บทย่อ
นับแต่วันที่สามีเสียชีวิต อลิเซีย รัสเซลส์ พยายามต่อสู้ดิ้นรนที่จะเลี้ยงดูลูกชายวัยซน 2 คนของเธออย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยการตัดสินใจแน่วแน่ว่จะไม่พึ่งพาอาศัยใครทั้งสิ้น แต่ในวันที่เธอพาลูกชายทั้งสองออกไปตั้งแคมป์ในราวป่าโดยขอยืมบ้านพัก จากผู้จัดการบริษัทนั้น เพียซ เรโนลด์ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านได้ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือ เสนอให้เธอกับลูกชายทั้ง 2 คนไปพักที่บ้านของเขาชั่วคราว เขาเป็นบุรุษเพศที่งามสง่า เปี่ยมเสน่ห์ ทว่ามีความลึกลับบางประการที่แฝงเร้นอยู่ ถึงแม้เขาจะสามารถปลุกความถวิลหาอาวรณ์ในธรรมชาติความเป็นหญิงของเธอให้ตื่นขึ้น แต่เขาก็ยังพยายามกันตัวเองให้ออกห่างจากเธอไว้ อลิเซีย ได้เรียนรู้ถึงความลับในใจเขาในภายหลัง และได้ตระหนักว่าชีวิตนั้นมิได้มีสิ่งใดเป็นเครื่องรับประกันวันสุดท้ายที่จะอยู่บนโลกนี้ได้เลย ทว่า...เธอจะสามารถเกลี้ยกล่อมบุรุษผู้สร้างความหวังครั้งใหม่ให้เกิดขึ้นแก่เธอได้หรือไม่ว่า... ความรักเท่านั้นที่จะช่วยบำรุงหล่อเลี้ยงชีวิตให้มีความสุขได้
บทที่ 1
มันเป็นภาพท่อนขาเรียวงามที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา...
เมื่อมองผ่านประตูมุ้งลวดออกไป เขาสามารถมองเห็นอาณาบริเวณภายนอกได้โดยปราศจากขอบเขตจำกัด แล้วเขาก็ได้เห็นภาพนั้น ภาพของหญิงสาวที่รูปทรงสมสัดส่วนบ่งบอกความเป็นผู้หญิงเต็มตัว เธอสวมเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์ขาสั้นที่สีซีดจางเพราะผ่านการซักรีดมานานปี จนเนื้อผ้านุ่มแนบต้นขาอย่างเห็นได้ชัด
ขณะนั้นเธอกำลังอยู่ในท่าคุกเข่า แขนทั้งสองเท้าอยู่กับพื้น เพ่งสายตาเข้าไปในกล่องฟิวส์ และลองเอานิ้วจิ้มๆ ตรงกล่องนั้นอย่างกลัวๆ กล้าๆ ขณะที่เธอโน้มตัวต่ำลงเพื่อตรวจความซับซ้อนของสวิตซ์ในกล่องนั้น เขาก็เหยียดยิ้มออกมาช้าๆ เป็นรอยยิ้มของบุรุษเพศผู้พึงใจกับภาพที่ปรากฏอยู่ต่อหน้า... เฉกเช่นแมวที่พึงใจกับหนูตัวใหญ่ที่เข้าไปติดอยู่ในกับดักหรือชาวเรือที่มองเห็นฝั่งรำไรนั้น เขายอมรับว่าออกจะอายตัวเองอยู่บ้าง แต่ไม่มากพอถึงขนาดที่จะเลิกมองดูได้
บ้านหลังนั้นมืดสนิท ไฟฉายในมือเธอก่อให้เกิดวงแสงสว่างเรือง... เพราะแสงที่สาดสว่างวาบอยู่เป็นระยะๆ แท้จริงคือแสงฟ้าแลบที่ดูจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นทุกขณะ เด็กชายสองคนที่กำลังจับตามองการใช้ความพยายามของเธออยู่ขณะนี้ดูจะกระวนกระวายยิ่งขึ้น
“ผมหิวจะตายอยู่แล้วนะ ก็ไหนแม่บอกว่าเราจะกินกันทันทีที่มาถึงยังไงล่ะ”
“ว่าแต่แม่รู้วิธีเปิดไฟแน่นะ... แต่พนันกันก็ได้ ผมว่าแม่ไม่รู้หรอก...!”
บุรุษผู้เฝ้าจับตามองดูการกระทำของเธออยู่ ทันเห็นเธอคอตกอย่างสิ้นหวัง แต่มันเป็นอาการที่แสดงออกเพียงแวบเดียวเท่านั้น แล้วเธอก็เชิดหน้าขึ้นพร้อมกับสูดลมหายใจลึกอย่างคนที่มีความแน่วแน่ในจิตใจ
“ปัญหามันอยู่ที่ฟิวส์เท่านั้นน่า เดวิด เดี๋ยวพอแม่หาที่สับสวิตช์ได้ไฟมันก็ติดเองนั่นแหละ แม่ว่าตอนนี้ไฟมันคงจะเสียเพราะพายุฝนแน่เลย... แล้วก็ฟังนะอดัม เราจะกินกันทันทีที่แม่ต่อไฟติดและจัดการเอาของลงจากรถเรียบร้อยแล้ว”
“ไหนแม่บอกว่าบ้านหลังนี้เยี่ยมมากไงล่ะ ผมว่ามันดูอึดอัดยังไงไม่รู้” เดวิดบ่นพร้อมกับแสดงความคิดเห็นต่อ “ผมว่าเราน่าจะนอนเต็นท์กันยังจะดีกว่า”
“ช่าย...นอนเต็นท์กันดีกว่า” น้องชายรีบสำทับทันที
“ก็ถ้านายสองคนคิดว่าฉันไม่มีปัญญาสับสวิตช์ไฟได้แล้วทำไมถึงยังคิดว่าฉันจะกางเต็นท์ได้ล่ะ?”
เสียงพูดของเธอบ่งบอกถึงอารมณ์ที่กำลังเกิดกรุ่นอยู่อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งบุรุษผู้ยืนสงบนิ่งอยู่ตรงประตูมุ้งลวดออกจะเห็นใจเธออย่างมาก แต่เขาก็ไม่อาจตำหนิเด็กชายสองคนที่ดูท่าทางอิดโรยได้เหมือนกัน เพราะทั้งคู่ยังเด็กอยู่มากและคงจะเดินทางกันมานานหลายชั่วโมงทีเดียว จึงเป็นธรรมดาที่การเดินทางมาถึงบ้านน้อยริมทะเลสาบหลังนี้ไม่น่ารื่นรมย์เลยสำหรับหนุ่มน้อยทั้งสอง
เขาเห็นตั้งแต่ตอนที่แสงไฟหน้ารถสาดสว่างเข้ามาตามทางวิ่งแล้ว ครู่ต่อมา... เขาก็ตัดสินใจที่จะแสดงความกล้าหาญกับการที่จะต้องผจญพายุใหญ่อย่างที่เขาไม่เคยได้พบเห็นมาก่อนเลยในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ด้วยการเดินไปที่บ้านหลังนั้นซึ่งอยู่ห่างจากบ้านหลังของเขาเพียงแค่ร้อยหลาทว่าเป็นร้อยหลาที่จะต้องเดินผ่านเข้าไปในบริเวณป่าโปร่งซึ่งเป็นการรับประกันความเป็นส่วนตัวของเจ้าของบ้านแต่ละหลัง อย่างไรก็ตาม การเดินผ่านป่าในขณะที่พายุฝนกำลังเพิ่มความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับเช่นนี้ นับว่าเป็นการกระทำที่เบาปัญญาอย่างที่สุด แต่ขณะนี้ขาเริ่มเป็นห่วงครอบครัวของเพื่อนบ้านผู้มาใหม่ไฟฟ้าภายในบ้านของเขาเองก็ดับวูบลงเมื่อสิบนาทีก่อนหน้าที่คณะของสามแม่ลูกจะเดินทางมาถึง ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่าอีกนานสักแค่ไหนกว่าที่จะใช้การได้อีกครั้ง
และยิ่งขณะนี้ เมื่อเขาได้ยินเสียงคร่ำครวญของเด็กชายทั้งสอง และความรู้สึกที่ใกล้จะสิ้นหวังที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเธอด้วยแล้ว ทำให้เขาดีใจยิ่งนักที่ตัดสินใจเดินตัดป่าเข้ามาเธอกำลังอยู่ในภาวะที่ต้องการความช่วยเหลือ ทั้งเธอยังตัวคนเดียวอีกด้วย อย่างน้อยขณะนี้เขาก็ไม่เห็นคนที่เป็นสามีหรือพ่อของเด็กสองคนนั่น...
“ที่จริงเราน่าจะแวะที่เบอร์เกอร์ ทาวน์กันมากกว่าทั้งเดวิดและผมก็บอกแม่แล้วไงว่าเราจะกินกันที่นั่น จริงไหมเดวิด...?”
“ตอนแรกผมคิดว่ามันจะเป็นการเดินทางแล้วก็มาตั้งแคมป์กันให้สนุกเสียอีก ผมอยากจะตั้งแคมป์โดยนอนในเต็นท์จริงๆ ไม่ใช่เข้าไปนอนในบ้านสะตึๆ พรรค์นี้สักหน่อย”
คราวนี้หญิงสาวยืดตัวขึ้นนั่งยองๆ มือทั้งสองข้างเท้าสะเอวอยู่
“เอาละ...ถ้านายฝันว่าตัวเองเป็นนักบุกเบิกรายแรกของโลกละก็ เชิญเดินออกไปกลางฝนแล้วก็ไปตกปลาหรือไม่ก็ล่าสัตว์มาเป็นอาหารค่ำของเราได้เลย” เด็กชายทั้งสองเงียบกริบลงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเธอเข้า
“ฉันมาที่นี่เพราะเธอสองคน ได้ยินไหม...? รู้ก็ทั้งรู้ว่ามีคนเขาให้เรายืมบ้านหลังนี้เพื่อพักผ่อน ในเมื่อเราไม่มีเต็นท์ไม่ได้เตรียมการอะไรไว้ล่วงหน้า ฉันก็คิดว่าเป็นการดีที่สุดที่เราจะรับความเอื้อเฟื้อนั้น...ฉันห้ามฝนฟ้าไม่ให้ตกไม่ได้นี่และขณะนี้ฉันก็ได้ใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะเปิดไฟให้ได้ เพราะฉะนั้นอย่าให้ฉันได้ยินเสียงอีกเชียวนะ...!”
เด็กชายสองพี่น้องหน้าม่อยเมื่อถูกเอ็ดตะโรใส่แบบนั้น ได้แต่มองหน้ากันแล้วก็ส่ายหัว ดูเหมือนจะปักใจเชื่อเสียแล้วว่าการเดินทางเที่ยวนี้เป็นอะไรที่ยิ่งกว่าความวิบัติอย่างแน่แท้
“พี่ว่าแม่จะเปิดไฟได้ไหม...?” เจ้าตัวเล็กอดกระซิบถามพี่ชายไม่ได้
“ไม่มีทาง... แล้วนายล่ะ ...?”
“ก็ไม่มีทางเหมือนกันนั่นแหละ”
บัดนี้ถึงเวลาที่เขาควรจะปรากฏตัวขึ้นได้แล้ว เกิดมาในชีวิตเขาก็ไม่เคยคิดจะลอบมองใครโดยไม่บอกกล่าวให้อีกฝ่ายหนึ่งรับรู้ว่ายังมีเขาอีกคนหนึ่งมาก่อน แต่ครั้งนี้เขาออกจะสนุกกับการทำแบบนั้น อีกประการหนึ่ง เขาก็มองเห็นอยู่ว่าครอบครัวนี้กำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างไม่รู้ตัว เคราะห์ร้ายที่กำลังเกิดอยู่นั่นเองที่ส่งบุคคลทั้งสามมาถึงมือเขา เขาอดยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กชายทั้งสองและได้ยินที่เธอระเบิดโมโหเข้าใส่ เขาบอกกับตัวเองอยู่ว่า อันที่จริงการที่ได้มาเห็นอะไรอย่างนี้เสียบ้างมันช่วยให้เขาคลายความเครียดเกี่ยวกับเรื่องของตัวเองลงได้อย่างมาก แม้ว่ามันจะดูไม่ยุติธรรมเท่าไรนัก แต่มันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว...
และมันก็เป็นธรรมชาติมนุษย์อีกเช่นกันที่ย่อมจะต้องบังเกิดความปรารถนาที่ที่มแทงไปทั่วร่าง ทุกครั้งที่เขามองไปทางท่อนขาเปลือยเปล่าเพรียวงามขนาดนั้น ซึ่งมันก็ออกจะไม่ยุติธรรมด้วยเช่นกัน คล้ายกับจะดูหมิ่นความเป็นภรรยากับมารดาของเด็กชายถึงสองคนอย่างมากที่บังเกิดความรู้สึกเช่นนี้แต่มีผู้ชายคนไหนที่สามารถยับยั้งความคิดของตนเองได้บ้าง...?
“มอม...ผมอยากเข้าห้องน้ำ” หนุ่มน้อยอดัมร้องขึ้น
“เบอร์หนึ่งหรือเบอร์สองล่ะ?”
“เบอร์หนึ่งฮะ...จะแย่อยู่แล้ว”
“เอาละ...ในเมื่อเรายังหาห้องน้ำไม่พบ เพราะฉะนั้นออกไปข้างนอกโน่น”
“แต่ฝนมันตกนี่...”
“แม่รู้ อดัม” เธอพยายามซ่อนความหงุดหงิดในน้ำเสียงไว้ “งั้นก็โน่น...ไปยืนตรงระเบียงแล้วก็นี่ตรงนั้น”
“ก็ได้ฮะ...” เด็กชายรับคำไม่เต็มเสียง ตั้งท่าจะเดินไปทางประตู “เฮ้...มอม...!”
“ว่าไง...?” เธอกำลังใช้ความพยายามกับสวิตช์ไฟอันหนึ่งอยู่
“มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น”
หญิงสาวหันขวับมาทันทีแทบจะล้มหงายหลัง
“ผู้ชาย...งั้นเรอะ...?” เธอถามเสียงสั่น
เขารีบกดสวิตช์ไฟฉายอย่างรวดเร็ว ด้วยความหวังว่าจะไม่ทำให้เธอต้องตกใจมากไปกว่านี้ และแสงจากดวงไฟแรงกล้าก็สาดสว่างจนมองเห็นเนินทรวงที่เครียดเคร่งซ่อนอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตซึ่งผูกเป็นปมไว้ตรงเอว ปอยผมสีบลอนด์หลุดจากห่วงที่รัดรอบเป็นหางลา กับดวงตาสีฟ้าที่กำลังเบิกกว้างด้วยความตกใจ
อลีเซีย รัสเซลล์หอบหายใจกระชั้น หัวใจเต้นระทึกแสงที่สาดสว่างอยู่นั้นทำให้เห็นภาพเขาเป็นเงาดำที่ทาบอยู่กับประตูมุ้งลวด คำถามแรกที่ผ่านเข้ามาในใจก็คือ...ก่อนหน้านี้เธอได้ล็อกประตูไว้หรือเปล่า...? ถึงจะล็อกแต่จะมีความหมายอะไรในเมื่อผู้ชายคนนั้นสูงใหญ่น่ากลัวมาก โดยเฉพาะเมื่อฉากหลังในยามนี้คือท้องฟ้าที่คลุ้มคลั่งสาดสว่างอยู่ด้วยพายุฝน...และเขากำลังเดินเข้ามาในบ้าน...!