บทที่ 10 จตุธาตุอัญมณี (1/3)
“ตอนที่แม่เพิ่งคลอดเจ้าได้ไม่กี่วัน มหาเทพหยางหลงทราบข่าว จึงส่งกำไลนี้มาเป็นของรับขวัญเจ้า แต่เพราะเจ้ายังเล็กนัก แม่จึงเก็บกำไลนี้ไว้ให้ก่อน ตอนนี้เจ้าโตพอจะใส่ได้แล้ว แม่จึงเอามาให้”
“ขอบพระทัยเพคะ ของดีมากจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะได้ของดีถึงเพียงนี้ แล้วหากข้าโตกว่านี้ข้าจะใส่ได้หรือเพคะ มันก็วงไม่ได้ใหญ่มาก”
“ได้สิ กำไลนี้สามารถเปลี่ยนไปตามร่างกายของเจ้าที่เติบโตขึ้น”
“เยี่ยม !”
“หลินเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าของชิ้นนี้เคยมีคนปฏิเสธมันมาแล้ว”
เสวี่ยหลินตาโตทันที “ใครตาบอดปฏิเสธเพคะ ของดีขนาดนี้ ปฏิเสธได้อย่างไร”
เหม่ยเมิ่งต้องยิ้มออกมาทันทีกับคำพูดของบุตรสาวก่อนจะตอบคำถาม “กำไลนี้เป็นกำไลที่มหาเทพสร้างขึ้นเมื่อครั้งยังทรงนั่งบัลลังก์ประมุขฟ้าดิน ตั้งพระทัยจะประทานเป็นรางวัลให้องค์หญิงฉิงเฟิ่งแห่งเผ่าหงส์แดงเพื่อตอบแทนที่เผ่าหงส์แดงช่วยดับอัคคีผลาญพิภพเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนที่มหาเทพจะสละบัลลังก์ให้หยางเจี้ยนเทียนจวิน แต่องค์หญิงฉิงเฟิ่งอยากได้เป็นหยกสีแดง มหาเทพจึงต้องสร้างกำไลหยกขึ้นมาใหม่ด้วยหยกเพลิงชาด ทำให้นางสามารถใช้อัคคีธาตุได้ร้ายกาจยิ่งขึ้น”
เสวี่ยหลินทำสีหน้าเบื่อหน่ายทันทีก่อนจะหลุดปาก
“โจมตีแรงก็เท่านั้น ถ้าโจมตีไม่แรงพอหรือโจมตีไม่ถูกก็ไม่มีประโยชน์ นางตาต่ำยิ่งนัก” นั่นเพราะนางเห็นมาจนชาชินแล้วว่าครั้งที่นางยังเป็นเพียงมนุษย์และเล่นเกม ผู้เล่นที่เน้นการสร้างความเสียหายเป็นหลักแทบไม่อาจล้มผู้เล่นที่มีการป้องกันดีๆ ได้หากโจมตีไม่แรงพอ และหลายครั้งยังพ่ายแพ้ให้กับผู้เล่นที่มีการป้องกันสูงอีกด้วย
เหม่ยเมิ่งหัวเราะออกมาทันทีก่อนจะกล่าวต่อ “เจ้าอย่าไปพูดเช่นนี้นอกแดนพายัพล่ะ มิฉะนั้น เจ้าถูกเผ่าหงส์แดงและเผ่าสิงโตลงโทษเจ้าแน่”
“ทำไมล่ะเพคะ ก็มันเรื่องจริงนี่นา”
“ก็นั่นแหละ เจ้าอย่าพูดก็แล้วกัน ไว้เจ้าโตมากกว่านี้ เจ้าก็รู้เอง”
เสวี่ยหลินพยักหน้ารับ แต่ก็พอเข้าใจได้อยู่ และนางก็แน่ใจว่าเรื่องนี้ต้องมีตื้นลึกหนาบางอีกไม่น้อย เพียงแต่ไม่ได้มีประโยชน์สำหรับนางที่จะต้องทราบ
เสวี่ยหลินมีเวลาอีกหนึ่งหมื่นหนึ่งพันปีกว่าที่นางจะอายุ 25,000 ปีและต้องไปศึกษาเล่าเรียนที่หุบเขาบูรพานิรันดร์ ดังนั้น เหม่ยเมิ่งจึงตั้งใจสอนนางหัดเขียนอ่านให้คล่องเสียก่อน ทว่าเมื่อเริ่มสอนไปได้เพียงครู่เดียว เหม่ยเมิ่งจึงได้ทราบว่าบุตรสาวของนางอ่านออกเขียนได้แล้วเป็นอย่างดี ถ้าจะขาดไปก็เพียงลายมือนางยังไม่สวย เหม่ยเมิ่งจึงได้แต่สั่งให้เสวี่ยหลินคัดลายมือมาส่งให้นางดูวันละสามแผ่น เสวี่ยหลินจำยอมกระทำ แต่เพราะด้วยพรที่ผู้เฒ่าตว๋อเทียนมอบให้ ผ่านไปเพียงสามวัน ลายมือของเสวี่ยหลินก็งดงามอย่างยิ่ง ทำเอาเหม่ยเมิ่งพูดไม่ออก
“หลินเอ๋อร์ เจ้าไปเรียนที่สถานศึกษาพายัพเถิด แม่ส่งนามของเจ้าไปให้ท่านอาจารย์ที่นั่นแล้ว ที่นั่นเจ้าจะได้มีสหายวัยเดียวกัน และได้ร่ำเรียนอย่างอื่นเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าสำหรับการไปเรียนที่หุบเขาบูรพานิรันดร์”
สถานศึกษาพายัพก็เหมือนโรงเรียนกินนอนในโลกมนุษย์ที่นางจากมา เสวี่ยหลินก็ไม่ว่ากล่าวสิ่งใด ดีเสียอีกนางจะได้มีเวลาศึกษาได้เต็มที่
เสวี่ยหลินไปเรียนตามที่เหม่ยเมิ่งต้องการ หากเพียงวันแรก นางก็ประเดิมด้วยการหลับในห้องเรียน นี่เป็นเพราะอาจารย์ผู้นี้สอนน่าเบื่อเกินไป น้ำเสียงตอนสอน ฟังแล้วชวนหลับอย่างยิ่ง แล้วก็สอนตามตำราทุกอย่าง การสอนเพื่อดึงความสนใจของนักเรียนก็ไม่มี เสวี่ยหลินถึงกับถอนหายใจ นั่งครุ่นคิดอยู่นานในที่สุดก็นึกหาวิธีการออก
วันรุ่งขึ้น เสวี่ยหลินเดินไปที่เรือนกลางอันเป็นเรือนที่ใช้ทำงานของอาจารย์ใหญ่
“องค์หญิงน้อย มาพบข้ามีธุระใด” อาจารย์ใหญ่เอ่ยถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“ท่านอาจารย์ ข้าอยากทราบว่าที่สถานศึกษามีวิชาที่ต้องเรียนทั้งหมดกี่วิชาเจ้าคะ”
อาจารย์ใหญ่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงตอบออกมา “มีวิชาปรุงโอสถ วิชาสมุนไพร วิชาทำครัว วิชาผักผลไม้ วิชาค้นหาและขุดแร่ วิชาแร่ วิชาเวท และการต่อสู้ ทั้งหมดก็แปดวิชา แปดวิชานี้เป็นวิชาเบื้องต้น แต่ละวิชาก็ต้องใช้เวลาเล่าเรียนและฝึกฝน กว่าจะจบก็อีกหนึ่งหมื่นหนึ่งพันปีข้างหน้า องค์หญิงน้อยก็อายุครบเกณฑ์ที่จะไปศึกษาขั้นกลางและขั้นสูงที่หุบเขาบูรพานิรันดร์ได้พอดี”
“เช่นนั้น ข้าจะศึกษาเอง และเมื่อถึงกำหนดสอบข้าก็จะมาสอบนะเจ้าคะ”
“องค์หญิงน้อยแน่ใจนะพ่ะย่ะค่ะว่าจะไหว”
“ข้าไหวแน่นอนเจ้าค่ะ แล้วตำราทั้งหมดของทุกวิชามีที่หออักษรใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ถ้าองค์หญิงน้อยต้องการศึกษาให้เร็ว ก็ไปศึกษาเองได้ที่หออักษร”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหลินตั้งใจศึกษาวิชาสมุนไพรกับวิชาผักผลไม้ก่อน สองวิชานี้ใกล้เคียงกันตรงที่ต้องปลูกขึ้น จึงสมควรศึกษาร่วมกันได้
ยามนี้นางมาถึงหออักษรแล้ว เมื่อสอบถามอาจารย์ที่เป็นบรรณารักษ์ประจำหออักษรจึงได้ทราบว่าตำราวิชาผักผลไม้อยู่ที่ชั้นหนึ่งและวิชาสมุนไพรอยู่ที่ชั้นสอง เสวี่ยหลินจึงปักหลักอ่านตำราทุกเล่มในสองชั้นนี้
สิ่งที่เสวี่ยหลินชอบที่สุดคือ นางเพิ่งทราบว่ายิ่งนางอ่านและจดจำทำความเข้าใจได้มากเพียงใด ค่า INT อันมีผลต่อ MATK, SP และ MDEF ยิ่งสูงมากขึ้นเป็นเงาตามตัว และยังทำให้ลดระยะเวลาในการร่ายเวทได้มากขึ้น นางจึงตั้งใจว่านางจะศึกษาให้ครบทุกวิชาให้เร็วที่สุด
ด้วยพรที่นางขอจากผู้เฒ่าตว๋อเทียน แน่นอนว่านางย่อมจดจำและเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดได้อย่างง่ายดายและไม่มีวันลืมเลือน นางใช้เวลาหนึ่งปีในการศึกษาตำราทั้งสองวิชานี้จนครบถ้วน
วันนี้เป็นวันที่นางมาสอบข้อเขียนในวิชาผักผลไม้และสมุนไพร เนื่องเพราะเป็นการสอบเต็มวิชามิใช่เพียงบางส่วนเช่นการศึกษาเล่าเรียนตามปกติ ข้อสอบแต่ละวิชาจึงกำหนดให้เสวี่ยหลินมีเวลาสอบถึงสามชั่วยาม ดังนั้น นางจะต้องสอบวิชาผักผลไม้วันนี้ และวันรุ่งขึ้นจึงเป็นการสอบวิชาสมุนไพร
ผ่านไปอีกเจ็ดวัน ทั้งสถานศึกษาพายัพก็ต้องตื่นตะลึงเมื่อผลสอบถูกประกาศออกมาว่าเสวี่ยหลินสอบได้คะแนนเต็มทั้งสองวิชา เมื่อราชาเสวี่ยหมิงและราชินีเหม่ยเมิ่งทราบเรื่องจึงปลาบปลื้มดีใจอย่างยิ่ง เพราะผ่านไปเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น เสวี่ยหลินแสดงให้เห็นว่านางมีความคิดอ่านที่ดี และจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้ยอดเยี่ยม แม้นางจะยังเป็นเซียนเด็กอายุหนึ่งหมื่นสี่พันกว่าปีเท่านั้น
วิชาที่สามที่เสวี่ยหลินตั้งใจศึกษาคือวิชาเวท เพราะนางต้องการใช้ธาตุต่างๆ ในการช่วยปลูกสมุนไพรและผักผลไม้เพื่อเร่งให้มันเติบโตได้เร็วและให้ผลเลิศที่สุด ซึ่งเมื่อได้เริ่มศึกษาจึงทำให้นางทราบว่าสกิลต่างๆ ที่นางเห็นทั้งหมดจากหน้าต่างสกิลนั้น มีอธิบายโดยละเอียดไว้ในตำรา ทำให้นางยิ่งเข้าใจสกิลที่ตนเองเลือกใช้มากขึ้น และแน่นอนว่านางสามารถจดจำและเข้าใจสกิลต่างๆ ได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่นางตั้งใจศึกษาที่สุดในวิชาเวทคือธาตุต่างๆ
ในโลกแห่งเซียนมีธาตุทั้งสิ้นหกธาตุคือ วารี อัคคี วายุ สายฟ้า แสงศักดิ์สิทธิ์ และธาตุมืด แน่นอนว่าธาตุมืดย่อมจะมีเฉพาะเทพเซียนที่กลายเป็นมาร ส่วนธาตุแสงนั้นหาได้ยากยิ่ง หากนางมีธาตุแสงนี่ล่ะก็ กล่าวได้ว่าราวกับนางมีสกิลฟื้นฟู HP และ Buff Skill ของอาชีพนักบวชเลยทีเดียว ปัญหาคือนางจะหาธาตุแสงได้จากที่ใด และที่แน่ๆ ไม่มีตำราเล่มใดบอกเลยว่าธาตุแสงมีกำเนิดอย่างไร หากนางทราบแหล่งกำเนิดธาตุแสง ก็ไม่ยากที่นางจะต้องดั้นด้นค้นหาเอามาครอบครองให้ได้