวินด้วยว่าข้าเองก็อยากรับงานนี้ แต่จำต้องปฏิเสธเพราะข้าไม่สามารถส่งชาไปให้ในงานได้ ชาของที่ร้านเป็นการชงสดใหม่ทั้งสิ้น หากเทียนจวินคิดให้ร้านของข้ารับงานนี้ ข้าต้องปิดร้านไปรับงานซึ่งไม่คุ้มกับรายได้ที่ข้าเสียไป หากเทียนจวินยังมีพระประสงค์ให้ข้ารับงานนี้ เทียนจวินต้องเหมาร้านของข้าสามวัน เพราะเมื่อข้าไปรับงาน คนของข้าต้องเตรียมทำขนมและของว่างไว้ล่วงหน้าหนึ่งวัน และยังไม่สามารถเตรียมของสำหรับวันรุ่งขึ้นที่ร้านต้องเปิดขายได้ ดังนั้น สามวันที่ข้าต้องเสียไป ข้าคิดสี่แสนห้าหมื่นตำลึงทอง ไม่อาจน้อยกว่านี้เด็ดขาด”

เมื่อเซียนรับใช้นำคำตอบของเสวี่ยหลินไปทูลหยางเจี้ยนเทียนจวิน เขาก็อึ้งไปทันที คาดไม่ถึงว่านางเซียนน้อยนี้จะตอบอย่างตรงไปตรงมาเหลือเกิน สี่แสนห้าหมื่นตำลึงทอง เขาย่อมสามารถจ่ายได้ เพราะคิดเป็นเพียงสองในสิบส่วนของค่าใช้จ่ายในงานเลี้ยงยามค่ำของเขา ทั้งยังเป็นการบอกเขาว่ารายได้ของร้านชาจิ้งจอกน้อยคือวันละหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงทอง

หยางเจี้ยนเทียนจวินย่อมไม่ทราบว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงทองนี้เป็นเพียงรายได้เฉลี่ยขั้นต่ำสุดของหนึ่งวันเท่านั้น เพราะเฉลี่ยแล้ว ร้านชาจิ้งจอกน้อยสามารถทำรายได้ราวหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นตำลึงทองต่อวัน

“เจ้าไปบอกนางว่าข้ายินดีจ่าย เจ้านำหีบนี้ไปให้นาง นี่เป็นค่าจ้างที่นางเรียกมา” หยางเจี้ยนเทียนจวินตอบรับข้อเสนอของเสวี่ยหลิน

เมื่อเสวี่ยหลินได้รับทองสามหีบใหญ่ เหม่ยเมิ่ง เสด็จแม่ของนางเป็นผู้ตรวจนับ

“ครบสี่แสนห้าหมื่นตำลึงทอง” นางบอกบุตรสาว

เสวี่ยหลินต้องยิ้มในใจทันที

จ่ายง่ายแบบนี้ จัดให้เพคะ เทียนจวิน

“พี่ชาย งานเลี้ยงยามบ่าย จะจัดขึ้นเมื่อใด” นางถามเซียนรับใช้ที่นำหีบใส่ทองคำมาส่ง

“อีกหนึ่งเดือนข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วพวกท่านจัดสถานที่อย่างไร มีแขกกี่ท่านที่มาร่วมงานเลี้ยงยามบ่าย” คำถามนี้ของนางทำให้เซียนรับใช้ผู้นี้แปลกใจอย่างยิ่ง

“ยังไม่ทราบว่าจะจัดสถานที่อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ทราบเพียงว่าจะจัดงานเลี้ยงยามบ่ายที่อุทยานบุปผามังกร ส่วนแขกที่มาร่วมงานมีเพียงสามร้อยท่านเท่านั้นที่ได้รับเทียบเชิญ รวมเทียนจวิน เทียนโฮ่ว และโอรสธิดาด้วย ทั้งหมดก็สามร้อยห้าคนพ่ะย่ะค่ะ”

“แขกสามร้อยท่านนี้ มีท่านใดที่สูงศักดิ์เป็นพิเศษหรือไม่”

“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ ถ้าจะมีก็คงเป็นมหาเทพหยางหลงเพียงพระองค์เดียว แต่คาดเดาได้ว่าไม่เสด็จมาร่วมงานแน่ เพราะไม่โปรดงานเลี้ยงที่มีผู้คนมากมาย ท่านมักจัดงานเลี้ยงส่วนพระองค์ที่วังมังกรสวรรค์ เชิญแขกเพียงสามถึงห้าท่านเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel