บท
ตั้งค่า

บทที่ 5

และในท่ามกลางราตรีนั้นที่เธอได้ฝันไปอีก เป็นความฝันที่เต็มไปด้วยสีสันสวยงามเหมือนชีวิตจริง ในตอนแรกมันเป็นความฝันถึงชีวิตในวัยเยาว์ที่น่ารื่นรมย์ แต่แล้วมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเป็นฝันร้าย ในที่สุด เธอก็ฝันถึงอสุรกายตัวใหญ่น่าเกลียดน่ากลัวที่วิ่งไล่ติดตามเธอมา เธอรู้ว่าถ้ามันจับตัวได้มันจะต้องฆ่าและกินเป็นอาหาร ทันใดมันก็พ่นเปลวไฟออกมาจากปาก เปลวอันแรงร้อนนั้นพุ่งเข้ามาจนถึงตัว และกำลังเผาไหม้เธออยู่

ลิซ่ากรีดร้องขึ้นมาสุดเสียง และเสียงร้องนั้นเองที่ปลุกให้เธอตื่นขึ้นจากฝันร้าย ร่างกายสั่นสะท้านอยู่ใต้ผ้าห่ม นึกไม่ออกว่าขณะนี้ตัวเองกำลังอยู่ที่ใด และแล้วก็มีแสงสว่างผ่านเข้ามาเมื่อประตูเต็นท์ถูกตวัดให้เปิดออก พร้อมกับเงาดำๆ ของใครคนหนึ่งที่ก้าวเข้ามา ลิซ่าหลับตาแน่นไม่กล้าพอที่จะลืมขึ้นดูว่าเป็นใคร เชื่อว่าตนเองยังคงตกอยู่ในฝันร้ายนั้น

“ลิซ่า” เสียงเรียกเบาๆ นั้นคุ้นหูยิ่งนัก เมื่อลิซ่าลืมตาขึ้นก็เห็นเขากำลังโน้มกายอยู่เหนือร่าง

“แซมหรือคะ” ทันทีที่จำได้ว่าเป็นใครเธอก็เอื้อมมือออกไปหาเขา มีความรู้สึกว่าตัวเองจะปลอดภัยได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในวงแขนของเขาเท่านั้น เขาโน้มกายลงมาหา และฝ่ามือของเธอก็สัมผัสกับช่วงไหล่ที่เปล่าเปลือย เธอโอบคอเขาไว้ รั้งร่างให้ลงมาหาด้วยกำลังที่ไม่คิดว่าตัวเองจะมีอยู่

“กอดฉันหน่อยเถอะค่ะ แซม” เธอกระซิบบอกเสียงสั่น

“เป็นอะไรไปหรือ” น่าแปลกนักที่น้ำเสียงนั้นช่างนำความอบอุ่นใจมาให้อย่างเหลือประมาณ ทั้งที่เธอเพิ่งรู้จักเขาได้ไม่นาน คล้ายกับเธอกำลังได้พบเพื่อนที่สนิทที่สุดคนหนึ่ง เพื่อนคนเดียวที่เธอรู้จักและสามารถจะไว้วางได้ เพื่อนที่พร้อมจะให้ความคุ้มครองป้องกันและช่วยให้เธอปลอดภัย

“โอ...แซมคะ...มันน่ากลัวเหลือเกิน” เธอกระซิบบอกอยู่กับซอกคอเขา อ้อมแขนรึงรัดร่างเขาไว้ราวจะไม่ยอมให้จากไปไหนอีก เขาทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง ปัดผ้าห่มออกให้พ้นจากตัว และประคองกอดเธอไว้แนบเรือนกาย

“ไหน...ลงเล่าให้ผมฟังหน่อยสิ” เขาลูบไล้ฝ่ามืออยู่กับเรือนผมด้วยท่าทางปลอบโยน และลิซ่าก็เล่าความฝันให้เขาฟัง ขณะที่เขากกกอดเธอไว้ ลูบไล้ศีรษะ หลังไหล่ไปพร้อมกัน เมื่อเล่ามาถึงตอนที่เปลวไฟจากปลายลิ้นของสัตว์ร้ายที่กำลังจะเผาผลาญ เนื้อตัวก็สั่นเทาขึ้นมาอีก และเขาก็กอดไว้แน่นเหมือนจะปลอบให้คลายใจลง

ลิซ่าซุกใบหน้าอยู่กับซอกคอนั้น เมื่อเล่าเรื่องจบลงและแซมก็มิได้พูดอะไรออกมาเลย ได้แต่ลูบไล้เรือนกายเธออยู่อย่างอ่อนโยน

หลังจากที่เวลาผ่านไปเป็นครู่ ลิซ่าจึงเริ่มมีความรู้สึกว่า ไรขนตรงแผงอกสัมผัสอยู่กับปลายจมูก เธอขยับตัวเหมือนจะถอยออกห่าง แต่ความรัญจวนใจนั้นมิได้คลายลงเลย และเธอก็กระทำไปตามสัญชาตญาณโดยไม่ทันคิดปลายลิ้นเลียไล้ไปตามช่วงลำคอของเขา ได้ยินเสียงหัวใจที่ระทึกอยู่ในหู เสียงนั้นสร้างความรู้สึกตื่นเต้นให้เกิดขึ้นและลิซ่าก็จรดปลายจมูกลงตรงซอกคอ มีความรู้สึกว่าร่างกายของเขาตึงเครียดขึ้นมาทันที

“ลิซ่า” น้ำเสียงที่เรียกชื่อเธอในครั้งนี้คล้ายจะเป็นการเตือน เธอจูบลงตรงช่วงลำคออีกครั้ง ความรัญจวนใจที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้เธอไม่ยอมคิดถึงสิ่งอื่นใด นอกเสียจากความต้องการของตัวเองในยามนี้เท่านั้น

“รักฉันสิคะ” เธอกระซิบอยู่กับซอกคอของเขา “ได้โปรดเถอะค่ะ แซม รักฉันเถอะ”

เธอได้ยินเสียงเขาสูดลมหายใจลึก และระบายออกมาอย่างพอใจ คล้ายกับเขากำลังบอกเธออยู่ว่า เขาเองก็มีความต้องการในตัวเธอเช่นกัน

“ลิซ่า...” ดูเหมือนเขาจะพูดอะไรไม่ออกเอาจริงๆ ดังนั้น ลิซ่าจึงกระทำไปตามที่สิ่งที่สัญชาตญาณสั่งให้กระทำในท่ามกลางความมืดที่มืดสนิทนั้น เธอสัมผัสร่างกายของเขามือหนึ่งลูบไล้อยู่กับแผงอกที่มีขนอ่อนๆ ปกคลุมอยู่เลื่อนลงไปเรื่อยๆ จนถึงขอบกางเกง หยุดอยู่ตรงนั้นเหมือนจะลังเล และแล้วก็สอดมือลึกลงไปจนสัมผัสความเป็นชายชาตรีของเขาอย่างเต็มที่

เธอได้ยินเสียงเขาครางออกมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะผลักร่างเธอให้เอนราบลงบนเตียง พร้อมกับร่างของเขาที่เอนทาบลงมา ลมหายใจแรงร้อนเป่ารดใบหน้าอยู่ ริมฝีปากหนาๆ คู่นั้นประทับลงอย่างเหี้ยมโหดและหักหาญ และลิซ่าก็เผยอริมฝีปากขึ้นสนองรับต่อจุมพิตนั้นอย่างเต็มอกเต็มใจที่สุด ในยามนี้เธอต้องการความรักความใคร่จากเขามากกว่าสิ่งอื่นใดในโลกลึกลงไปในใจเธอรู้ว่าที่จริงแล้ว นี่คือสิ่งที่เธอต้องการมาโดยตลอด สิ่งที่เธอไม่เคยได้พานพบมาเป็นเวลานานปี ความรักและความใคร่อันรุนแรง ปราศจากความเมตตาปรานีจากผู้ชายที่มีความเป็นผู้ชายจริงๆ สักคนหนึ่ง

ลิซ่าครวญคร่ำ เมื่อเขาปลดกระดุมเสื้อออก เผยให้เห็นเนินทรวงอันเต่งตึง ท่าทางเขาเร่งร้อนยิ่งขึ้นกว่าเดิมเมื่อปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากเรือนกายของตัวเอง เธอไล้ริมฝีปากไปทั่วเนื้อตัวเขาอย่างหิวกระหาย ซึ่งเท่ากับโหมพัดเปลวเพลิงให้ลุกโชนขึ้น

ลิซ่าอุทานออกมาด้วยความปราโมทย์ยามที่เขาได้ล่วงล้ำเข้าสู่ร่างกายของเธอ มีความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตายลงในท่ามกลางเปลวพิศวาสนี้ เสียงคำรามเบาๆ ในลำคอของเขาทำให้อารมณ์ร้อนระอุหนักขึ้น

ในยามนี้เธอไม่อาจใช้สมองคิดอะไรได้เลย นอกเสียจากความหฤหรรษ์ที่ตนเองกำลังได้รับอยู่ เมื่อความรุนแรงได้เพิ่มทวีขึ้นจนถึงขั้นดาลเดือด ความปราโมทย์ที่ถูกกักเก็บมานานปีก็จะระเบิดออก เธอเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความปรีดาอย่างหาที่เปรียบมิได้ แซมสนองตอบต่อเสียงร้องนั้นด้วยพละกำลังมหาศาล...และในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็จบสิ้นลง

ลิซ่ามีความรู้สึกเหมือนตัวเองได้ล่องลอยไป ขณะที่ร่างกายของเขายังซ่อนซุกอยู่ในเรือนกายของเธอ เนื้อตัวหนักๆ ที่ทาบทับโชกชุ่มด้วยหยาดเหงื่อ และแล้ว...ก่อนที่จะเผลอหลับไปอีกครั้ง ลิซ่าคิดว่าได้ยินเสียงเขาสบถออกมา แม้มันจะไม่ดังนัก แต่ก็ชัดเจนอยู่ในหู…

แซมกำลังโกรธตัวเองอย่างหนัก เขาเดินออกจากเต็นท์หลังนั้น โดยไม่พักที่จะหันหลังกลับไปมองอีกเลย ตบแมลงที่มากัดกินเลือดเนื้อจากร่างกายที่ยังชุ่มเหงื่ออย่างกราดเกรี้ยว จนกระทั่งเมื่อเดินออกมาห่างไกลพอสมควร จึงได้ชะลอฝีเท้าลง ควักบุหรี่จากซองในกระเป๋ากางเกงออกมาจุดสูบ ขณะที่ขีดไม้ขีดไฟขึ้นนั้นก็เกิดโมโหขึ้นมาอีก ที่เห็นมือตัวเองยังสั่นอยู่

ในที่สุดเรื่องระยำเช่นนี้ก็เกิดขึ้นจนได้ เขาด่าตัวเองอย่างแค้นใจ เพราะรู้ดีอยู่ว่าการที่ตัวเองต้องมาอยู่ในท่ามกลางป่าเขาเช่นนี้ ก็เพื่อที่จะทำงาน ไม่ใช่มาหลงเล่ห์โลกีย์จากผู้หญิงที่มีอารมณ์ร้อนแรงอย่างขาดผู้ชายไม่ได้เช่นนั้น ซึ่งถ้าเขาปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อต่อไป มันย่อมหมายถึงจุดจบของเขาอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น วิธีการแก้ปัญหามันก็มีอยู่เพียงแค่ทางเดียวเท่านั้น คือจะต้องกำจัดเธอออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่เธอจะทำให้เขาเสียสมาธิ เสียความตั้งใจในการทำงาน และที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้น คือทำให้เขาต้องเกิดปัญหากับผู้ร่วมงานที่อยู่มาด้วยกันอย่างสงบ

แต่มันก็มีคำถามตามมาอีก เขาจะกำจัดเธอด้วยวิธีใด ถ้าเพียงแต่เขาจะไร้มนุษยธรรม ซึ่งเขาไม่อยากจะเป็นเช่นนั้นเลย เขาก็ควรจะหวนกลับไปที่เต็นท์หลังนั้นเสียตั้งแต่ตอนนี้ และเชือดคอแม่นั่นเสีย และเรื่องราวทั้งหลายมันก็จะสิ้นสุดลงเป็นการยุติปัญหาทุกประการ แต่ทว่า...มันน่าเจ็บใจนัก ที่เขาไม่มีความกล้าพอที่จะทำเช่นนั้นได้ มันจะทำให้เขาต้องกลายเป็นฆาตกรเลือดเย็น ฆ่าได้แม้กระทั่งผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งมีความผิดเพียงแค่ที่ว่า เขาต้องไปนอนกับเธอมาเท่านั้น

ถ้าเช่นนั้น เขาก็จะต้องจัดการให้เธอออกไปให้พ้นเสียจากที่นี่ แต่จะให้ไปไหนล่ะ และไปด้วยวิธี ในซาลิสบิวรี่มีท่าอากาศยานที่ทันสมัย มีเครื่องบินเจทที่สามารถจะพาเธอออกไปให้พ้นจากเมืองได้โดยเร็ว แต่มันก็จะยังมีปัญหาที่ตามมาอยู่ดี เพราะถ้าผู้หญิงคนนั้นเกิดคุยเกี่ยวกับเรื่องการเดินทางผจญภัยของตนเองให้ใครต่อใครฟัง ซึ่งเธอคงจะต้องทำแน่อย่างไม่ต้องสงสัย นั่นก็หมายความว่าแผนการที่เขาวางไว้ตั้งแต่แรกจะต้องพินาศลงอย่างทันตาเห็น และยิ่งกว่านั้น สมมุติว่าถ้าเขาสามารถจะทำให้เธอให้คำมั่นสัญญาได้ว่า จะไม่พูดเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเขาให้ใครฟัง ให้เธอปิดปากให้สนิท เขาจะพาเธอไปส่งที่นั่นได้อย่างไร

ขณะนี้ สนามบินท้องถิ่นเล็กๆ ก็มีพวกผู้ก่อการร้ายคุมอยู่เต็มไปหมด ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาจะต้องจัดการให้เธอเดินทางไปถึงซาลิสบิวรี่ โดยใช้รถจิ๊ปเป็นพาหนะ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้อีกเช่นกัน

ปัญหาของเรื่องนี้มันอยู่ตรงที่ว่า เวลานี้เขามีความจำเป็นที่จะต้องใช้ผู้ร่วมงานทุกคน ซึ่งก็มีกันอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่ละคนนั้นได้รับการคัดเลือกมาเพื่อที่จะทำงานตามที่ตนถนัดทั้งสิ้น และเมื่อรวมกันมันก็หมายถึงผลสำเร็จที่จะตามมา ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถจะจัดให้ใครคนใดคนหนึ่งพาผู้หญิงซึ่งไม่รู้จักหัวนอนปลายตีนคนนั้นไปส่งได้เลย และประการที่สำคัญ ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไรทำนองนั้นขึ้น กลุ่มกองกำลังของเขาย่อมจะต้องได้รับการจับตามองอย่างไม่ต้องสงสัย

เพราะฉะนั้น คำตอบก็มีอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ เธอจะต้องอยู่ที่นี่ต่อไปจนกว่างานของเขาจะสำเร็จเรียบร้อยลงแต่ทว่า มันก็เป็นการแก้ปัญหาที่เขาไม่อาจทำใจให้ยอมรับได้อีกเช่นกัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel