บทที่ 3
และก็มาถึงวันที่เกรซ บอลลาร์ด บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวได้เอ่ยขึ้นขณะที่รับประทานอาหารกลางวันในวันหนึ่งว่า เพื่อนของเธอได้แต่งงานกับเจ้าของไร่ชาวโรดิเซียผู้หนึ่ง และอยู่ในประเทศที่กำลังวิกฤตด้วยภัยสงคราม ในตอนแรกลิซ่าก็มิได้ให้ความสนใจเท่าไรนักจนกระทั่งเมื่อเกรซเอ่ยถึงว่า ขณะนี้ผู้สื่อข่าวที่หนังสือพิมพ์สตาร์ได้จ้างไว้ กำลังติดทำข่าวสงครามอย่างจริงจัง ไม่มีเวลาที่จะเขียนสารคดีเกี่ยวกับเรื่องราวของประเทศนั้นส่งมาได้ ลิซ่าก็บอกกับตัวเองว่าโอกาสของเธอได้มาถึงแล้ว เธอใคร่ที่จะเขียนถึงสิ่งที่เป็นสาระมากกว่าการรายงานข่าวสังคมธรรมดาๆ และประการสำคัญที่สุดก็คือ เธอต้องการจะหลีกหนีไปให้พ้นเสียจากเจฟฟ์อย่างน้อยก็ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ลิซ่าเสนอตัวที่จะเดินทางไปโรดิเซียเพื่อที่จะเขียนสารคดีให้กับหนังสือ แต่ทว่าเกรซ และ จอห์น แลนดิส คัดค้านอย่างหัวชนฝา โดยฝ่ายหลังนั้นให้เหตุผลว่า ลิซ่าไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำข่าวมาก่อน และสภาพของโรดิเซียในขณะนี้เหมาะสมแต่เฉพาะผู้สื่อข่าวที่มีความสามารถเท่านั้น แต่ในที่สุด ลิซ่าก็บังคับให้เขายอมจนได้โดยอ้างว่าครอบครัวลาสส์นั้นมีบ้านอยู่ห่างจากสนามรบตั้งมากมาย แม้แลนดิสจะยืนยันว่า ถึงอย่างไรมันก็มิได้แตกต่างอะไรกัน มันยังเป็นดินแดนอันตราย ไม่สมควรอย่างยิ่งที่เธอจะเดินทางไป
และครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ลิซ่าใช้อิทธิพลของปู่เข้ามาบังคับให้เขายอมอนุญาต ปู่มองหน้าเธอเงียบๆ อยู่นานชั่งน้ำหนักคำขอร้องของหลานสาวอยู่ แต่เมื่อมองเห็นแววแห่งความมีชีวิตจิตใจ ความกระตือรือร้นที่เกิดอยู่กับหลานสาวก็ทำให้เขาใจอ่อนลง และยอมอนุญาตให้ในที่สุด แต่กระนั้นก็ยังสั่งเสียให้เธอระมัดระวังตัวให้ดี
ลิซ่าแทบจะไม่ได้ยินคำสั่งเสียนั้นเลย ด้วยความตื่นเต้นอันเหลือประมาณที่เกิดขึ้น มันคล้ายกับคำอธิษฐานของเธอได้รับคำตอบแล้วมันเป็นวิธีเดียวที่เธอจะตัดขาดจากชีวิตเก่าอันแสนสุขนั้นได้
ขณะที่เตรียมตัวเพื่อออกเดินทางนั้น ลิซ่ามิได้บอกให้ใครรู้เลยว่า เธอไม่คิดจะกลับมาอีกแล้ว อย่างน้อยเธอก็จะไม่กลับคืนมาหาเจฟฟ์อีก ไม่มีวันที่ย่างเหยียบเข้ามาในบ้านที่เคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอีกต่อไป
ลิซ่ารู้สึกเจ็บร้าวไปทั่วทั้งตัว ความเจ็บนั้นทำให้เธอต้องครางออกมาเบาๆ และกลับฟื้นคืนสติขึ้นอีกครั้ง ผิวหนังร้อนผ่าวราวกับถูกไฟลวกไว้...ไฟ...ไฟไหม้...เธอจำภาพนั้นได้อย่างถนัดตา นี่ร่างกายของเธอถูกไฟลวกด้วยเช่นนั้นหรือ หรือว่าตัวเองได้สลบไป..หรือมันเป็นเพียงแต่ความฝันที่บอกว่า เธอสามารถจะหลบหนีออกมาจากโรงเก็บเครื่องมือนั้นได้...มีอะไรบางอย่างมาก่อให้เกิดความเจ็บแปลบขึ้นตรงผิวหนัง
“โอ๊ย...” เธอรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินเสียงตัวเองร้องออกมาดังๆ และลืมตาขึ้น ซึ่งก็พบว่าสายตาของเธอปะทะกับใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งอยู่ ใบหน้าคล้ำที่บอกถึงความเข้มแข็งมีรอยแผลเป็นจางๆ ปรากฏอยู่ตรงแนวแก้ม เขาไม่ถึงกับจะหล่อเสียทีเดียว แต่ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นเป็นประกายกล้าเสียจริง
“คุณฟื้นแล้ว...ค่อยยังชั่วหน่อย” น้ำเสียงของเขาห้วนห้าว บอกความเป็นผู้ชายเต็มตัวและมีสำเนียงใต้กล้ำอยู่ลิซ่ากะพริบตาถี่ๆ ไม่อาจถอนสายตาจากใบหน้าเขาได้เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของเธอ เขาก็ยิ้มออกมา ฝ่ามือคล้ำๆ เอื้อมมาลูบปอยผมให้พ้นจากหน้าผาก
“คุณได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่า” เขาถาม และลิซ่าก็พยักหน้าเบาๆ ยังคงจ้องหน้าเขาอยู่ ไรฟันขาวสะอาดตัดกับผิวหน้าที่ค่อนข้างคล้ำ
“ฉันอยู่ที่ไหนคะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ปานกระซิบ และก็ดูจะตกใจกับเสียงพูดของตัวเอง เพราะมันช่างแผ่วเบาเสียเหลือเกิน
“คุณปลอดภัยแล้วละ” เขาตอบเลี่ยงไปเสียทางหนึ่ง แต่มันก็เป็นคำตอบที่เธอต้องการ
“คุณเป็นใคร”
“ผมชื่อแซม...แซม อีสท์แมน..แล้วคุณล่ะเป็นใคร”
“ลิซ่า คอลลินส์ ค่ะ” เสียงตอบของเธอราวกับจะลอยออกมาจาก ณ ที่ซึ่งไกลแสนไกล ลิซ่าเริ่มเกิดความสงสัยขึ้นมาอีกว่า หรือเธอจะคิดไปเองว่ามันมีการพูดจากันครั้งนี้เกิดขึ้น หรือว่ามันจะไม่มีเรื่องไฟนั่นเกิดขึ้นจริงๆ ไม่มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเช่นที่เธอได้เห็นมา บางทีอาจจะเป็นเพราะความเศร้าเสียใจที่ต้องสูญเสียเจนนิเฟอร์ ทำให้สมองเธอเกิดแปรผันไปอีกครั้ง
“เป็นคนจริงๆ ยิ่งเสียกว่าตัวคุณด้วยซ้ำ คุณพอจะบอกอะไรผมบ้างได้ไหม เช่นว่า คุณมีญาติพี่น้องอยู่แถวนี้บ้างหรือเปล่า เขาอยู่ในที่ซึ่งเราพอจะพาคุณกลับไปส่งได้ไหม” น้ำเสียงของเขาบอกความห่วงใยในตัวเธออยู่ เมื่อเห็นความตั้งใจจริงของเขา หยาดน้ำใสๆ ก็ขึ้นมาคลอคลอง
“ฉันมาจากแมรี่แลนด์ค่ะ” เธอตอบเสียงแผ่ว
“เอาละ ทุกสิ่งทุกอย่างมันโอเคแล้วนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน “อย่าร้องไห้เลย ถึงคุณจะผ่านเรื่องร้ายๆ มา แต่มันก็ปลอดภัยแล้ว ตอนนี้ผมว่าคุณพักผ่อนก่อนดีกว่า โอเคไหม”
“โอเคค่ะ” ลิซ่าพยักหน้าจะยิ้ม มีความรู้สึกว่าในสภาพที่กำลังเป็นอยู่นี้ เธอจะทำอะไรได้นอกจากคล้อยตามคำพูดของเขา แต่มันก็น่าแปลกใจอยู่ ที่ดูเหมือนเขาจะมีอิทธิพลบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิมคล้ายกับตนเองได้รับการคุ้มครองป้องกันอย่างดีแล้ว
แซมหันไปหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกล่องที่เปิดไว้ ลิซ่ามิได้ละสายตาจากเขาเลย แม้ในยามที่เขาหันหลังให้เช่นนี้ อีกครั้งหนึ่งที่เธอมีความรู้สึกเหมือนมีอะไรแทงลงตรงแขน เธอยังคงจับตามองเขาอยู่ จนเมื่อยาที่ฉีดเข้าไปให้นั้นเริ่มออกฤทธิ์ และในที่สุดเธอก็ผล็อยหลับไป
เมื่อลิซ่าตื่นขึ้นอีกครั้งหนึ่งนั้น เธอสังเกตเห็นอะไรหลายสิ่งหลายอย่างในเวลาเดียวกัน สิ่งแรกก็คือมันเป็นเวลากลางคืน สิ่งที่สองนั้น ตัวเธอกำลังนอนอยู่ในเต็นท์สีเขียวที่มีตะเกียงซึ่งใช้แบตเตอรี่จุดไว้สว่างพอสมควร ประการที่สามเธออยู่ในเสื้อเชิ้ตผู้ชายที่มีขนาดใหญ่กว่าตัว และมีผ้าห่มคลุมร่างเพื่อป้องกันความหนาวเยือกเย็นของอากาศ และประการที่สี่คือความรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่าง
เธอพยายามลุกขึ้นนั่ง ความเคลื่อนไหวทำให้รู้สึกเจ็บขึ้นมาอีก แต่กระนั้นก็ยังพยายามยันกายขึ้นเอื้อมไปจับเสาโลหะที่อยู่ข้างเตียงคอก จากปลายหางตาเธอเหลือบเห็นแขนของตัวเอง ตรงส่วนที่แขนเสื้อพับขึ้นไว้ ผิวพรรณที่เคยผ่องใสบัดนี้มีรอยแผลที่กำลังบวมแดง ลิซ่ายกมือข้างหนึ่งไปแตะแผลที่ปรากฏอยู่บนแขนอีกข้างหนึ่ง ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้เธอเสียการทรงตัวไป และล้มหงายลงในเตียงอีกครั้ง
“ห่ะ...” เธอสบถออกมาดังๆ ได้แต่นอนนิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายอีก เพราะความเจ็บที่เกิดขึ้นราวจะทิ่มแทงเข้าไปตามเนื้อตัวร้อยๆ แห่งในเวลาเดียวกัน แต่ทันทีที่สบถออกมาก็รู้สึกว่ามันค่อยยังชั่วขึ้น อย่างน้อยมันก็ยังดีที่ได้รู้ว่าสุ้มเสียงของตัวเองกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
“อ้อ...สุภาพสตรีเขาพูดกันอย่างนี้เองน่ะหรือ” เสียงใครคนหนึ่งพูดล้อๆ ขึ้น ลิซ่าเงยหน้าขึ้นพร้อมๆ กับที่ประตูเต็นท์ถูกตวัดให้เปิดออก มองเห็นร่างสูงๆ ไหล่กว้างๆ ที่เดินก้มๆ เข้ามาในเต็นท์ ทันทีที่เห็นเครื่องแบบสีกากีที่เขาสวมอยู่ ดวงตาก็เบิกโพลงขึ้น แต่เมื่อประสานสายตากับดวงตาคู่สีฟ้าเข้ม เธอก็รู้โล่งใจขึ้น
“เฮลโล” เธอรู้สึกขัดเขินมาอย่างประหลาด มิได้พยายามที่จะลุกขึ้นอีก ยังคงนอนนิ่งอยู่ในเตียงคอกเช่นเดิม เรือนผมสีบลอนด์สยายอยู่เต็มหมอน รอยยิ้มอ่อนๆ ฉาบอยู่บนใบหน้า
“อ้อ...เฮลโล” แซมตอบรับมา สายตากวาดไปทั่วร่าง “เมื่อกี้ที่คุณพูดออกมาอย่างนั้นมันช่วยอะไรได้บ้างล่ะ”
“อ๋อ...” ลิซ่านึกถึงบาดแผลที่ปรากฏอยู่บนแขนของเธอขึ้นมาได้ “ฉันกำลังดูแผลที่แขนอยู่น่ะค่ะ แต่พอดีมันหกล้มลงไป แหม...แผลนั้นมันน่าเกลียดจัง เหมือนใครเอาแส้ฟาดไว้ มันเกิดอะไรขึ้นหรือคะ”
“คุณจำไม่ได้หรอกหรือว่าตัวเองวิ่งเข้ามาในป่า”
ลิซ่าพยักหน้ารับอย่างจำได้
“นั่นละ ตอนนั้นกระมังที่แขนคุณคงจะไปถูกกิ่งไม้ที่มีหนามแหลมๆ เข้ามันก็เลยข่วนเป็นรอย ที่หลังคุณก็มีนะ เป็นรอยไหม้เหมือนถูกไฟลวก แล้วก็เขียวช้ำทั่วตัวเลย”
“ไฟไหม้ค่ะ...ที่บ้านของพวกบลาสส์...นี่มันกี่วันแล้วคะ” เธอถาม รู้สึกลำคอตีบตันขึ้นมาทันที
“สี่วันแล้ว” แซมจ้องหน้าเธออยู่ “เราพบคุณในป่าหรือ ที่ถูกน่าจะพูดว่า คุณวิ่งเข้ามาหาเรามากกว่า แล้วเราก็พาคุณมาที่แค้มป์นี่ เรา...เอ้อ...เราไปที่บ้านไร่นั่น หลังจากที่พบคุณแล้ว ถ้าคนพวกนั้นเป็นญาติคุณ เราก็ต้องขอแสดงความเสียใจด้วย”
“พวกเขาไม่ใช่ญาติฉันหรอกค่ะ” ลิซ่าหลับตากล้ำกลืนก้อนแข็งๆ ที่ขึ้นมาตันอยู่ตรงลำคอลง “ฉันเพิ่งรู้จักเขาแค่สองวันเท่านั้นเอง แต่พวกเขาก็ดีกับฉันมากเหลือเกิน...”
“รู้สึกว่าเรื่องมันออกจะรุนแรงอยู่สักหน่อย” น้ำเสียงของเขาบอกความเห็นใจอยู่ ลิซ่าลืมตาขึ้น เธอไม่อยากจะคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวบลาสส์เลย