บท
ตั้งค่า

บทที่ 6

สำหรับคนที่มีสติปัญญาและความคิด ย่อมจะต้องคำนึงถึงความสำคัญของงาน...มากกว่าจะมาให้ความสนใจกับผู้หญิงเพียงคนเดียวเช่นนี้ แต่เขาก็รู้อยู่ว่า ตัวเองแม้จะเป็นคนมีสติปัญญาอยู่บ้าง แต่ก็ยังใจแข็งไม่พอ ความสำคัญประการหนึ่งของงานนี้อยู่ตรงที่ว่า เขาต้องการเงิน..เงินค่าจ้างหนึ่งแสนเหรียญนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะหาได้ง่ายๆ มันสามารถจะทำให้เขากับเจย์สร้างชีวิตใหม่ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ สามารถจะทำให้เขาซื้อไร่สักแห่งหนึ่ง และลงทุนในการซื้อปศุสัตว์มาเลี้ยง นั่นคือหลักฐานที่เขาต้องการจะสร้างไว้สำหรับอนาคตของตนเอง

เพราะฉะนั้น เขาย่อมจะไม่ยอมเอาโอกาสที่แสนดีของตัวเองกับลูกชายคนเดียวมาเสี่ยงกับผู้หญิงผม

บลอนด์คนหนึ่ง ที่กำลังใช้ความพยายามพาตัวเข้ามาเกลือกกลั้วอยู่กับเขาอย่างแน่นอน

สิ่งที่เขาได้ทำลงไปเพื่อเธอนั้น มันมากเกินกว่าที่ใครๆ จะคาดคิดอยู่แล้ว ด้วยการพาเธอมาที่แค้มป์แห่งนี้ ทั้งๆ ที่สัญชาตญาณดิบได้เร่งเร้าให้เขาทิ้งเธอนอนหมดสติอยู่เช่นนั้น แต่อาจจะเป็นเพราะสัญชาตญาณแห่งความมีคุณธรรมมีอำนาจเหนือกว่า เขาจึงอุ้มร่างเธอขึ้น ท่ามกลางสายตาที่บอกความงุนงงของผู้ร่วมงานทั้งหลาย และเอามาใส่ลงในจี๊ป และก็เช่นเดียวกับความผิดพลาดทั้งหลายในโลก มันกำลังจะนำความพินาศมาสู่เช่นที่เห็นๆ กันอยู่

นับแต่นาทีที่เขาแบกร่างเธอเข้าไปในเต็นท์ และเอาไฟฉายส่องดู เขาก็รู้ว่าตัวเองกำลังประสบปัญหาเสียแล้ว ถึงแม้ร่างกายของเธอจะเต็มไปด้วยบาดแผล มีรอยฟกช้ำดำเขียวอยู่ทั่วทั้งตัว แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่อาจปิดบังความงามที่เธอมีอยู่ได้และยิ่งเมื่อเขาถอดเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นออกจากร่างเขาก็รู้สึกถึงสัญชาตญาณแห่งเพศผู้ที่ถูกปลุกเร้าขึ้นด้วยความปรารถนาอันลึกลับ เขาพยายามสะกดกลั้นและพยายามลืมเสียว่า ตนเองนั้นมีความอ่อนไหวสำหรับผู้หญิงผมสีบลอนด์อย่างที่สุด

เขาต้องเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า ขณะนี้เธอกำลังอยู่ในสภาพที่ได้รับบาดเจ็บ และไม่มีทางที่จะช่วยเหลือตัวเองได้เลย และการที่เขาช่วยเธอมาในครั้งนี้ มันหมายถึงการที่เขาจะต้องรับผิดชอบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเธอ ดังนั้นเขาจึงตั้งหน้าตั้งตาในการช่วยรักษาบาดแผลให้ ให้เหตุผลกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า มันจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ ขึ้นกับผู้ร่วมงานถ้าเขาจะเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้อยู่ใกล้ชิดเธอ

และเขาก็ยังทำใจให้เชื่อด้วยว่า เขาสามารถจะควบคุม สามารถจะยับยั้งความปรารถนาอันหลากหลายของตนเองไว้ได้อย่างเต็มที่ แต่ตอนนั้นเขายังไม่เคยรู้ว่า แม่มดน้อยๆ ตัวนี้จะลวงล่อให้เขาเข้าไปหาถึงเตียงนอนได้ ด้วยการสร้างเรื่องฝันร้ายขึ้น... และก็ลวงล่อเขาด้วยธาตุแท้ที่เปี่ยมแห่งความแรงร้อน อย่างที่ไม่มีผู้ชายคนไหนจะทนได้แต่จะอย่างไรก็ตาม พายุแห่งความใคร่ที่เธอช่วยพัดให้กระพือโหมขึ้น มันก็ยังสร้างความพอใจให้เกิดขึ้นกับเขาไม่น้อย มันทำให้เขาลุ่มหลงไปชั่วคราว และยอมที่จะรับในสิ่งที่เธออ้อนวอนหยิบยื่นให้เขาและคุณพระช่วย...มันก็ช่างแสนวิเศษอย่างที่เขาคิดไม่ถึงเสียด้วย ดีกว่าการนอนกับผู้หญิงคนไหนๆ ในรอบหลายปีที่ผ่านมาเสียด้วยซ้ำ

เพียงแค่ความคิดคำนึงถึงเรือนร่างอันอ่อนนุ่มเนียนละไมราวผ้าไหมเนื้อดีที่บิดเป็นเกลียวอยู่ใต้ร่างเขา มันก็ทำให้แซมใจคอหวั่นไหว ริมฝีปากแห้งเกราะขึ้นมาอีก เขาบอกตัวเองอย่างกราดเกรี้ยวว่า จะต้องไม่คิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไปเป็นอันขาด เขาจะต้องปัดความคิดเกี่ยวกับเรือนร่างที่ยั่วราคะนั้นให้พ้นออกไปเสียจากมโนภาพ

แซมบอกตัวเองอย่างมาดมั่นว่า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เขาจะต้องอยู่ให้ห่างเธอที่สุด งานที่เขาได้รับมอบหมายให้มาทำนั้น เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 3 สัปดาห์มันก็จะเสร็จแล้วและหลังจากนั้น เขาก็จะกลับไปอเมริกาอีกครั้งด้วยเงินในมือที่มากพอที่จะซื้อผู้หญิงทั้งโลกก็ยังได้

สิ่งที่สำคัญสำหรับเขาอย่างที่สุดในเวลานี้คืองาน...ไม่ใช่ผู้หญิง แซมพยายามเตือนตัวเองไว้ และงานนั่นเองที่หน่วยคอมมานโดจะต้องทำให้เต็มความสามารถ เขากับเพื่อนอีก 14 คน ได้ร่วมเป็นร่วมตายกันมาเป็นเวลากว่า 3 เดือนแล้ว และยังอีก 3 เดือนที่หมดไปกับการฝึกทุกคนให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา กลุ่มของเขาคือกลุ่มทหารรับจ้างที่ทำงานเพื่อเงินเท่านั้น ดังนั้น ทุกคนจะต้องใช้ความสามารถกันอย่างเต็มที่ทั้งนี้เพราะชีวิตของแต่ละคนขึ้นอยู่กับสติปัญญาความชำนาญในการใช้อาวุธและอื่นๆ และการรวมกันเท่านั้นที่จะทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้

ในฐานะที่เป็นหัวหน้า แซมได้รับค่าจ้างที่แพงที่สุด และได้รับเงินล่วงหน้ามาแล้วครึ่งหนึ่ง คือ 5 หมื่นเหรียญ ซึ่งเวลานี้เขาได้ฝากไว้กับธนาคารในอเมริกา ส่วนอีกครึ่งนั้นจะได้รับเมื่องานสำเร็จลง ซึ่งก็ยังจะต้องรวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่งที่จะต้องคิดกันต่อไปด้วย

สำหรับผู้ร่วมงานนั้นจะได้รับค่าจ้างน้อยกว่าเขามากซึ่งอัตราค่าจ้างก็จะมีตั้งแต่ 1 ถึง 5 หมื่นเหรียญ ตามแต่แซมจะพิจารณาว่า แต่ละคนจะมีความสามารถมากน้อยแค่ไหน และควรจะได้รับค่าจ้างเป็นเงินสักเท่าไร ซึ่งเวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็กำลังดำเนินไปด้วยดี ทุกคนกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองโดยที่ไม่พยายามก่อให้เกิดความสนใจขึ้นกับผู้ใดเลย ขณะนี้ได้มีการตั้งกองบัญชาการกันขึ้นแล้ว และทำงานของตนอย่างช้าๆ ค่อยๆ ขยายอิทธิพลออกไปเรื่อยๆ หลังจากนี้อีกไม่นาน เขาก็จะสามารถครอบคลุมพื้นที่ได้ทั้งหมดสิ่งเดียวที่เข้ามาสะดุดความราบรื่นนั้นก็คือ ผู้หญิงคนนี้นั่นเอง

ที่จริงแล้ว การสังหารชีวิตคนมิใช่สิ่งแซมปรารถนาจะทำเลย แต่ในบางครั้ง เมื่ออัตราค่าจ้างสูงอย่างน่าพอใจและเขาตกอยู่ในความจำเป็น แซมก็ยอมทำอยู่บ้าง และไม่เคยยอมให้ตัวเองคิดเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปเลย ขณะนี้มีกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ที่คอยให้การสนับสนุนเขาอยู่ยินดีที่จะจ่ายให้เขาอย่างเต็มที่ ขอแต่เพียงให้ได้ตัว โทมัส คีโม หนึ่งในจำนวนหัวหน้าผู้ก่อการร้ายโรดิเซียมาเท่านั้น และถ้าสามารถสังหารคนคนนี้ได้ โดยตัดคอมาให้ดูประจักษ์พยาน ก็ยิ่งจะทำให้เขาได้ค่าจ้างสูงขึ้น ส่วนเหตุผลสำหรับการนี้เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องมีการอธิบาย

แต่ไม่ว่าจุดประสงค์จะเป็นประการใด แซมก็ไม่แคร์อยู่แล้ว เพราะความขัดแย้งทางด้านการเมือง มันก็มีทางออกอยู่ทางเดียวคือความตาย และผู้ที่จะทำให้ความตายนั้นเกิดขึ้นได้ก็จะมีแต่ทหารรับจ้างเช่นพวกของเขาเท่านั้น

“แซม” แฟรงค์ ลีดส์ ผู้มีตำแหน่งเป็นที่ 2 รองจากเขา และเป็นเพื่อนสนิทที่สุด นับแต่เป็นทหารรับจ้างในสงครามเวียดนามด้วยกันมา เดินเข้ามาทางซ้ายมือ โดยที่เขาไม่ทันได้ยินเสียงอะไรเลย ห่ะ...หรือว่าเขาจะแก่เกินไปเสียแล้ว...แก่เกินกว่าที่จะเล่นกับเกมส์นี้ต่อไปได้อีกนาน เขาเพิ่งจะอายุครบ 39 เมื่อเดินที่ผ่านมานี้เอง และเริ่มที่จะรู้สึกว่า...

“เป็นอะไรไปหรือเปล่าล่ะ” แฟรงค์ถามอย่างระมัดระวังในคำพูดอยู่

แซมทำเสียงตอบอยู่ในลำคอ จับสายตาอยู่กับใบหน้าของเพื่อน ในท่ามกลางแสงสลัวรางที่พอจะเห็นหน้ากันได้ และสังเกตเห็นว่า ท่าทางของแฟรงค์ดูจะผิดปกติไป เขาคงจะไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนั้นหรอกน่า...หรือว่าจะรู้ห่ะ...เขาก็ได้แต่หวังว่าเพื่อนจะไม่รู้เท่านั้น

“แล้วแกจะทำยังไงกับผู้หญิงคนนั้นต่อไปล่ะ”

แซมบิดมุมปาก...ในที่สุดแฟรงค์ก็รู้เข้าจนได้ เขาตวัดสายตามองหน้าเพื่อนแวบหนึ่ง ก่อนที่จะออกเดินกลับไปยังที่ตั้งของแคมป์

“แกใช้อะไรจับล่ะ เรดาร์งั้นรึ” เขาอัดบุหรี่ลึก

“ไม่จำเป็นหรอกวะ” แฟรงค์ทำเสียงหมั่นไส้ “ฉันได้ยินเสียงแม่นั่นร้องครวญครางดังไปทั่วแคมป์ ฉันจะบอกให้นะแกน่าจะเชือดคอแม่นั่นตั้งแต่แรกแล้ว แต่ฉันก็รู้ว่าคนอย่างแกฆ่าผู้หญิงสวยๆ อย่างนั้นไม่ลงหรอก”

“อืมม์...” แซมนึกไปถึงเสียงร้องร่ำของลิซ่าที่บ่งบอกความปราโมทย์อันสุดแสนในตอนจบนั้นได้ เสียงนั้นในตอนแรกก็แทบจะส่งร่างเขาให้ลอยขึ้นไปสู่ดวงจันทร์ แต่เมื่อมาหวนคิดได้ในตอนนี้ ก็รู้สึกว่าคงจะต้องดังมากพอดู ซึ่งทำให้เลือดร้อนๆ แล่นขึ้นสู่ใบหน้าทันที ห่ะ...นี่เขาอายจนหน้าแดงเทียวหรือนี่..ทำยังกับเด็กหนุ่มๆ ที่เพิ่งขึ้นครูมาก็ไม่ปาน โชคดีที่ขณะนี้มีแต่ความมืด ถ้าแฟรงค์ได้เห็นหน้าตาที่มันแดงซ่านขึ้นมาอย่างนี้คงจะต้องอับอายกันไปชั่วชีวิตทีเดียว

“เอาละ ฉันถึงได้ถามแกยังไงล่ะว่า จะทำยังไงกับแม่นั่นต่อไป” แฟรงค์ถามซ้ำ

“ก็แล้วจะให้ฉันทำอะไรได้ล่ะ” สีหน้าของแซมบึ้งตึงขึ้นมาอีก “ตอนนี้ฉันยังไม่คิดจะทำอะไรหรอก”

“แกหมายความว่ายังไง ที่ว่าไม่คิดจะทำอะไรน่ะ” แฟรงค์ระเบิดออกมา หลังจากที่เงียบไปด้วยความนึกไม่ถึงเป็นครู่ “แกจะอยู่เฉยๆ อย่างนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวเรื่องมันได้ยุ่งกันใหญ่หรอก”

“ไหน แกลองว่ามาสิว่าฉันควรจะทำยังไงดี” แซมรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนักเมื่อต้องพูดกันถึงเรื่องนี้ อยากจะเตะตัวเองเหลือเกิน ที่พาผู้หญิงคนนี้เข้ามาอยู่ในแคมป์ด้วย และยังมีเรื่องที่มันเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่ถึงชั่วโมงนี้อีกเล่า

“เราจำเป็นต้องกำจัดแม่นั่นนะ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ถ้าแกกลัว...มา...ฉันจะจัดการเอง”

“อย่านะ” แซมตวาดเสียงกร้าว “ห่ะ...ฉันเองก็กำลังกลุ้มใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ที่จริงเขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นความผิดจนถึงกับจะต้องฆ่าแกงเขาหรอกน่า และถ้าเราปล่อยเขาไป เราก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาจะเก็บเรื่องของเราไว้เป็นความลับได้ เพราะฉะนั้นฉันคิดว่าทางที่ดีที่สุดก็คือ ให้เขาอยู่ที่นี่ต่อไป” เขาเน้นเสียงตรงประโยคสุดท้ายนั้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel