บทที่ 4
“คุณเป็นหมอหรือคะ”
“ไม่ใช่หรอกครับ” สีหน้าของแซมขรึมลง “ผมเพียงแต่พอจะมีความรู้เรื่องการปฐมพยาบาลขั้นต้นบ้างเท่านั้น ถ้าเราทำงานอย่างนี้ มันก็จำเป็นจะต้องเก็บเกี่ยวความรู้จากที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง”
“งานอะไรหรือคะ” ลิซ่าถามเสียงเบา กลัวว่าจะต้องได้ยินในสิ่งที่ตนเองรู้อยู่แล้ว
“ผมเป็นทหาร” เขาตอบ ซึ่งเธอก็รู้อยู่ว่าเขาจะต้องมีอาชีพนั้น
“ฝ่าย...ฝ่ายไหนล่ะคะ” ลิซ่ากลัวเหลือเกินว่าเขาจะอยู่ฝ่ายเดียวกับเจ้าพวกสัตว์ป่าที่โจมตีบ้านไร่หลังนั้น
“สำหรับในตอนนี้ก็ต้องเรียกว่าฝ่ายรัฐบาล แต่มันก็...ยังไงก็ได้ สำหรับผมและพวกมันขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายไหนจะให้ค่าจ้างเราดีกว่ากันเท่านั้น”
“ค่าจ้างหรือคะ” ลิซ่าทวนคำอย่างไม่เข้าใจอะไรเลย ขณะเดียวกันก็รู้สึกไม่อยากจะเข้าใจอะไรด้วย “คุณเป็นคนอเมริกันไม่ใช่หรือคะ” เธอเสริมอย่างร้อนใจ
“ถูกต้อง” น้ำเสียงที่ตอบมามิได้บอกความรู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย และทันใดเขาก็ทรุดตัวลงนั่งข้างเธอคิ้วขมวดมุ่นเมื่อจับแขนข้างหนึ่งขึ้นดู
“แผลนี่รู้สึกว่าปากแผลมันจะเปิดนะ เจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า”
เขาวางแขนข้างนั้นลงอย่างระมัดระวัง และเอื้อมไปดึงผ้าห่มออกจากร่าง สัญชาตญาณทำให้ลิซ่าเบี่ยงตัวหนี เขาเหลือบตาขึ้นมองหน้าเธอแวบหนึ่ง สีหน้าครุ่นคิด
“ไม่เป็นไรนะ ผมไม่ทำให้คุณเจ็บหรอก ผมเพียงแต่อยากจะขอดูแผลไฟลวกตรงหลังคุณเท่านั้น คุณคงไม่อยากให้มันอักเสบไม่ใช่หรือ”
“มะ...ไม่ค่ะ” ลิซ่าประสานสายตาอยู่กับเขาเป็นครู่รู้สึกอยู่เหมือนกันว่าตัวเองทำอะไรโง่ๆ ลงไป อย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็ได้ช่วยรักษาบาดแผลตามเนื้อตัวให้ ในขณะที่เธอหมดสติอยู่มาตลอด มันน่าหัวเราะสิ้นดี ถ้าเธอจะเกิดความเขินอายเขาขึ้นมาในตอนนี้ ยิ่งกว่านั้นมันมีอะไรบางอย่างที่บอกให้เธอรู้ว่า เขาเป็นบุคคลที่เธอสามารถจะวางใจได้
“ฉัน...ขอโทษค่ะ...ฉันรู้ว่าคุณจะไม่ทำให้ฉันเจ็บหรอก เพียงแต่...”
“เพียงแต่อะไร” เขาถามทันทีเมื่อเห็นเธอทำท่าว่าจะไม่พูดต่อจนจบ
“เครื่องแบบของคุณ” ลิซ่าตอบพร้อมกับเมินหน้าไปเสียทางหนึ่ง “พวกทหารที่ไปที่บ้านไร่ เขาก็แต่งตัวเหมือนคุณนี่แหละ ฉันขอโทษด้วยนะคะ ฉันรู้ว่าคุณไม่ใช่พวกนั้น แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ ...ฉันกลัว...”
สีหน้าของเขาบอกความเข้าใจขึ้นมาทันที เอื้อมมือมาจับปลายคางให้เธอหันหน้ามามอง พินิจอยู่เป็นครู่ และก็บอกว่า
“ผมไม่ยักรู้ว่า...” เขาพูดอย่างเข้าใจ “เพราะเหตุผลนี้เองคุณถึงได้วิ่งเตลิดเปิดเปิงเมื่อเห็นเราเข้า แล้วก็กรีดร้องเหมือนคนเสียสติ จนผมต้องตบหน้าคุณจึงได้เงียบเสียงลงได้”
“คุณ...คุณตบฉันหรือคะนี่” ลิซ่าเอ่ยถามออกไปและรู้สึกอึดอัดขึ้นมาในทันที จริงๆ แล้วดูเหมือนเธอจะไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้เลย เขาเป็นเพียงทหารคนหนึ่ง ซึ่งจากความรู้ที่เธอเพิ่งได้รับมาจากเขา ก็บอกอยู่แล้วว่าเขาพร้อมจะฆ่าใครก็ได้ ถ้ามีคนสั่งให้เขาทำ และผู้ที่สั่งนั้นสามารถจะจ่ายเงินให้เขาตามที่เรียกร้องได้ด้วย
“มันจำเป็นนะ คุณร้องเสียงดังมาก ถ้าผมขืนปล่อยให้คุณร้องอยู่อย่างนั้น ไม่นานพวกผู้ก่อการร้ายมันก็จะต้องรู้ว่า เราตั้งแคมป์กันอยู่ตรงไหน” เขาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เอาละ ตอนนี้คุณหันหลังให้ผมดูได้หรือยัง ผมยังมีงานอื่นต้องทำนะ ไม่ใช่คอยพยาบาลคุณอย่างเดียว”
ลิซ่าพลิกร่างลงนอนคว่ำ เบือนหน้าไปทางหนึ่งตามคำสั่ง แต่ก็รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวขึ้น เมื่อเขาเลิกเสื้อที่สวมอยู่เลยจากก้นขึ้นมาจนถึงแผ่นหลัง พยายามที่จะคิดเสียว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ตัวเองหมดสติอยู่นั้น เขาก็ได้เห็นเรือนร่างของเธอมาแล้วจนทั่วตัว
เธอรู้สึกยามที่เขาไล้ครีมบางอย่างลงบนแผ่นหลังให้สัมผัสนั้น แม้จะแปลกใหม่แต่ก็ทำให้เธอสบายขึ้นมาก ลิซ่ารู้สึกคลายความตึงเครียดลงอย่างมาก ไม่ว่าเขาจะเป็นทหารหรืออะไรก็ตาม เขาก็ยังมีความกรุณาต่อเธออย่างมากมายทีเดียว
“เสร็จแล้ว” เขาบอกพร้อมกับดึงเสื้อลงไว้ตามเดิมและห่มผ้าห่มให้อีกชั้น ลิซ่าพลิกร่างกลับมามองหน้าเขา แก้มยังแดงเรื่ออยู่ด้วยความเขินอาย เขาอาจจะสังเกตเห็นในสิ่งนั้นก็ได้ เพราะเธอเห็นเขายิ้มกว้าง ดวงตามีแววล้อเลียนปรากฏอยู่
“หิวหรือยังล่ะ”
ลิซ่าพยักหน้ารับ เมื่อคิดถึงเรื่องอาหาร ความหิวโหยก็บังเกิดขึ้น บางทีอาการมึนงงที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ อาจจะเนื่องจากการที่เธอไม่ได้รับประทานอาหารมาหลายวันแล้วก็ได้
“ผมเชื่อว่าคุณจะต้องหิว” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มที่กว้างขึ้น จากนั้นก็ผลุดลุกขึ้นยืนผงกศีรษะน้อยๆ เมื่อกล่าวต่อว่า “เรามีอาหารกระป๋อง ถั่วกับเนื้อหมูเป็นอาหารเย็น พอกินได้ไหมล่ะ”
“ได้ค่ะ” ถ้าน้ำเสียงของเธอจะแสดงความสงสัยอยู่บ้างก็เป็นเพราะว่าเธอไม่เคยกินอาหารกระป๋องอย่างนั้นมาก่อน จึงไม่รู้ว่ากระเพาะของตนเองจะรับได้หรือไม่ แต่เวลานี้เธอหิวจนสามารถจะกินได้ทุกอย่างที่ขวางหน้า
แซมเดินออกจากเต็นท์ไปอีกครั้ง เธอได้ยินเสียงเขาเรียกใครคนหนึ่ง
“ไรเล่ย์” จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเขาพูดอะไรบางอย่างกับใครอีกคนหนึ่ง เพียงครู่เดียวเขาก็เดินกลับมา ถือจานสังกะสีมีอาหารควันกรุ่นใส่เข้ามาอยู่ด้วย ลิซ่ามองดูอาหารในจานนั้นได้กลิ่นเครื่องเทศหอมๆ ท้องก็ร้องจ๊อกด้วยความหิวขึ้นมาทันที เธอเหลือบตามองแซม และก็ต้องหน้าแดงเมื่อเห็นเขายิ้มอย่างเข้าใจ
“มา...ผมจะช่วย” เขาบอกเมื่อเห็นเธอขยับท่าจะลุกขึ้นนั่ง ก่อนที่ลิซ่าจะรู้ว่าเขาจะทำอย่างไร แซมก็วางจานอาหารลงบนลังไม้ที่พลิกคว่ำลงใช้ต่างโต๊ะ และเดินอ้อมมาทางข้างหลังค่อยๆ รั้งไหล่เธอขึ้น แผ่นอกของเขาจึงเป็นประหนึ่งพนักใช้พิง และเธอก็เอนอิงอยู่กับเขาด้วยความไว้วางใจ เมื่อจัดการให้เธอนั่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็เอื้อมมือทั้งสองมาข้างหน้าวางจานอาหารลงบนตัก
“กินเองได้ไหม” เขาถามเมื่อเห็นเธอยังไม่ลงมือ ลมหายใจระรวยอยู่กับเรือนผม
ลิซ่าเหลือบมองหน้าเขา รู้สึกแปลกใจที่เห็นใบหน้านั้นลอยอยู่ใกล้เหลือเกิน จึงรีบก้มลงมองจานที่อยู่ตรงหน้า
“ได้ค่ะ ขอบคุณ” เธอรู้สึกเหมือนลมหายใจจะติดขัดขึ้นมา เมื่อจะต้องนั่งกินอาหารโดยมีเขาประคองอยู่เช่นนั้น
เมื่อการกินอาหารเสร็จลงแล้ว เธอก็ยังเอนอิงอยู่กับเขาราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดในโลก ที่จะอยู่ในวงแขนของผู้ชายคนนี้ ความรู้สึกทั้งหลายค่อยดีขึ้นมากแล้ว พละกำลังดูจะกลับคืนเข้าสู่เรือนกายที่อ่อนเปลี้ย สมองก็ปลอดโปร่งแจ่มใสขึ้น รู้สึกอบอุ่นสบายกว่าเดิมมาก
ศีรษะของเธอพิงอยู่กับไหล่ที่แข็งแรงนั้น ลิซ่าต้องเงยหน้าขึ้นจึงจะมองเห็นใบหน้าเขาได้
“คุณช่างใจดีกับฉันเหลือเกิน” เธอกวาดสายตาไปทั่วใบหน้านั้นอย่างสงสัย ในสภาพที่ชิดใกล้เช่นนี้ เธอสามารถจะมองเห็นรอยย่นปรากฏอยู่ตรงหางตา และตรงมุมปาก สีผิวของเขาเป็นสีน้ำตาลอ่อน อาจจะเป็นด้วยกร้านแดดเกรียมลม มีรอยแผลเป็นเห็นได้ชัดอยู่บนซีกหน้าด้านซ้าย เรือนผมหยักศกสีดำเป็นมัน และตัดสั้น ดั้งจมูกหักเหมือนถูกของแข็งกระแทกไว้แรงๆ ดูไม่ใคร่ตรงนัก ริมฝีปากเป็นแนวตรงอิ่มเต็ม อย่างจะเชื้อเชิญ ท่าทางของเขาดูแกร่งกร้าวสมเป็นชายชาตรีที่อาจหาญยิ่งนัก ลิซ่ารู้สึกแปลกใจที่เขาสามารถทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยได้ถึงเพียงนั้น
“คุณกำลังสำรวจผมอยู่หรือ” เขาถามล้อๆ และลิซ่าก็ยิ้มอย่างเคลิ้มฝันแทนคำตอบ ทิ้งร่างให้อยู่ในวงแขนเขาอย่างเต็มที่ มันเป็นความรู้สึกวิเศษยิ่งนัก ที่มีใครคนหนึ่งซึ่งมีความเป็นผู้ชายเต็มตัวได้โอบอุ้มเธอไว้เช่นนี้ ใครคนหนึ่งที่สามารถจะทำได้มากกว่าการโอบอุ้มคุ้มครองเธอให้ปลอดภัย
“แซมคะ” เธอเรียกชื่อเขาขึ้นเบาๆ เหลือบตาขึ้นประสานอยู่กับเขา ที่จริงแล้วเธอมิได้ตั้งใจที่จะเรียกชื่อเขาออกมาดังๆ อย่างนั้นเลย อาจจะเป็นเพราะต้องการทดลองกำลังใจของตนเองก็เป็นได้
“ลิซ่า” เขาสนองตอบอย่างเลียนล้อ และอ้อมแขนคู่นั้นก็กระชับแน่นเข้า
“สภาพชั้นนี่มันคงแย่มากเลยนะคะ” เธอพูดไปตามเรื่อง มีความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในหมู่เมฆเปลือกตาดูจะหนักขึ้นทุกที
“ผมก็ไม่เห็นคุณจะเป็นไรนี่” น้ำเสียงของเขาแหบห้าวขึ้น “และตอนนี้ ผมควรจะปล่อยให้คุณได้นอนหลับพักผ่อนเสียก่อนดีกว่า ดูคุณไม่มีเรี่ยวแรงเลยนะ”
“อย่าเพิ่งทิ้งฉันไปนะคะ” เธอทักท้วง พยายามที่จะดึงตัวเองให้โผล่พ้นห้วงแห่งฝันขึ้นมา จับมือที่โอบอยู่รอบเอวไว้แน่น แต่เขาค่อยๆ ประคองให้เธอล้มตัวลงนอน
“ผมไม่ไปไหนหรอก จะอยู่ใกล้ๆ นี่ คุณต้องการอะไรก็เรียกแล้วกัน” เขาบอก น้ำเสียงนั้นจะดูห่างไกลออกไปทุกที และก่อนที่เขาจะพ้นจากเต็นท์นั้นมา ลิซ่าก็หลับไปแล้ว