บทที่ 8
“เอ้า...เอานี่มาให้”
ไรเล่ย์เดินกลับเข้ามาในเต็นท์อีกครั้ง มีเสื้อผ้าเก่าๆ ถือติดมือมาด้วย...ท่าทางเขาไม่ได้บอกความประสงค์ดีเลย ลิซ่าเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่เข้าใจ เมื่อเขาโยนผ้าเหล่านั้นลงบนเตียงข้างตัว
“ขอบใจ”
“ไม่ต้องมาขอบอกขอบใจอะไรผมหรอก” ไรเล่ย์คำรามออกมา “ที่นี่มันแค้มป์ทหาร เพราะฉะนั้นคุณจะเดินแก้ผ้าไปทางไหนไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ว่าคุณจะชินกับการทำแบบนั้นสักแค่ไหนก็ตามทีเถอะ อ้อ...แล้วคุณจะต้องอยู่แต่ในเต็นท์ด้วย จะออกไปข้างนอกนั่นไม่ได้เป็นอันขาด นอกเสียจากตอนที่ผมจะอยู่ด้วยเท่านั้น ซึ่งมันก็จะต้องเป็นเวลาเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นแล้วคุณจะออกไปไหนไม่ได้ เข้าใจไหม”
ลิซ่าจ้องหน้าเขาเขม็ง นี่เขามาออกคำสั่งเอากับเธอหรือ ว่าเธอจะต้องอยู่แต่ภายในเต็นท์นี่เท่านั้น หรือว่าเขาจะล้อเล่น แค่ตอนเช้าในนี้ก็ร้อนจะแย่อยู่แล้ว...ยิ่งถ้าถึงตอนกลางวันก็คงจะทนอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน เขาคงจะไม่พูดจริงละมั้ง...และอีกประการหนึ่ง นายไรเล่ย์ เบทส์ คนนี้เป็นใครกัน เธอไม่อยากเชื่อว่าเขาจะมีอำนาจสั่งการอะไรได้
“แล้วแซมล่ะ ไปไหนเสีย” เธอถามด้วยน้ำเสียงชาเย็น ถึงแม้เธอจะรู้สึกลำบากใจที่จะต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนั้นอีกสักครั้ง แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นคนที่มีจิตใจเมตตาเธอมาตลอด และเขาน่าจะมีอำนาจสั่งการมากกว่าผู้ชายกักขฬะคนนี้
“แซมกำลังยุ่ง” ไรเล่ย์แสดงความเกลียดชังเธอออกมาอย่างเปิดเผย “นับแต่นี้ต่อไปเขาจะไม่มีเวลาสำหรับคุณอีกแล้ว ยิ่งกว่านั้นคำสั่งทั้งหมดนั่นมันก็เป็นคำสั่งของเขา เขาไม่ใช่คนที่จะมาให้ผู้หญิงอย่างคุณเปลี่ยนแปลงคำสั่งเขาได้หรอก”
คราวนี้ลิซ่ามองหน้าเขาอย่างตกใจจริงๆ นวลแก้มแดงปลั่งขึ้น ทั้งจากคำพูดและน้ำเสียงมันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่าไรเล่ย์จะต้องรู้ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเธอกับแซมเมื่อคืนนี้
คุณพระช่วย...ถ้าเช่นนั้นป่านนี้ผู้ชายทั้งแค้มป์ก็คงจะรู้กันแล้วสินะว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ง่ายมากขนาดไหน
ลิซ่ารู้สึกร้อนผ่าวตั้งแต่ศีรษะลงไปจดปลายเท้า เมื่อมองเห็นภาพแซมที่กำลังเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ให้กับพวกทหารเหล่านั้นฟัง เมื่อเป็นเช่นนี้เธอก็ยินดีที่จะอยู่แต่ในเต็นท์มากกว่าที่จะออกไปไหนๆ แล้ว ต่อให้เอาม้ามาฉุดก็คงไม่ยอมไปแน่
“คุณเข้าใจไหม” ไรเล่ย์ถามเสียงกระชาก แต่สีหน้าบอกความพอใจอยู่
ลิซ่าได้แต่พยักหน้ารับ เมื่อเขาออกจากเต็นท์ไปแล้วเธอก็ซุกหน้าที่ร้อนผ่าวลงในฝ่ามือ อยากจะให้แผ่นดินแยกตัวออกและสูบร่างเธอลงไว้เสียเหลือเกิน
ช่วงเวลา 2 อาทิตย์ ที่เธอได้วางแผนไว้ว่าจะอยู่ในโรดิเซีย ได้ผ่านไปแล้วอย่างทุกข์ทรมานและอึดอัดใจอย่างที่สุดจนกระทั่งเมื่อถึงวันอังคารตามที่กำหนดการแล้ว เธอจะต้องเดินทางออกจากเมืองนี้ผ่านพ้นไป โดยที่ไม่ได้รับการยืนยันว่า...เมื่อไหร่ที่เธอจะได้รับอนุญาตให้กลับไปสู่ความศิวิไลซ์ได้นั่นเอง ที่ลิซ่าเพิ่งจะได้ตระหนักว่าแท้ที่จริงนั้นตัวเองตกอยู่ในฐานะของนักโทษ ความโกรธดูจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อไรเล่ย์มิได้แสดงความสนใจในตัวเธอเลย ราวกับเขาเป็นเพียงหินผาก้อนหนึ่ง
ลิซ่าพยายามเรียกร้อง ที่จะให้คนกลุ่มนี้ปล่อยตัวเธอไปเสีย หรืออย่างน้อยก็ขอให้เธอได้ส่งข่าวคราวกลับไปแจ้งให้ทางบ้านได้รู้บ้างว่า ขณะนี้เธอยังมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย ถ้าปู่ได้รู้ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับครอบครัวบลาสส์ ซึ่งเธอก็เชื่อว่าป่านนี้เขาคงจะรู้แล้ว ปู่จะต้องแน่ใจอย่างที่สุดว่าเธอต้องพลอยได้รับอันตรายไปด้วย และคงจะทุกข์โทมนัสยิ่งนัก... เพราะเท่าที่ลิซ่ารู้ปู่ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วเธอซึ่งเป็นหลานสาวคนเดียวของท่านไม่ได้ประสบชะตากรรมร่วมกับครอบครัวบลาสส์ด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความตกใจที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้ปู่ถึงกับเสียชีวิตลง ปู่แก่มากแล้วและลิซ่าก็เป็นหลานรักคนเดียวด้วย แต่ไม่ว่าเธอจะอธิบายให้ไรเล่ย์ฟังสักเท่าไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้แสดงความยินดียินร้ายออกมาเลย จนในที่สุดลิซ่าก็หมดปัญญาที่จะทำให้เขาเข้าใจในความรู้สึกของเธอ เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าเขาไม่คิดช่วยเหลือเธอแม้แต่น้อย และเขาก็เป็นเพียงมนุษย์คนเดียวที่จะทำให้เธอสามารถติดต่อกับผู้มีอำนาจในที่นี้ซึ่งหมายถึงแซมได้ แต่ลิซ่าก็เลิกล้มความพยายามจะพูดกับไรเล่ย์เสียแล้ว
ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ดูเหมือนสิ่งเดียวที่เธอจะได้รับจากพวกผู้ชายทั้งหลายก็คือการหยันเยาะ ดูถูก บางครั้งเมื่อเธอเดินออกจากเต็นท์โดยมีไรเล่ย์เดินตามไปด้วย สีหน้าของพวกผู้ชายยามที่เดินผ่านไปบอกให้รู้ว่า พวกเขารู้ถึงพฤติการณ์ของเธอที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้นอย่างถ่องแท้ และที่เธอเดินออกมา ก็เพื่อจะเชื้อเชิญให้พวกเขาได้มาร่วมสนุกด้วย ลิซ่าเพียงแต่คลายใจอยู่บ้างตรงที่ว่า ถึงแม้ผู้ชายเหล่านี้จะคิดไปในทางลามกเช่นนั้น แต่พวกเขาก็มิได้ลงมือกระทำเช่นที่คิด
ถ้าเธอจะเห็นแซมบ้าง...ก็มักจะเป็นในระยะไกลๆ เท่านั้น แต่เพียงแค่เห็นร่างสูงๆ ไหล่กว้างๆ นั่น มันก็เรียกเลือดร้อนๆ ให้ฉีดพล่านไปทั่วสรรพางค์กายแล้ว เธอใคร่ที่จะได้ทำอะไรสักอย่าง ให้เขาได้รับความเจ็บปวดให้สาแก่ใจบ้าง อยากเห็นภาพตัวเองที่ยกมือขึ้นตบหน้าเขาให้หงายไปมันคงจะสะใจดีพิลึกเลย
สิ่งหนึ่งที่ลิซ่าเดาถูกก็คือ ในเต็นท์นั้นร้อนมาก หยาดเหงื่อลามไหลอยู่ตามเนื้อตัวตลอดวัน และอารมณ์ก็ดูจะแรงร้อนตามไปด้วย เสื้อผ้าที่ไรเล่ย์เอามาให้ใส่นั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลย โดยเฉพาะการที่ต้องมาแต่งเครื่องแบบเยี่ยงทหารเช่นนี้มันยิ่งทรมานหนักขึ้นไปอีก แต่เธอก็ไม่กล้าพอที่จะถอดออกจากตัวแม้เสื้อผ้าที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับงานหนักนี้จะต้องตัดเย็บด้วยผ้าเนื้อหน้าหยาบก็ตาม ในที่สุดเธอก็แก้ปัญหา ด้วยการฉีกแขนและขาเสื้อกางเกงที่เป็นส่วนเกินออก ดังนั้นเธอจึงอยู่ในกางเกงขาสั้นที่ยาวคลุมแค่ต้นขา และเสื้อเชิ้ตที่ไม่มีแขน ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นชุดที่ออกจะประหลาดๆ อยู่ แต่มันก็ช่วยให้เนื้อตัวเย็นสบายขึ้นมาบ้าง
ไรเล่ย์นั้นโมโหแทบคลั่ง เมื่อเห็นว่าเธอทำอะไรลงไปกับเสื้อผ้า เขาแสดงความไม่พอใจออกมาเป็นคำพูดครั้งแรกปฏิเสธที่จะพาเธอออกไปข้างนอกเต็นท์ในสภาพเช่นนี้ และเขาก็จบคำตำหนิของตนลงด้วยการบอกว่า เขาจะไปรายงานให้แซมรู้ว่า เวลานี้เธอกำลังจะใช้สัญชาตญาณโสเภณีเก่ามาเล่นงานพวกทหารในแค้มป์นี้อีกแล้ว เมื่อมาถึงตรงนี้ ทำนบแห่งความอดกลั้นของลิซ่าก็พังทลายลงอย่างช่วยไม่ได้
“ไป๊...แกไปบอกเจ้าแซมนายของแกให้มันไปลงนรกเสียด้วย” เธอตะโกนเสียงลั่นพร่าด้วยความแค้นใจ “ฉันไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่า เขา หรือแก หรือไอ้พวกสัตว์ทั้งหลายที่มันรวมกันอยู่ที่นี่มันจะคิดยังไงในตัวฉัน...ฉันขอให้พวกแกพบแต่ความฉิบหายเสียด้วยซ้ำ”
และแล้วทำนบน้ำตาก็ระเบิดออกมาพร้อมกัน ไรเล่ย์ตาเหลือก จ้องหน้าเธอราวกับลิซ่ามีสองหัวก็ไม่ปาน
“ออกไป...ออกไปให้พ้นเดี๋ยวนี้นะ” เธอตวาดไล่สะอึกสะอื้นออกมาอย่างสุดจะอดกลั้น หลังจากที่ลังเลใจอยู่เป็นครู่ ไรเล่ย์จึงได้เดินออกจากเต็นท์นั้นไป
หยาดน้ำตาแห้งหายไปแล้ว ลิซ่ายกมือขึ้นเช็ดคราบที่เหลือค้างอยู่บนใบหน้าให้หมดไป คิดขึ้นมาได้ว่ามีเหตุผลอะไรที่เธอจะต้องร้องไห้ด้วย อย่างน้อยเวลานี้เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ แถมยังอยู่อย่างปลอดภัย ได้รับการดูแลอย่างดีบางทีอาจจะเป็นเพราะความอึดอัดใจ ความตึงเครียดนั่นกระมังที่ทำให้เธอระเบิดออกมาเช่นนี้ แต่อีกไม่นานมันก็คงจะหายไปได้ ถ้าเธอจะได้เดินออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์เสียบ้าง ได้อาบน้ำให้เย็นฉ่ำชื่นใจเสียบ้าง มันก็คงจะค่อยยังชั่วขึ้นมาทีเดียว เพราะตลอดเวลา 2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา เธอได้อาบน้ำเพียงแค่ครั้งเดียวและยังต้องอาบจากในถังเล็กๆ อีกด้วย ซึ่งมันไม่เป็นการเพียงพอเลย ขณะนี้ ลิซ่าอยากจะอาบน้ำสระผมให้เต็มอิ่มอย่างที่สุด
ขณะที่เธอเดินออกไปยังห้องส้วมของทุกคนในค่ายที่สร้างขึ้นไว้ไกลจากเต็นท์ที่พักพอประมาณนั้น เธอสังเกตเห็นลำธารเล็กๆ สายหนึ่ง ซึ่งอยู่เลยไปไม่ไกลนัก ลิซ่าตัดสินใจทันทีว่าเธอจะเดินไปอาบน้ำที่นั่น ซึ่งถึงแม้ว่าแซม ไรเล่ย์ หรือใครก็ตามจะไม่พอใจในการกระทำเช่นนั้น ก็...ช่างหัวปะไร
เธอเดินไปหยิบเศษสบู่ ผ้าเช็ดตัวเนื้อหยาบๆ ขึ้นมาถือไว้ จากนั้นก็เดินตรงไปที่เต็นท์ ลอบมองออกไปภายนอก ขณะนี้เพิ่งเข้าสู่ยามบ่าย ปกติแล้วจะเป็นเวลาที่แค้มป์แห่งนี้แทบจะปราศจากผู้คน ไรเล่ย์อาจจะอยู่ตรงไหนสักแห่งเธอรู้ เพียงแต่มองไม่เห็นเขาเท่านั้น นี่เป็นโอกาสอันดีที่เธอจะหลบออกไปโดยที่ไม่มีใครเห็นได้ และถ้าโชคช่วย ก็จะไม่มีใครรู้เลยว่าเธอขัดขืนคำสั่งของแซม จะอย่างไรก็ตาม ขอแต่เพียงให้ได้อาบน้ำก่อนเท่านั้น หลังจากนั้นแล้ว ถ้าเขาจะรู้เธอก็ไม่แคร์อีกต่อไป