บทย่อ
ลิซ่า คอลลินส์ หญิงสาวผู้มีความหลังอันขมขื่น กับชีวิตแต่งงาน เธอจึงสมัครใจไปเป็นผู้สื่อข่าวสงคราม ในโรดิเซีย ซึ่งต้องเผชิญชะตากรรมที่โหดร้ายจนแทบเอาชีวิตไม่รอด แซม อิสท์แมน ทหารรับจ้างฝ่ายรัฐบาล ซึ่งเป็นชาวอเมริกัน เช่นเดียวกัน ได้ช่วยชีวิตเธอไว้ เพราะความใกล้ชิดจึงทำให้ทั้งสองสนองตอบอารมณ์โหยหาของกันและกัน แต่ต่างก็ไม่แน่ใจว่า นั่นเป็นเพียงความใคร่ หรือจุดเริ่มต้นของความรักกันแน่?!?
บทที่ 1
ร่างเล็ก ๆ ของลิซ่า คอลลินส์ ขดกลมราวลูกบอล ใบหน้าซุกอยู่ในท่อนแขน จมูก ปาก อยู่ห่างจากพื้นดินไม่ถึงนิ้ว กลุ่มควันสีดำลอยม้วนอยู่รอบตัว ซอกซอนเข้าไปในจมูก จนไอออกมาด้วยอาการสำลัก ซึ่งเธอต้องพยายามที่จะไม่ส่งเสียงดังลอดออกมา ภาวนาต่อพระเจ้าอยู่ในใจ ขออย่าให้ใครได้ยินเสียงไอนั้นเลย เพราะถ้าพวกมันได้ยิน..แค่คิดเธอก็ตัวสั่นด้วยความสะพรึงกลัวแล้ว เพราะยังไม่รู้ว่าชะตากรรมที่จะได้รับต่อไปคืออะไร
แต่อย่างน้อยในเวลานี้ เสียงกรีดร้องก็ได้หายไปแล้ว เธอรู้ว่าความเงียบนั้นหมายถึงอะไร ซึ่งแม้จะละอายใจอยู่ แต่เธอก็ยังขอบคุณพระเจ้าที่มันเป็นเช่นนั้นเสียได้ ในตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองได้เป็นบ้าไปเสียแล้ว ขณะที่ได้ยินเสียงร้องร่ำอย่างทรมานของเอียน และแมรี่ บลาสส์ กับลูกอีก 3 ของสามีภรรยา ขณะที่ใกล้จะถึงจุดจบแห่งความตายในกองเพลิง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของพวกเขา ซึ่งถ้าตอนที่พวกทหารมาถึง เธอมิได้หลบออกมาอยู่ข้างนอก โดยไปแอบอยู่ในโรงที่ใช้เก็บเครื่องมือ เพื่อการทำไร่ของครอบครัวนี้ เธอก็คงจะต้องประสบเคราะห์กรรมเช่นเดียวกันกับพวกของเธอ
เมื่อคิดถึงความตาย ร่างกายของเธอก็สั่นสะท้านด้วยความสยดสยองขึ้นมาอีก แต่ขณะนี้เธอรู้ว่าจะยังหลบหนีออกไปไม่ได้อีกเช่นกัน ฆาตกรเหล่านั้นยังอยู่ที่นี่ อยู่ในบริเวณนี้ และกำลังใช้คบไฟโยนเข้ามาเผาทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่พวกสัตว์เลี้ยง เสียงหมู เสียงวัว คละเคล้าอยู่กับเสียงร้องของทุกคนในครอบครัวบลาสส์...
เธอรู้ว่าคนพวกนั้นคือพวกผู้ก่อการร้าย ส่วนจะเป็นจากฝ่ายไหนนั้นลิซ่าไม่แน่ใจ ที่จริงก่อนหน้าที่จะเดินทางมาที่นี่ เธอรู้ถึงสงครามกลางเมืองที่เกิดอยู่ในโรดิเซีย เพียงแต่ไม่คาดคิดว่า มันจะรุนแรงและเต็มไปด้วยอันตรายอย่างแท้จริง เช่นที่กำลังเผชิญอยู่ในนิยายยามนี้ ยิ่งกว่านั้น เธอก็ยังคิดว่าในฐานะของผู้สื่อข่าวอเมริกัน สิ่งนั้นย่อมสามารถจะปกป้องคุ้มครองเธอจากอันตรายทั้งหลายไว้ได้ แต่ปรากฏว่าเธอคิดผิดถนัด น่าจะเรียกว่าเป็นความโง่เขลาเสียด้วยซ้ำ
ขณะที่นอนนิ่งอยู่ในที่เดิม ลิซ่ามีความรู้สึกว่าควันไฟได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม เธอรู้ว่าเธอจำเป็นที่จะต้องเคลื่อนย้ายตัวเองออกไปให้พ้นจากที่นี่ วิ่งหนีไปเสียให้พ้นในขณะที่ยังพอมีกำลังจะทำเช่นนั้นได้ แต่ความคิดที่จะละทั้งที่หลบซ่อน วิ่งออกไปในที่โล่งแจ้งภายนอกกลับตรึงเธอไว้ราวเป็นอัมพาต เมื่อมาถึงนาทีนี้
ลิซ่าก็ได้ตระหนักในสิ่งหนึ่งว่า ตนเองนั้นยังไม่พร้อมที่จะตาย
อีกฟากหนึ่งของผนังบาง ๆ นั้น เธอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินกลับไปมาอยู่ใกล้ศีรษะ ลิซ่าแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นด้วยภาษาที่ตนเองไม่เข้าใจ และหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ระบายลมหายใจออกมาแรง ๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าทึบ ๆ ที่เดินอย่างเร่งรีบจากไป
แรงเต้นของหัวใจเริ่มเข้าสู่ระดับปกติ ตอนที่เธอได้ยินเสียงแตกเปรี๊ยะอันเป็นเสียงที่บ่งบอกลางร้าย เธอรีบเงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และเห็นทางด้านหลังของโรงเก็บเครื่องมือกำลังถูกเปลวไฟแลบเลียอยู่...ไฟกำลังไหม้...เธอบอกกับตัวเอง...ปลายลิ้นอันร้อนแรงของเปลวเพลิงกำลังแลบเลียขึ้นไปยังหลังคาแล้ว และบางแฉกก็กำลังเลียลามลงมาถึงฝาผนัง ซึ่งนั้นก็หมายความว่า เธอไม่สามารถจะซ่อนตัวอยู่ในที่นั้นได้อีกต่อไป จะต้องรีบหนีออกไปให้พ้นจากที่หลบซ่อนแห่งนี้ ความตระหนักแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์ เธอยอมรับว่าขณะนี้ตนเองกำลังตื่นกลัวต่อความตายอย่างที่สุด กลัวจนไม่อาจจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายได้...
แต่เธอต้องทำให้ได้ ความสะพรึงกลัวกลายเป็นแรงผลักดันให้เธอคลานไปยังประตู แม้จะอ่อนเปลี้ยเพลียแรงสักเท่าไรก็ตาม ลมหายใจเหมือนจะติดขัดอยู่แค่ลำคอเจ็บร้าวไปทั่ว หยาดน้ำตาพร่างลงมาตามร่องแก้ม เธอรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ตายอยู่ในบ้านไร่อันโดดเดี่ยวซึ่งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศโรดิเซียนี้ ทั้ง ๆ ที่เธอเพิ่งจะอายุได้แค่ 25 เท่านั้น โอ...พระเจ้า ทำไมชีวิตจะต้องมาพบกับความอยุติธรรมเช่นนี้ด้วยเล่า
ระยะทางแค่ 3 ฟุต กว่าจะไปถึงประตูนั้นเหมือน 3 ไมล์ ปวดแสบปวดร้อนในจมูกด้วยควันกลุ่มใหญ่ที่โหมเข้ามา กล้ามเนื้อบนแผ่นหลังตึงเครียดเมื่อจะต้องคืบคลานออกไปให้พ้นจากโรงเก็บเครื่องมือแห่งนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ที่รายรอบตัวอยู่ในเวลานี้ คือเศษไม้ติดไฟที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ลิซ่ารู้ว่า อีกเพียงครู่เดียวเท่านั้น หลังคาจะต้องยุบยวบลง และเธอจะต้องตายอยู่ในกองไฟนี้เอง สมองที่กำลังใกล้จะบ้าคลั่งกำลังถามตัวเองอยู่ว่า...ความตายนั้นจะเจ็บปวดหรือไม่หนอ...และก็ได้คำตอบในนาทีนั้น ว่ามันจะต้องเจ็บปวดอย่างแน่นอน และอดคิดไปถึงเสียงกรีดร้องของคนในครอบครัวลาสส์อีกได้...
เธอมิได้รู้สึกเจ็บเลย ตอนที่ทุกนิ้วจิกลงไปในดินดึงร่างตัวเองให้เคลื่อนไปข้างหน้า ถ้าเพียงแต่ออกพ้นประตูนี้ไป เธอก็จะรอดชีวิต อย่างน้อยก็ยังอีกสักระยะหนึ่ง แต่เมื่อออกมาถึงหน้าประตูเธอก็หยุดอยู่ ความตื่นกลัวกลับเข้ามาสู่ความคิดอีกครั้ง สิ่งใดก็ตามที่รอเธออยู่ภายนอกประตูนั้นมันสามารถจะสร้างความกลัวให้เกิดขึ้นได้พอๆ กับที่จะอยู่และพบกับความตายในโรงเก็บเครื่องมือนี้
“ข้าพเจ้าขอมอบชีวิตไว้ในอุ้งหัตถ์แห่งพระองค์” เธอเปล่งคำภาวนานั้นออกมาแผ่วเบา และในนาทีนั้นที่เธอเอื้อมมือไปผลักประตู ซึ่งมันก็เปิดออกมาอย่างง่ายดาย ลิซ่าสอดส่ายสายตาออกไปภายนอก อากาศเย็นชื่นของยามค่ำคืนผ่านเข้ามาตามรอยแง้มของประตู อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าอากาศที่อบอวลด้วยควันไฟภายในโรงนี้แน่..ในยามนี้ที่เธอมีความรู้สึกว่า อากาศบริสุทธิ์นั้นช่างเป็นของวิเศษเสียเหลือเกิน เธอประทับมันเข้าไว้ในจิตสำนึก ขณะที่สอดส่ายสายตาต่อไป
แม้จะเป็นยามกลางคืน แต่มันก็มิได้มืดเสียทีเดียว แสงจากเปลวเพลิงที่โหมอยู่ ทั้งตัวบ้าน โรงนา และอาคารหลังต่างๆ ที่สร้างขึ้นไว้ สาดสว่างออกไปจนถึงลานด้านหน้าราวกับกลางวัน และ ณ ที่นั้น ลิซ่าก็ได้เห็นผู้ชายที่อยู่ในชุดฟอร์มสีกากีหลายต่อหลายคน บางคนก็กำลังยืนมองดูความพินาศอันเกิดขึ้นจากน้ำมือของตนด้วยความพอใจ บางคนก็วิ่งไปตามสนามโดยมีคบเพลิงถืออยู่ในมือ และบางคนกำลังขนข้าวของ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสมบัติบ้านไร่แห่งนี้ขึ้นใส่รถบรรทุกเล็กซึ่งจอดอยู่หลายคัน ดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดให้ความสนใจกับบ้านหลังใหญ่ที่กำลังลุกไหม้อยู่ในขณะนี้เลย ลิซ่าสูดลมหายใจลึกบอกกับตัวเองว่า ถึงอย่างไรเธอก็ยังพอมีโอกาสอยู่...แม้ว่ามันจะเป็นโอกาสอันเหลือน้อยก็ตาม
ในสภาพที่นอนคว่ำอยู่กับพื้นดิน เธอเคลื่อนกายออกพ้นจากประตูอย่างรวดเร็ว หมายตาหมู่ไม้ที่อยู่เลยลานหน้าบ้านออกไป ถ้าเธอสามารถที่จะไปให้ถึงแนวป่านั้น ก็หมายความว่าเธอมีโอกาสที่จะซ่อนตัวอยู่ได้ และอาจจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วย เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ กำลังใจก็เกิดขึ้นอย่างมากมาย ลิซ่าคืบคลานไปตามพื้นดินรวดเร็วกว่าที่คิดว่าตัวเองจะทำได้ ไม่กล้าพอที่จะเหลือบแลมองไปทางไหน นอกจากจะมุ่งตรงไปข้างหน้าแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทั้งก้อนหินและกิ่งไม้ รวมทั้งหนามแหลมเกี่ยวเสื้อผ้าเนื้อตัวจนขาดวิ่น แต่ลิซ่าไม่ได้คำนึงถึงความเจ็บปวดทางร่างกายแต่อย่างใด แทบจะไม่รู้สึกเสียด้วยซ้ำ ขณะนี้ความตั้งใจทั้งหมดอยู่ตรงที่ว่า เธอจะต้องไปให้ถึงสถานที่ที่จะสามารถหลบซ่อนอยู่ได้โดยปลอดภัยเท่านั้น
เหลือระยะเวลาอีกไม่ถึง 5 หลา เธอก็จะเข้าเขตที่หมู่ไม้ขึ้นอยู่แน่นทึบนั่นแล้ว แต่ทันใดมือข้างหนึ่งก็สัมผัสกับอะไรบางอย่างเข้า...มันเป็นร่างคน...ที่เนื้อตัวเย็นเฉียบ ลิซ่าเหลือบแลมองไปทางนั้น และแล้วก็ต้องตะลึงตัวแข็งไป ร่างนั้นเป็นร่างของผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เธอรู้จักว่าเขาชื่อซอลลี่ เอียน, บลาสส์เป็นคนส่งเขาให้ไปรับเธอที่สนามบินเล็กๆ ประจำท้องถิ่น และเขาเป็นคนขับรถพาเธอมายังบ้านไร่แห่งนี้ ซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินเพียง 16 ไมล์เท่านั้น และเขาก็พูดคุยกับเธอมาตลอดทาง มันเพิ่งจะเมื่อวานซืนนี้เองไม่ใช่หรือ
ช่างไม่น่าเชื่อเลย ถ้าจะคิดว่า เพียงข้ามวันเดียว เขาก็ตายเสียแล้ว เขาถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมทารุณที่สุด เลือดที่พรูพรั่งออกมาจากร่างกายของเขา ถูกแผ่นดินอาฟริกาซึมซับไปแล้วทุกหยาดหยด เหลือไว้แต่เพียงซากศพสีน้ำตาลที่นอนอยู่ในพงหญ้า...ตรงลำคอนั้นถูกเชือดจนแทบจะขาดออกจากกัน ดวงตาที่เบิกโพลงอยู่ เหมือนจะจ้องดูและยิ้มให้กับสรวงสวรรค์ ลิซ่ารู้สึกคลื่นเหียนขึ้นมาทันที เธออาเจียนออกมาจนไม่มีอะไรเหลืออยู่ในท้องอีกต่อไป และแล้วก็พยายามใช้พละกำลังสุดท้ายที่ยังพอเหลืออยู่ดึงร่างให้ลุกขึ้น วิ่งเข้าไปยังหมู่ไม้เบื้องหน้าราวคนตาบอด
อาจจะเป็นปาฏิหาริย์กระมังที่เธอทำได้สำเร็จ แต่แม้กระนั้นเธอก็ยังไม่ยอมหยุดวิ่ง และมิได้ลดความเร็วลงเลยเธอรู้ว่าตัวเองจะหยุดวิ่งไม่ได้เป็นอันขาด ความตกใจกลัวกำลังไล่ตามมาติดๆ ไม่สนใจกับหนามไหนที่เกี่ยวเนื้อตัวอยู่ต่อไป ถึงสองครั้งที่เธอถึงกับหน้าคะมำลงกับพื้นดิน แต่สิ่งเดียวที่ถูกกำหนดขึ้นไว้ในใจก็คือ เธอจะต้องหนีไปให้พ้นจากที่นี่..จะต้องหนีไปให้ไกลที่สุด จะต้อง...
“คุณพระช่วย...นี่มันอะไรกัน”
เสียงอุทานกราดเกรี้ยวนั้น ทำให้เธอต้องหันขวับไปมอง พวกทหาร...พวกมันยืนกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ ยืนอยู่ไม่ห่างจากเธอเท่าไรนัก ความมืดภายในราวป่า และความตื่นกลัวอย่างสุดชีวิต ทำให้เธอมองไม่เห็นคนพวกนี้มาก่อนจนกระทั่งเมื่อเข้ามาเกือบจะถึงตัวอยู่แล้ว โอ...คุณพระคุณเจ้า...ขอให้เธอได้หนีไปให้ไกลกว่านี้ก่อน..อย่าให้ต้องได้พบเห็นกับความทารุณโหดร้ายเช่นที่เพิ่งผ่านพบมานั่นอีกเลย...