บทที่ 8
ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เน้นหนักชัดเจน
“ทำไมคุณกับลูกไม่ไปอยู่กับผมล่ะ...?” เขาเหลียวมามองเธอช้าๆ “อยู่ที่บ้านหลังนั้นด้วยกัน”
“เราทำไม่ได้หรอกค่ะ” เธอบิดมือเป็นเกลียวอย่างไม่รู้ตัว
“เพราะอะไร...? เพราะคุณรู้ว่าผมอยากร่วมรักกับคุณยังงั้นใช่ไหม?”
มันมีปฏิกิริยา 4 อย่างเกิดขึ้นโดยพร้อมกัน นั่นก็คือดวงตาของเธอที่เบิกโพลง สีหน้าเผือดซีดลงอย่างเห็นได้ชัดเธออุทานออกมาดังๆ พร้อมกันนั้นปลายลิ้นก็ไล้เลียเรียวปากที่แห้งผาก
“ผมไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่จะต้องบดย่อยถ้อยคำที่จะพูดออกมาเสียก่อนหรอกนะอลีเซีย ผมว่าเรามาพูดกันอย่างตรงไปตรงมาดีกว่า นับแต่ครั้งแรกที่ผมเห็นคุณในท่ามกลางแสงสว่างเต็มตา ตอนที่คุณยืนเนื้อตัวเปียกโชกอยู่หน้าประตูบ้าน บอกตามตรงว่าผมก็อยากจะนอนกับคุณแล้ว จริงๆแล้วก่อนหน้านั้น ตอนที่คุณโก้งโค้งดูปลั๊กไฟอยู่ ถึงแม้ผมจะคิดอยู่ตลอดเวลาว่าคุณเป็นภรรยาของชายอื่น ผมก็ยังต้องการคุณอยู่ดี ซึ่งผมรู้ว่าคุณเองก็รู้”
“นี่อย่า...”
“แต่ผมจะไม่ทำอะไรพรรค์นั้นหรอก” คำทักท้วงของเธอติดอยู่แค่คอด้วยความแปลกใจกับคำพูดของเขา เมื่อเขาแน่ใจแล้วว่าเธอจะฟัง จึงได้พูดต่อ “เพราะประการแรก คุณจะต้องมีความรู้สึกว่าตัวเองถูกดูถูกอย่างแรงถ้าผมใช้ความพยายามหลอกล่อให้คุณนอนกับผม บอกตามตรงว่าผมไม่เสี่ยงกับการหยามเกียรติคุณหรอก” เขาสูดลมหายใจลึก หันหลังให้เธออีก ทอดสายตาเหม่อมองออกไปภายนอก “ประการที่สอง ผมมีเหตุผลส่วนตัวมากมายหลายประการ... ที่จะไม่พาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับผู้หญิงคนไหนในตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นับตั้งแต่...”
“นับตั้งแต่...?” เธอรู้สึกแห้งผากไปทั้งลำคอ ขณะเดียวกันเขาก็หันมาเผชิญหน้ากับเธอ
“ช่างมันเถอะ” เขายิ้มให้ “ในเมื่อตอนนี้คุณก็รู้แล้วว่าผมจะไม่ล่วงเกินคุณหรือใช้เล่ห์เหลี่ยมใดๆ กับคุณ...คุณพอจะตัดสินใจไปพักที่บ้านผมได้หรือยัง?”
เธอคลึงหน้าผากด้วยปลายนิ้ว พยายามใช้ความคิดที่จะหาเหตุผลที่น่าฟังมาปฏิเสธ คำเชื้อเชิญของเขาดูจะมีน้ำหนักยิ่งขึ้นทุกที
“อันที่จริงฉันไม่ได้กลัวคุณหรอก เพราะไม่คิดว่าคุณจะเป็นผู้ชายที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้”
“อย่าเชื่อตัวเองมากเกินไปนักก็แล้วกัน” เขาหัวเราะออกมาเบาๆ “เพราะถึงยังไงผมก็ยังเห็นคุณเป็นผู้หญิงที่สวยน่ารัก มีเสน่ห์ดึงดูดใจอยู่เหมือนเดิม ถ้าคุณสวมชุดนอนสีดำที่ผมหยิบออกมาให้เมื่อคืนนี้ รับรองว่าไอ้คำพูดดีๆ อย่างวันนี้ต้องถูกโยนลงนรกหมด”
ใบหน้าของเธอแดงขึ้นมาทันที รีบเปลี่ยนเรื่องพูด
“...ฉันไม่สามารถเอาครอบครัวเข้ามารบกวนการพักผ่อนของคุณหรอกค่ะ ว่าแต่คุณพอจะรู้ไหมคะว่าเวลาที่พวกเด็กๆ ผิดหวังพวกแกจะเป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่รู้...” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเครียดขรึม “เพราะผมเสียทั้งพ่อและแม่ไปพร้อมกัน แต่ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นยังไง ลูกทั้งสองของคุณเป็นเด็กน่ารักทั้งคู่ และผมก็อยากจะได้แกมาอยู่ด้วยเหมือนกัน”
เธอส่ายหน้าอย่างสุดประหลาดใจ หารู้ไม่ว่าการทำเช่นนั้นทำให้พวงผมของเธอเรืองรองด้วยแสงอาทิตย์ที่สาดส่องอยู่ด้านหลัง เพียซต้องห้ามใจตัวเองที่จะไม่เอื้อมมือไปจับ
“ฉันคิดว่าคุณคงไม่รู้หรอกนะคะว่ากำลังพาตัวเองเข้าไปพบกับอะไร”
“นั่นปล่อยให้เป็นปัญหาของผมเองจะดีกว่า” เขาสืบเท้าเข้ามาหาแต่ไม่ถึงกับจะชิดใกล้เท่าใดนัก แต่ก็ใกล้พอที่จะได้กลิ่นโคโลญยามเช้าจากเรือนร่าง และมากพอที่จะสัมผัสละไออุ่นจากกายนาง “พูดสิ ว่าคุณจะอยู่...ผมอยากให้คุณอยู่จริงๆ นะ”
เธอแหงนหน้าขึ้นเผยให้เห็นช่วงลำคองามระหงขณะมองหน้าเขาอยู่ พยายามจะตัดสินให้ได้ว่า เธอได้ยินเสียงแห่งความสิ้นหวังจริงๆ หรือว่าเพียงแค่คิดไปเอง...บังเกิดความอยากรู้ขึ้นมาว่าขณะนี้เขาอายุสักเท่าไรแล้ว...ต้น 40 ใช่หรือไม่...? ใบหน้าของเขาประทับไว้ด้วยร่องรอยแห่งความเป็นชายชาตรีอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ไม่ถึงกับจะดุดัน แกร่งกร้าวแนวคิ้วของเขาค่อนข้างหนาและคล้ายจะมีจิตวิญญาณของมันเอง จมูกของเขาโด่งเป็นสัน ได้สัดส่วนกับริมฝีปาก ยิ่งมองริมฝีปากเขานานเท่าไร มันก็มีความคิดเชิงสังวาสเกิดขึ้นกับเธอมากเท่านั้น
เพียงแค่เหตุผลนี้ประการเดียวก็ทำให้เธอสามารถปฏิเสธคำชวนเชิญของเขาได้แล้ว มันมีเหตุผลมากมายหลายประการที่จะไม่รับคำเชิญนั้น ถ้าจะมองโดยรวม มันเป็นเรื่องของความโง่และไร้ความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิงที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับ คนแปลกหน้าตั้งอาทิตย์อย่างนั้น นอกเหนือจากความสุภาพ ความใจเย็นที่แฝงอยู่ในน้ำเสียง และความเป็นผู้มีสติปัญญาอย่างเห็นได้ชัดแล้ว เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาอีกเลย นอกจากชื่อ เขายังมีแม่ที่มีชีวิตอยู่และไม่มีภรรยาทว่าลึกลงไปในจิตสำนึกเธอเชื่อใจเขา และเธอเลือกที่จะเชื่อจิตสำนึกของตัวเอง
“คุณแน่ใจหรือคะ?”
คำตอบของเขาคือยิ้มกว้าง และตอนนั้นเองที่เด็กชายทั้งสองกระโดดโลดเต้นออกมาจากประตูลอดจ์พร้อมด้วยหนังสือพิมพ์ของเพียซ เขาคว้าร่างอดัมขึ้นไว้ในอ้อมแขน ซึ่งช่วยไม่ได้ที่อลีเซียจะรู้สึกประทับใจกับภาพนั้น
“รู้ไหมเพื่อน พวกหนูจะได้อยู่กับผมตั้งอาทิตย์แน่ะเพราะฉะนั้นที่เดียวที่พวกหนูจะต้องไปตอนนี้ก็คือ ช่วยกันเอาของในรถของแม่ไปใส่บ้านผมได้แล้ว”
เด็กชายทั้งสองต่างส่งเสียงกรีดกราดด้วยความดีใจ
“ให้เรานั่งรถจี๊ปไปกับคุณได้ไหมครับ...? เราไม่เคยนั่งรถจี๊ปมาก่อนเลยครับ”
เพียซวางมือลงบนไหล่ของเดวิด
“ได้สิ ผมยอมให้หนูนั่งรถจี๊ปไปกับผมได้ แต่ก่อนอื่นหนูจะต้องขอโทษแม่เสียก่อน”
ทั้งอลีเซีย และเดวิดต่างมองหน้าเขาด้วยความแปลกใจ
“เพื่ออะไรกันครับ?” เดวิดถาม
“ผมได้ยินทั้งน้ำเสียงและคำพูดของหนูตอนที่ผมขับรถเข้ามา หนูกล่าวโทษแม่ในเหตุการณ์ที่เธอไม่สามารถควบคุมได้ หนูคิดว่าทำอย่างนั้นมันยุติธรรมหรือเปล่าล่ะ?”
คางของเดวิดตกจนแทบจดหัวเข่า
“ไม่ยุติธรรมครับ” เขาพึมพำเสียงสั่น
“หนูจะต้องเป็นผู้นำครอบครัวต่อไปในวันข้างหน้าเพราะฉะนั้นหนูจะต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับในเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นโดยที่หนูไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงมันได้ หนูว่ายังงั้นไหม?”
“ครับผม” เด็กชายหันไปทางมารดา “ผมขอโทษครับ”
อลีเซียคุกเข่าลงกอดลูกชายไว้แน่น
“แม่ยินดีรับคำขอโทษของลูกจ้ะ เอาละ ตอนนี้เรามาตั้งใจหาความสนุกกันดีกว่า ตกลงมั้ย...?”
เดวิดยิ้มกว้าง เพียซโอบคอเด็กชายไว้พาเดินตรงไปยังรถจี๊ป
“สำหรับครั้งแรกนี่ทำไมหนูไม่นั่งหน้าคู่กับผมล่ะจะได้ช่วยกันดูทาง”
“ผมนั่งด้วยได้ไหมครับเพียซ...?” อดัมถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นขณะเดินตามต้อยๆ ด้วยขาอ้วนสั้นของแก
“เอาไว้คราวหน้าก่อน” เขาตอบพร้อมกับเอี้ยวหน้าไปมองอลีเซียซึ่งยังคงยืนอยู่ในที่เดิม “มาด้วยกันไหมครับ?” ซึ่งเธอก็พยักหน้ารับก่อนจะตอบว่า
“ไปค่ะ แต่ตอนนี้ฉันจะต้องนัดหมายกับช่างที่จะไปซ่อมบ้านเสียก่อน เดี๋ยวฉันขับตามไปก็แล้วกัน” ขณะมองตามร่างของคนทั้งสามที่นั่งรถไปด้วยกันนั้น เธอบังเกิดความสงสัยตัวเองว่าทำไมหยาดน้ำตาจึงหล่อรื้นขึ้น
เวลาในระหว่างวันยังเหลือพอสำหรับการทำกิจกรรม ภายหลังจากขนข้าวของลงจากรถจัดทุกสิ่งให้เข้าที่ทางแล้ว เพียซก็พาเด็กชายทั้งสองออกสำรวจป่าขณะที่อลีเซียเตรียมอาหารกลางวัน ซึ่งเป็นซุปกับแซนด์วิช ตกบ่าย พวกผู้ชายก็ออกสำรวจแนวป่าริมทะเลสาบกันอีกครั้ง หลังจากนั้นก็กลับมาย่างสเต๊กกันบนเตาบาร์บีคิวที่ใครบางคนมองเห็นการณ์ไกลทำขึ้นไว้ขณะที่บ้านอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง เด็กชายทั้งสองเปิดปากหาวระหว่างรับประทานอาหารค่ำ ดังนั้นพอรับประทานอาหารเสร็จ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วต่างก็เข้านอนและหลับไปในทันที
อลีเซียเดินออกมานั่งอยู่บนบันไดหน้าบ้าน อาบความเงียบของบรรยากาศในยามค่ำท่ามกลางอากาศเย็นเยือกท้องฟ้าเบื้องบนกระจ่างด้วยแสงดาว มิได้มีแสงสว่างของดวงไฟในตัวเมืองมาทำให้อ่อนสลัวลงเลย เพียซเดินออกมาสมทบโดยถือกาแฟมาสองถ้วย เธอรับมาถ้วยหนึ่งพร้อมคำขอบคุณ เธอไม่คิดว่าการปรากฏตัวของเขาจะเป็นการรบกวนแต่อย่างใด กลับรู้สึกสงบสุขในใจยิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำ
“หลับกันหมดแล้ว”
“ฉันหวังว่าเสียงกรนของอดัมจะไม่รบกวนคุณมากนักนะคะ
“มีคนบอกว่าผมก็เป็นคนนอนกรนเหมือนกัน”
อลีเซียอดคิดในใจไม่ได้ ว่าจะมีผู้หญิงสักกี่คนที่บอกเขาเช่นนั้น และเพื่อเป็นการบังคับใจตัวเองไม่ให้เบี่ยงเบนไปเรื่องนั้น เธอจึงชวนคุยเรื่องที่แน่ใจว่ามีความเป็นกลางอย่างที่สุด