2 เด็กชายมอมแมม
เดี๋ยวเดินเดี๋ยวหยุด จนพระอาทิตย์ขึ้นตรงหัวฟู่ลี่อิ๋งก็ยังมิถึงจุดหมายปลายทาง บ่าวสองคนที่เดินตามหลัง ถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า โชคดีที่บนถนนเต็มไปด้วยผู้คนวุ่นวาย คุณหนูใหญ่แห่งจวนโหวจึงดูเหมือนจะไม่ได้ยิน สิ่งที่พวกนางสองคนก่นด่า
“ดูสิ ปกตินางเคยเดินที่ไหนกัน” เสี่ยวเยว่กอดอกบ่นอยู่เบื้องหลัง นางต้องเสียไปเวลาตลอดช่วงเช้า เพื่อเอามาใช้กับการเดินตามหลังสตรีร้ายกาจต้อย ๆ
“เจ้าอย่าพูดไปสิ เกิดนางได้ยินขึ้นมาเดี๋ยวก็หันมาลงไม้ลงมือกับเราพอดี” เสี่ยวถิงบอกให้สหายอย่างส่งเสียงดังไปมากกว่านี้
“นางไม่ได้ยินหรอก หากนางได้ยินก็คงหันมาตบตีพวกเราสองคนไปแล้ว” เสี่ยวเยว่เอ่ย
“หรือที่จริงนางได้ยิน แต่เหนื่อยเกินกว่าจะหันมาตบตีพวกเราสองคนกลางตลาด” เสี่ยวถิงเสริม
“ไม่ใช่ว่าหลังจากกลับไปแล้ว พวกเราสองคนโดนเฆี่ยนหลังลายหรอกนะ”
จู่ ๆ ทั้งสองคนก็คิดอะไรดี ๆ ได้ในเมื่อนี่เป็นโอกาสทอง ก็ขอใช้เวลานี้ให้คุ้มค่า สาวใช้สองนางกระซิบกระซาบกันเบา ๆ ไม่ให้ผู้ใดได้ยิน ก่อนจะค่อย ๆ ลดความเร็วในการเดินของพวกตนให้ช้าลงจนกระทั่งหยุดเดินและปล่อยให้คุณหนูตัวแสบเดินลิ่วไปอยู่ผู้เดียว
กระทั่งแผ่นหลังแบบบางของฟู่ลี่อิ๋งแสนร้ายกาจหายลับไปกับฝูงชน พวกนางจึงเดินตบมือด้วยความสบายใจ พร้อมกับเข้าไปนั่งดื่มน้ำชาที่ร้านข้างทาง
ไม่ใช่ว่าฟู่ลี่อิ๋งไม่ได้ยินในสิ่งที่ทั้งสองคนกล่าวนินทานางลับหลัง แต่นางคร้านจะหันไปตบตีด่าทอ กลับจวนโหวเมื่อไหร่ค่อยลงโทษก็ไม่เสียหาย เวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนางคือการไปให้ถึงศาลเจ้าท้ายตลาดเสียที
“เสี่ยวถิง ขอน้ำให้ข้าหน่อย” คนตัวเล็กยื่นมือส่งไปด้านหลังเพื่อรับถุงหนังสำหรับใส่น้ำดื่ม
แต่ยื่นออกไปอยู่นานดันมีแต่ความว่างเปล่า นางจึงหันกลับไปตั้งใจจะเอาเรื่อง แต่กลายเป็นว่าไร้เงาของหญิงรับใช้และองครักษ์ประจำกาย
คนพวกนั้นหายไปหมดแล้ว!!
เท่ากับว่าในเวลานี้ฟู่ลี่อิ๋งกำลังอยู่เพียงลำพังในตลาดที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน นางไม่เคยออกมานอกจวนโหวเพียงลำพัง ความรู้สึกจึงเต็มไปด้วยความหวั่นใจและกังวลใจ ระยะทางจากตรงนี้เพื่อกลับจวนและไปให้ถึงศาลเจ้า เมื่อคำนวณแล้วออกมาไม่ห่างกันมากนัก
อย่างน้อย ๆ ก็ไปให้ถึงที่นั่นดูดวง ทำนายฝันให้เรียบร้อย จากนั้นค่อยนั่งรถม้ารับจ้างกลับจวนโหวก็ยังไม่สาย
นางไม่น่านึกอยากเป็นคนดียกรถม้าให้กับฟู่เหยาเหยา คิดได้ในตอนนี้ก็ช้าเกินไปเสียแล้ว ในที่สุดเมื่อตัดสินใจได้แล้วจึงค่อย ๆ หอบสังขารร่างกายอันอ่อนแอไปให้ถึงศาลเจ้าท้ายตลาดให้จงได้ หากเป็นคนปกติทั่วไป จากจุดนี้คงใช้เวลาไม่ถึงสองก้านธูป
แต่นางกลับใช้เวลาเดินยาวนานถึงเกือบหนึ่งชั่วยาม
เมื่อได้มาเดินเช่นนี้ทำให้นางได้เห็นคุณภาพชีวิตของชาวบ้านทั่วไป บ้างร่ำรวย บ้างเร่ร่อน บ้างยากจน ทุกคนล้วนแล้วแต่มีการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน ฟู่ลี่อิ๋งคิดถึงชีวิตของตนเอง ใช่แล้ว ใครใช้ให้พวกเขาไร้วาสนา เกิดมาต่ำต้อยกันเล่า
“พี่สาว” จู่ ๆ เด็กชายมอมแมมผู้หนึ่งก็วิ่งมากระตุกชายกระโปรงของนาง
ฟู่ลี่อิ๋งขมวดคิ้วในใจนึกรังเกียจแต่เมื่อพิจารณาดูให้ถ้วนถี่เด็กชายที่เนื้อตัวมอมแมมผู้นี้ผอมบางยิ่งนัก เขาน่าสงสารมากกว่าน่ารังเกียจ
“มีเรื่องใด” ในใจอยากจะเดินต่อ แต่ก็อยากรู้เหตุผลที่หนุ่มน้อยผู้นี้กล้าใช้มือสกปรกนั่นจับกระโปรงผ้าไหมราคาแพงของนาง
“ข้าหิวเหลือเกินขอรับ” เด็กชายทำหน้าเศร้า แม้แต่เรี่ยวแรงจะพูดก็แทบจะไม่มี
“แล้วเหตุใดถึงไม่กินล่ะ แม่ของเจ้าไม่หาข้าวหาปลาให้กินหรือ ที่บ้านไม่มีคนรับใช้หรืออย่างไร” ฟู่ลี่อิ๋งพูดออกไปตามความคิดของนาง ตอนหลังถึงได้มาคิดได้ว่า ข้าวซักถ้วยยังหากินไม่ได้จะเอาปัญญาที่ไหนไปจ้างคนรับใช้
“ข้าน้อยเป็นเด็กกำพร้า ตอนนี้พลัดหลงกับครอบครัวขอรับ ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายวันแล้ว” เด็กน้อยยืนโซเซอ่อนแรง
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ใครเขาจะเชื่อเจ้า” ถึงจะอยากเชื่อแต่สภาพของเด็กน้อยผู้นี้เข้าขั้นยาจก เหตุการณ์น่าจะเป็นอย่างที่เขากล่าวจริง ๆ
ฟู่ลี่อิ๋งที่สุขสบายมาทั้งชีวิตไม่รู้ว่าอดข้าวจนอ่อนแรงเป็นความรู้สึกอย่งไร
“จริง ๆ นะขอรับ อย่างน้อยก็ขอให้ข้าได้กินข้าวสักมื้อ พอข้ามีแรงจะได้ออกตามหาครอบครัว” เขาทำหน้าจ๋อยเพราะรู้ว่าใครได้เห็นเขาในสภาพเช่นนี้ย่อมไม่เชื่อ ว่าเขาพลัดหลงกับครอบครัวจริง ๆ
เจ้าของใบหน้าสวยหวานกลอกตาไปมา หากเดินไปแค่อีกไม่กี่ตรอกก็ถึงศาลเจ้า นางบึนปากอย่างไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็ยอมจูงมือสกปรกของเด็กชายเดินเข้าไปในร้านอาหารที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว
เสี่ยวเอ้อ เห็นสตรีใบหน้างดงามเดินเข้ามาด้านในก็รีบกุลีกุจอเข้ามารับรองบริการ ถึงแม้จะรังเกียจเด็กชายที่เดินตามเข้ามาแค่ไหนก็ตาม ‘ไม่รู้ว่านางเป็นบุตรสาวบ้านไหนถึงได้งดงามเช่นนี้’
“คุณหนูเชิญทางนี้” เขาพาฟู่ลี่อิ๋งและเด็กชายมอมแมมเข้าไปมุมในสุดของร้าน เนื่องด้วยเพราะรังเกียจเด็กชาย
ฟู่ลี่อิ๋งเข้าใจเจตนาของเสี่ยวเอ้อดีจึงมิได้เอ่ยปากพูดสิ่งใด เพียงแค่เดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย นางสั่งอาหารง่าย ๆ สองสามอย่าง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอาหารสำหรับเด็กมีรสชาติไม่เผ็ด พร้อมกับขอผ้าชุบน้ำเพื่อนำมาสำหรับชำระล้างใบหน้าเด็กชาย
“พี่สาว ท่านไม่ทานหรือ” เด็กชายเห็นนางทำเพียงแค่จิบชาก็รู้สึกเกรงใจ เนื่องด้วยกังวลว่าตัวเองจะเป็นภาระ
“ข้าไม่อยากกิน ใครจะอยากกินข้าวกับเจ้ากัน เจ้าตัวเหม็นน้อย” อาหารที่อยู่บนโต๊ะล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่นางกินไม่ได้ เพราะส่งผลร้ายต่อสุขภาพของนาง แต่สำหรับเด็กล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดี จึงได้หาเหตุผลอ้างไปเรื่อย “ว่าแต่เจ้าเด็กน้อย เจ้าชื่ออะไร” นางเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อให้เด็กชายเลิกพะวงกับการไม่กินข้าวกับเขา
“ข้าน้อยแซ่เว่ย มีนามว่าเจี้ยนไค” เด็กชายเอ่ย
“งั้นหรือ” ฟู่ลี่อิ๋งตั้งใจฟังเด็กชายพูดเจื้อยแจ้ว
เมื่อพิจารณาให้ดีพบว่าเสื้อผ้าที่เด็กชายสวมใส่ เป็นผ้าไหมอย่างดีคุณภาพแทบไม่ต่างอะไรจากที่ท่านพ่อและพี่ชายของนางสวมใส่ มีแต่ตระกูลคหบดีเท่านั้น จึงจะมีแพรพรรณแบบนี้ หรือที่เขาบอกว่าพลัดหลงกับครอบครัวจะเป็นเรื่องจริง