3
“น้องไหมคะ ไปรอมี้ตรงโต๊ะหินก่อนนะคะ มี้เข้าห้องน้ำแปปนึงค่ะ”
“ค่ะมามี้” ไหมขวัญรับคำ เดินไปนั่งตรงโต๊ะหินห่างออกไปไม่กี่เมตร ทันทีที่นั่งบนม้าหิน รัชนก วิลรัตน์และกิ่งแก้ว สามเพื่อนร่วมห้องไหมขวัญมายืนติดขอบโต๊ะ แม่ๆ จึงเดินตามลูกมาด้วย
“ไหม...วันพ่อเธอจะมีพ่อมางานหรอ เธอไม่มีพ่อนี่นา” รัชนกสมกับเป็นลูกสาวรัชนี ที่มีนิสัยคล้ายคนเป็นแม่ เหยียดและชอบดูถูกคน สำคัญคือชอบบูลลี่คนอื่น ถามไหมขวัญ
ดวงตากลมโตใส่ซื่อของไหมขวัญมองคนพูด นัยน์ตาคู่นี้สั่นไหวตามคำถาม ไหมขวัญเคยถามเดือนแรมเรื่องนี้ คำตอบที่ได้คือ บิดาไปทำงานต่างประเทศที่ไกลมาก หากเสร็จงานก็จะกลับมาหา นั่นหมายความว่า หนูน้อยมีพ่อเหมือนคนอื่น แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ถึงกระนั้นไหมขวัญอดรู้สึกไม่ได้ว่า ตนเองไม่มีพ่อ
“ตายแล้วลูกเมย์ ไปถามไหมแบบนี้ได้ยังไงลูก ก็รู้อยู่ว่า ไหมไม่มีพ่อ ถามไปจะหาพ่อมาจากไหนล่ะ” รัชนีพูดไปยิ้มไป เบ้ปากเล็กน้อย เหยียดตามองไหมขวัญราวกับสมเพชเวทนา “จะบอกอะไรให้นะไหม ถ้าอยากได้พ่อมางานวันนั้นล่ะก็ เอาเงินไปเช่าหรือซื้อพ่อสิ น่าจะมีผู้ชายสักคนยอมเป็นพ่อปลอมๆ ให้ไหมนะ”
รัชนีเหมือนสนุกกับปมด้อยของไหมขวัญ เธอพูดไปยิ้มไปอย่างหน้าหมั่นไส้
“ทำไมเธอพูดอย่างนี้กับไหมล่ะ ไปเหยียบปมด้อยของเด็กทำไม สนุกอะไรหนักหนา แทนที่เธอจะสั่งสอนลูกไม่ให้พูดแบบนี้ กลับทำเสียเอง เสียแรงที่เกิดมาเป็นแม่คน” แม้เป็นเพื่อนกัน ได้ยินแบบนี้อรุณต่อว่าเพื่อนไม่ไว้หน้า ก่อนจูงวิมลรัตน์เพื่อกลับบ้าน ประไพไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัชนีและรัชนก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เธอส่ายหน้าจากนั้นก็จูงลูกสาวกลับบ้าน
รัชนกไม่พอใจมากที่ถูกต่อว่า คิดว่าเพื่อนอีกสองคนพูดเข้าข้าง ทว่าคำพูดเพื่อนไม่ได้ไหลเข้าหู คนชอบเหยียดกลับก้มหน้าลงพูดไหมขวัญ
“แกน่ะลูกไม่พ่อ ถ้าอยากได้พ่อมาในงานก็ต้องเสียเงินเช่าหรือไม่ก็ซื้อมาจำเอาไว้” คำพูดตอกย้ำทำให้ไหมขวัญน้ำตาไหล มองรัชนีกับรัชนกเดินห่างออกไปด้วยความเสียใจ แต่พอเห็นมารดาเดินมาทางตน หนูน้อยรีบเช็ดน้ำตา ยิ้มกว้างให้เดือนแรม
“น้องไหมร้องไห้ทำไมลูก ใครทำหนูลูก” เดือนแรมถามเพราะตอนกำลังเดินมาหาลูกสาว เธอเห็นไหมขวัญเช็ดน้ำตา
“ฝุ่นเข้าตาหนูไหมค่ะมามี้ หนูไหมเลยเช็ดตา” เด็กน้อยจำตอนฝุ่นเข้าตาครั้งที่แล้วได้ว่า ตนนำมือไปขยี้ตาจนเกิดการระคายเคือง มีน้ำตาไหลลงมาอีกด้วย จึงกล่าวอ้างออกไป
“แล้วฝุ่นออกหรือยังลูก ไหนให้มี้ดูหน่อยสิคะ” เดือนแรมประคองแก้มบุตรสาว มองลงไปในนัยน์ตาใส่ซื่อ
“ออกหมดแล้วค่ะมามี้” เด็กหญิงตอบ
“งั้นเรากลับกันดีกว่านะ ไปค่ะน้องไหม” เดือนแรมยิ้มให้ลูกสาวที่ยิ้มตอบกลับ ก่อนสองแม่ลูกจะจูงมือกันเดินไปยังรถขับเคลื่อนสองล้อคู่ใจของเดือนแรม
เมื่อมาถึงรถมอเตอร์ไซค์กลางเก่ากลางใหม่ เธอสวมหมวกกันน็อกให้ลูกสาวเป็นอันดับแรก ตามด้วยตัวเอง จากนั้นทั้งคู่ขึ้นไปนั่งบนยานพนะ เดือนแรมนั่งหน้า ไหมขวัญขึ้นซ้อนท้าย กอดเอวคนเป็นแม่ไว้แน่น ทุกอย่างพร้อมเดือนแรมขับมอเตอร์ไซค์ออกจากจุดที่จอด มุ่งตรงกลับคลินิกทันตกรรมที่ตนทำงาน ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนไปเพียงสามซอย เดือนแรมไม่ได้ขับรถออกถนนใหญ่ แต่ลัดเลาะไปตามเส้นทางที่เชื่อมต่อกันหลายซอยแทน
เดือนแรมทำงานในเครือวัลย์ทันตกรรม คลินิกทำฟันที่มีอยู่ด้วยกันสิบสองสาขาทั่วประเทศไทย สาขาที่เดือนแรมทำอยู่เป็นสาขาสามและเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุด เธอทำมาหนึ่งปีครึ่ง เดิมทีเดือนแรมทำงานอยู่ในบริษัทผลิตอะไหล่คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์การสื่อสาร ได้เงินเดือนมากกว่าที่นี่แปดพันบาท ทว่ามีหลายประการทำให้เธอตัดสินใจลาออก
ความที่เดือนแรมเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว และคนที่จ้างเลี้ยงดูไหมขวัญเดินทางกลับต่างจังหวัดแบบถาวร ช่วงเวลานั้นไหมขวัญเรียนขึ้นชั้นอนุบาลหนึ่ง การหาคนเลี้ยงดูลูกสาวไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องเป็นคนที่เธอไว้ใจจริง ดีที่ว่าป้าต้อยบอกล่วงหน้าสามเดือน เธอจึงใช้ช่วงเวลานี้หาคนเลี้ยงไหมขวัญคนใหม่ ทว่าก็หาถูกใจไม่ได้ หาได้แต่ก็ตกลงเรื่องเวลาไม่ได้
คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมีความคิดว่า หากไม่มีคนดูแลไหมขวัญ เธอต้องเลี้ยงลูกเอง จึงคิดทบทวนใหม่ว่า หางานทำใกล้บ้านและใกล้โรงเรียนไหมขวัญ ประหยัดเวลาการเดินทาง รวมถึงค่าใช้จ่าย จนกระทั่งมาเห็นป้ายประกาศรับสมัครงานฝ่ายประชาสัมพันธ์คลินิกแห่งนี้ เดือนแรมจึงเข้าไปสมัครงานอย่างไม่ลังเล แม้ว่าไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อน แต่ก็เชื่อว่าตัวเองทำได้ ด้วยความสวย บุคลิกภาพและคำพูดคำจาอ่อนหวาน ผู้จัดการสาขาจึงรับเธอเข้าทำงาน
แม้ว่ารายได้งานใหม่น้อยกว่างานเก่าแปดพันบาท แต่เมื่อหักค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียคือ ค่ารถ ค่าพี่เลี้ยง ค่ากิน ก็มากกว่าเงินส่วนต่างนั้น อีกทั้งไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปทำงานที่ไกลจากบ้านค่อนข้างมาก ใช้เวลาไปกลับร่วมสองชั่วโมง เดือนแรมคิดดีแล้วว่า เงินเดือนแค่นี้เธอกับลูกอยู่ได้ เธอยังมีงานพิเศษอีกหนึ่งอย่างคือ สอนพิเศษนุชนารถ วัยสิบสองปี ทุกวันอาทิตย์ โดยได้เงินครั้งละหนึ่งพันบาท
เดือนแรมไม่เกี่ยงรายได้ ไม่เลือกงาน เธอยอมเหนื่อยเพื่อไหมขวัญ วาดความฝันไว้ว่า จะส่งเสียลูกสาวให้สูงที่สุดเท่าที่สองมือแม่ทำได้ โดยไม่ง้อคนเป็นพ่อ ที่แม้รู้ว่าเขาคือใคร ร่ำรวยมากแค่ไหน เขาไม่ต้องการเธอก็เท่ากับว่า ไม่ต้องการไหมขวัญเช่นกัน