บท
ตั้งค่า

บทที่ 23 ร้านชาจิ้งจอกน้อย (ปลาย) [2/3]

ฟังที่เสวี่ยหลินบอกแล้ว พวกนางได้แต่งุนงง ชื่อชาและขนมแปลกหูทั้งสิ้น แต่ฟังแล้วก็น่าลิ้มลอง

“ได้เพคะ องค์หญิงน้อยจัดมาได้เลย”

“เจ้าค่ะ ชุดนี้ห้าสิบตำลึงทอง ข้าต้องขอเก็บเงินเลยนะเจ้าคะ เพราะนี่เป็นระเบียบที่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่กำหนดไว้ เพื่อให้ทุกอย่างไม่วุ่นวายและไม่รบกวนระหว่างที่พวกท่านพักผ่อน” เสวี่ยหลินอ้างราชาเสวี่ยหมิงและราชินีเหม่ยเมิ่ง

“ได้เพคะ” เซียนสตรีนางนั้นบอกกล่าวก่อนจะส่งก้อนทองคำเล็กๆ ให้เสวี่ยหลิน

เสวี่ยหลินเดินไปหาเหล่าเซียนที่นั่งรออยู่อีกสองโต๊ะเพื่อรับคำสั่งก่อนจะเดินกลับเข้าไปในร้าน ไม่นานนางก็กลับมาพร้อมกับถือถาดใส่ชาและขนมมาให้นางเซียนทั้งสามที่โต๊ะแรกก่อน

เพียงได้กลิ่นหอมของชาและเห็นขนมหวานที่นำมาวางบนโต๊ะ นางเซียนทั้งสามต้องตื่นตะลึงยิ่ง เพราะมันทั้งหอมและน่ารับประทานยิ่งนัก

“รับประทานให้อร่อยนะเจ้าคะ” เสวี่ยหลินบอกกล่าวหลังจากรินชาใส่ถ้วยให้พวกนางเสร็จสิ้น

เสวี่ยหลินกลับเข้าไปในร้านอีกครั้งพร้อมกับถือถาดที่ใส่ชาและขนมหวานมาส่งให้อีกสองโต๊ะที่เหลือ แล้วนางจึงไปยืนรอห่างออกไปเพื่อรอให้บริการทั้งสามโต๊ะที่นั่งอยู่ด้านนอกของร้าน ผ่านไปครู่ใหญ่

“องค์หญิงน้อยเพคะ” นางเซียนจากโต๊ะแรกเรียกหา

“ท่านเซียนจะรับอะไรเพิ่มหรือเจ้าคะ”

“ชากับขนมของท่านดีมากจริงๆ” คำชมแรกออกมาทันที

“ชาหอม ขนมอร่อย ดีเสียจนข้าแทบไม่เชื่อ แถมทิวทัศน์ก็ยังงดงาม นั่งจิบชาและชิมขนมที่ร้านนี้ ผ่อนคลายจริงๆ”

“ห้าสิบตำลึงทองนี่ คุ้มค่ามาก องค์หญิงน้อย ท่านตั้งราคาถูกไปหรือไม่” ประโยคนี้ของนางทำให้เสวี่ยหลินอึ้งไปครู่หนึ่ง

เราก็ว่าตั้งแพงแล้วนะ นางยังว่าถูกอีกหรือ นี่แสดงว่าเราตั้งต่ำไปสินะ เสวี่ยหลินคิดในใจ

“มิได้เจ้าค่ะ ข้าเห็นว่าเพิ่งเปิดร้าน จึงตั้งใจว่าสามวันแรกที่เปิดจะลดราคาให้ทุกท่านหนึ่งในสิบส่วนเจ้าค่ะ พอเปิดร้านวันที่สี่จึงจะเป็นราคาที่จะขายจริงเจ้าค่ะ” เสวี่ยหลินแถได้อย่างรวดเร็ว

“ข้าแนะนำเลยนะ อย่างชุดพระจันทร์สีเงินที่องค์หญิงแนะนำให้ ข้าเห็นว่าสักเจ็ดสิบตำลึงทองกำลังเหมาะ”

“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านเซียนที่แนะนำเจ้าค่ะ” เสวี่ยหลินรับลูกต่อทันที เรื่องเงินๆ ทองๆ นี่ นางไม่มีทางยอมพลาดแน่

ลูกค้าทั้งร้านแทบจะไม่มีผู้ใดยอมออกจากร้าน พวกเขาล้วนสั่งชาและขนมเพิ่มเติมตลอด ลูกค้าที่เข้ามาใหม่แม้จะมีไม่กี่ราย แต่เมื่อได้เห็นบรรยากาศภายในร้าน กลิ่นชาอ่อนๆ ที่หอมตรลบอบอวล ขนมหวานที่น่าลิ้มลอง เสียงเพลงจากนักดนตรีที่บรรเลงแว่วหวาน ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดจึงมีเทพเซียนน้อยรายยิ่งนักที่ยอมออกไปจากร้าน ผู้ที่ก้าวเท้าออกจากร้าน ล้วนแต่สั่งขนมหวานที่ร้านกลับไปมากมายเพื่อนำไปฝากคนที่บ้าน

เมื่อถึงกลางยามโหย่ว (18.00 น.) ซึ่งเป็นเวลาปิดร้าน ลูกค้าทั้งหลายแทบไม่อยากออกจากร้านกันเลยทีเดียว กว่าจะจัดการส่งลูกค้าออกไปนอกร้านเสร็จก็ล่วงเข้าปลายยามโหย่ว (19.00 น.)

เพียงลูกค้าคนสุดท้ายจากไป ประตูร้านชาจิ้งจอกน้อยก็ปิดลงอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าจะมีใครเข้ามาอีก

“โอยยย องค์หญิงน้อยเพคะ ข้าชงชามือเป็นระวิงเลย” นางกำนัลผู้หนึ่งบ่นออกมา หากสีหน้าปลาบปลื้มยินดีอย่างยิ่ง

“ขนมก็แทบไม่พอขายเลยเพคะ นี่เหลืออยู่ไม่มากแล้ว”

“พวกเขาติดใจชากับขนมหวานขององค์หญิงน้อยมากจริงๆ”

“พวกเราต้องเร่งทำขนมหวานกันแล้วเพคะ ไม่รู้ว่าวัตถุดิบยังพออยู่หรือไม่ แต่ใบชาต่างๆ ยังมีเหลืออยู่มาก” เสวี่ยปิงบอกออกมา

“หลินเอ๋อร์ แม่นั่งนับเงินจนเมื่อยแล้วลูก” คราวนี้เป็นเหม่ยเมิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มแม้จะอ่อนล้าอยู่บ้าง

เสวี่ยหลินเดินเข้าไปดูที่มารดาจดไว้ให้ จึงได้ทราบว่าวันนี้ร้านชาจิ้งจอกน้อยของนางขายได้ถึง 48,654 ตำลึงทอง จำนวนเช่นนี้กล่าวได้ว่าคืนทุนจบสิ้นในวันเดียวทั้งยังมีกำไรถึงสามในสิบส่วน

เสวี่ยหลินเรียกทุกคนมา ก่อนจะยื่นก้อนทองให้คนละ 200 ตำลึงทอง นี่เป็นสินน้ำใจที่พวกเจ้าทุกคนทำงานได้ดี นอกเหนือจากที่ข้าจะให้พวกเจ้าเดือนละ 40 ตำลึงทอง”

เหล่านางกำนัลและเซียนรับใช้ต่างนิ่งอึ้งกันไปหมด แค่ให้เดือนละสี่สิบตำลึงทอง นั่นก็มากแล้ว นี่ยังได้พิเศษอีกคนละ 200 ตำลึงทอง องค์หญิงน้อยเสวี่ยหลินช่างใจกว้างยิ่งนัก

“ขอบพระทัย เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ”

“คืนนี้ต้องรบกวนพวกเราทุกคนช่วยกันทำขนมหวานเตรียมไว้ด้วยนะ ส่วนวัตถุดิบไม่ต้องกังวล ข้ายังมีเก็บไว้อีกมาก”

“เพคะ องค์หญิงน้อยไม่ต้องเป็นห่วง”

วันรุ่งขึ้น เหล่าเทพเซียนมากมายยังคงมาที่ร้านชาจิ้งจอกน้อยที่เปิดขายตั้งแต่กลางยามอู่ (10.00 น.) และจะปิดลงกลางยามโหย่ว วันนี้จึงเป็นอีกวันที่ทุกคนทำงานหนัก

ผ่านไปอีกเจ็ดวัน เหล่าเซียนจิ้งจอกทั้งหลายยังคงมาที่ร้านชาจิ้งจอกน้อย เพราะยามนี้ร้านชาแห่งนี้ได้กลายเป็นที่พบปะสังสรรค์ของเหล่าเซียน พวกเขาชมชอบกลิ่นชาที่ลอยอวลอยู่ทั่วร้าน ดื่มด่ำกับรสชาติของชาและขนมหวานที่นุ่มละมุนเข้ากัน ทิวทัศน์รอบด้านที่งามตระการของธรรมชาติ ทั้งในร้านยังมีนักดนตรีฝีมือดีบรรเลงดนตรีให้ฟังเบาๆ กล่าวได้ว่าเป็นสถานที่แห่งการพักผ่อนและพูดคุยอย่างแท้จริง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เสวี่ยหลินต้องคิดหาทางขยับขยายร้าน เพราะตอนแรกที่วางแผนไว้ก็คิดว่าด้วยพื้นที่ร้านที่กว้างเช่นนี้ สมควรจะต้อนรับลูกค้าได้ครบ แต่ดูเหมือนว่าลูกค้าจะมากกว่าที่คิด

เหม่ยเมิ่งและเสวี่ยปิงเองก็สนุกกับการทำงานในร้านชาแห่งนี้ เพราะเหล่าเทพเซียนหลายคนที่รู้จักพวกนางต่างมาพูดคุยกับพวกนางอย่างเป็นกันเองมากกว่าเดิม

ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน เมื่อซักถามจากราชาเสวี่ยหมิงและราชินีเหม่ยเมิ่งจนแน่ใจได้ว่าพื้นที่รอบข้างที่เสวี่ยหลินยึดครองไว้ทำร้านชานั้นไม่มีผู้ใดครอบครอง นางจึงบอกกล่าวลูกค้าทุกคนว่าขอปิดสิบวันเพื่อขยายพื้นที่ ลูกค้าทุกคนต่างยินดีกันถ้วนหน้า

ครั้งนี้เทพจิ้นเหอมารับงานอย่างรวดเร็วเมื่อเสวี่ยปิงไปตาม เขาเองก็เคยมาลิ้มรสชาและขนมหวานของที่นี่แล้ว เขาและทุกคนในครอบครัวล้วนติดใจชาและขนมหวานของที่นี่อย่างยิ่ง

เสวี่ยหลินขยายพื้นที่เพาะปลูกออกไปอีก 200 หมู่ โดยเพิ่มพื้นที่ปลูกสมุนไพรที่ใช้ปรุงน้ำทิพย์เติบโตอีก 10 หมู่ เป็น 20 หมู่ อีก 160 หมู่ ให้เป็นพื้นที่ปลูกชา ผลไม้ ดอกไม้ และ 30 หมู่เพิ่มให้เป็นพื้นที่สำหรับเรือนพักของนางกำนัล เซียนรับใช้

ส่วนร้านชานั้น นางขยายพื้นที่ร้านชาออกไปอีก 30 หมู่ โดยเพิ่มพื้นที่ครัวอีก 10 หมู่ เป็น 14 หมู่ เพิ่มพื้นที่ให้บริการอีก 20 หมู่ เป็น 28 หมู่ สามารถรองรับเหล่าเทพเซียนที่มาเยือนได้ราว 1,000 คนพร้อมกัน จากเดิมที่รองรับได้ 300-350 คน ด้านนอกร้าน นางยังให้จัดโต๊ะไว้ให้บริการอีกสิบโต๊ะ รองรับได้ 30-40 คน นี่กล่าวได้ว่านางยึดพื้นที่ทั้งหมดมาทำร้านชาและที่เพาะปลูกรวมทั้งโรงเก็บวัตถุดิบจนหมดสิ้นแล้ว แต่ทุกสิ่งที่นางให้เทพจิ้นเหอสร้างขึ้น ล้วนแต่กลมกลืนเข้ากับบรรยากาศของเชิงเขาแห่งนี้ นางตกแต่งทุกสิ่งให้เข้ากัน ไม่ยอมให้มีสิ่งใดผิดแปลกอันจะทำลายความงดงามของสถานที่

ตอนแรกเสวี่ยหลินคิดทำร้านชาเป็นสองชั้น แต่เมื่อนั่งคิดอีกที นางต้องทิ้งความคิดนี้ไป เพราะนางเห็นว่าแม้ร้านชาสองชั้นจะเพิ่มพื้นที่ได้ แต่เมื่อนึกถึงว่าหากลูกค้าต้องเดินขึ้นเดินลง นางว่ามันไม่สะดวก และคงไม่มีผู้ใดชอบ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel