บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

เขาดึงบานประตูมุ้งลวดให้เปิดออก มันหลุดจากมือเขากระแทกกับผนังด้านนอกด้วยแรงลม ทั้งเธอและลูกชายทั้งสองต่างล้มลงกองอยู่กับพื้นตรงนั้นเอง เขาถลันเข้ามาทิ้งร่างลงในท่าคุกเข่า ดวงตาของเธอแทบจะบอดด้วยความสว่างจากไฟฉาย ทำให้มองเห็นเขาไม่ชัด นอกจากจะเป็นเพียงร่างที่กำลังโน้มอยู่เหนือตัวเอง เธออ้าปากจะร้องบอกให้ลูกชายออกวิ่งโดยเร็ว

“คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?” เขาดับไฟฉายลง ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความมืดไปเป็นครู่ “ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณต้องตกใจขนาดนี้เลยนะ มา...ผมจะช่วยพยุงขึ้น”

อลีเซียขยับตัว มือที่ยื่นมาหดกลับ...

“ฉะฉัน...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ... ก็...แค่ตกใจนิดหน่อยเท่านั้น” เธอผุดลุกขึ้นยืนโดยไม่ต้องรับความช่วยเหลือจากเขาความรู้สึกแรกที่ผ่านเข้ามาคือห่วงในลูกชายทั้งสองที่ต่างกำลังจ้องมองผู้ชายแปลกหน้าอย่างหวาดระแวง “เดวิด...พาอดัมออกไปข้างนอก...ตรงระเบียงนั่น...ให้น้องทำ...เอ้อ...ที่จะต้องทำเสียก่อน” อย่างน้อยถ้าเธอจะถูกข่มขืนแล้วฆ่า ก็ไม่อยากให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นต่อหน้าลูกชาย พระเจ้า... โทรศัพท์อยู่ตรงไหนกันละนี่...?...ทำไมจนป่านนี้แล้วไฟมันถึงยังไม่ติดอีก...? ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน แล้วเขาโผล่มาจากไหนกันแน่...? หัวใจของเธอกระแทกกระทั้นอยู่กับซี่โครง ทั้งยังเต้นกึกก้องจนอื้ออึงอยู่ในหู

“ไฮ...” เดวิดเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายเสียงใส ซึ่งทำให้อลีเซียนึกด่าตัวเองที่สอนให้ลูกทั้งสองรู้จักมีสัมมาคารวะ

และมีอัธยาศัยไมตรีต่อผู้อื่น “ผมชื่อเดวิดครับ...แล้วนี่น้องผมชื่ออดัม...ผมเป็นลูกคนโต”

“เฮลโล...” คนแปลกหน้าทักทายตอบมา อลีเซียคิดว่ามันมียิ้มแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา เพียงแต่เธอมองไม่เห็นเพราะค่อนข้างจะมืดมาก “ผมชื่อเพียซ”

“เดวิด...” อลีเซียเอ่ยขึ้น แต่ก็ถูกขัดจังหวะโดยลูกชายคนโตเข้าอีก

“เรากำลังจะมาตั้งแคมป์กันที่นี่สักอาทิตย์ครับ แต่แม่ผมเปิดไฟไม่เป็น แม่ผมไม่ค่อยมีฝีมือเรื่องพรรค์นี้หรอกครับ” คนแปลกหน้าหันมาทางเธอก่อนจะเลื่อนกลับไปยังเด็กชายทั้งสอง

“มีแม่ไม่กี่คนหรอกที่ทำได้... แต่ถึงยังไงก็ยังเปิดไม่ได้อยู่ดี เพราะไฟฟ้าดับตั้งแต่ก่อนหน้าจะเกิดพายุแล้ว”

“เด...วิด” เสียงเรียกนั้นผ่านไรฟันที่ขบกันแน่นออกมา

“ทำไมหนูไม่พาน้องชายออกไปข้างนอกก่อนล่ะ ผมจะช่วยดูแลแม่ให้” คนแปลกหน้าแนะนำ

“โอเค...มาสิ อดัม”

...เสียงประตูมุ้งลวดกระแทกปิดตามหลังเด็กชายทั้งสอง และผู้ชายคนนั้นก็หันมาทางอลีเซีย

“รู้สึกว่าการเริ่มต้นของคุณออกจะแย่สักหน่อยนะพวกนักผจญภัยไม่ได้มีความสุข หรือสะดวกสบายมากนัก

หรอก”

ถ้าเขาเป็นนักข่มขืนหรือฆาตกร ก็ต้องถือว่าเป็นคนที่สุภาพคนหนึ่งทีเดียว... แต่ก็เป็นที่ร่ำลือกันหนาหูไม่ใช่หรือว่าฆาตกรที่ชื่อบอสตัน สแตรงเกอร์ก็เป็นคนสุภาพด้วยเช่นกันรวมทั้งแจ๊ก เดอะ ริปเปอร์ด้วย...

“แต่ฉันแน่ใจนะว่า พอไฟมาแล้วเด็กๆ ได้กินอะไรเสียหน่อยอารมณ์น่าจะดีกว่านี้” เห็นไหม...เธอเองก็สามารถพูดจาน่าฟังทีเดียว ไม่ได้แสดงความตื่นกลัวหรือหวั่นไหวให้เขาเห็นแม้แต่น้อย

“ตะเกียงอยู่ไหนล่ะครับ ผมจะช่วยจุดให้”

รู้สึกว่ามันจะมากเกินที่จะใจเย็น บังคับตัวเองให้สงบอยู่ต่อไปได้

“ตะเกียง...?” เธอต้องแสร้งทำเป็นไม่ยินดียินร้ายกับคำถามของเขา จะต้องแสดงท่าสากลที่บรรดาหญิงสาวทั้งหลายทั่วโลกนำมาใช้เมื่อรู้สึกว่าถึงเวลาที่จะต้องแสดงท่าเช่นนั้นออกมา เธอจึงแสร้งทำเป็นยกมือขึ้นเหน็บปอยผม “ไม่รู้สิคะเขาให้เรายืมบ้านหลังนี้มา ฉันยังไม่มีโอกาสสำรวจในบ้านเลย...”

“แล้วเทียนไขล่ะ?”

เธอสั่นศีรษะปฏิเสธ

“นี่... คุณไม่ได้เอาอุปกรณ์เครื่องใช้เวลาเกิดเหตุฉุกเฉินติดมาด้วยเลยหรือ?”

“ไม่มีหรอก” เธอตอบห้วนๆ ชิงชังหางเสียงที่บอกความไม่อยากเชื่อของเขาอย่างที่สุด เพราะมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนปัญญาอ่อน นี่เป็นการออกแคมป์ครั้งแรกด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่งของเธอกับลูกชาย ก็แล้วคนที่เพิ่งออกมาตั้งแคมป์ครั้งแรกแบบนี้จะให้มันดีวิเศษสักแค่ไหนกันเชียว...? “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เดี๋ยวพอไฟมาทุกอย่างก็เรียบร้อยเองนั่นแหละ”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณไม่ไปนั่งรอเวลาให้ฝนหยุดตกที่บ้านผมก่อนล่ะ...เราจะต้องเดินผ่านป่าไปแต่ไม่ไกลเท่าไรหรอก”

“ไม่...” เธอตอบออกไปอย่างรวดเร็ว เขาทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถมากกว่าที่กำลังเป็นอยู่ ความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นในใจทำให้เธอลืมเรื่องอันตรายที่มีเขาเข้ามาอยู่ใกล้เสียสนิท แต่ความตื่นกลัวก็หวนกลับมาทันทีเมื่อได้ยินเขาชวนเธอกับลูกไปพักรอที่บ้านของเขา

“ผมว่ามันเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยได้ ผมจะทำอาหารให้พวกเด็กๆ กินด้วยเตาน้ำมันก๊าดเอง”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ... จริงๆ นะคะ... เอ้อ... มิสเตอร์...เอ้อ...”

“เพียซครับ”

“ขอบคุณมากนะคะมิสเตอร์เพียซ...แต่...”

“เดี๋ยวก่อนครับ เพียซน่ะเป็นชื่อแรก...ชื่อเต็มๆ ของผมคือเพียซ เรย์โนลด์ครับ”

“ค่ะ มิสเตอร์เรย์โนลด์... ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เราจัดการกันเองได้ ฉันยังไม่อยากทิ้งบ้าน”

“อ้าว...ทำไมล่ะครับ?”

เธอได้ยินเสียงลูกที่กำลังเล่นกันอยู่บนระเบียงด้านหน้าด้วยการเอามือรองน้ำฝนที่หลั่งไหลลงมาจากชายคาอย่างสนุกสนาน “เอ้อ...คือสามีฉันบอกว่าจะมาสมทบกับเราคืนนี้เพราะฉะนั้นเราควรจะรอเขาอยู่ที่นี่ค่ะ ไม่อย่างนั้นเขาต้องเป็นห่วงแย่เลย”

“อ้อ...” เขายกมือขึ้นลูบต้นคออย่างตัดสินใจไม่ถูก “ผมไม่อยากทิ้งคุณไปขณะที่สถานการณ์กำลังเป็นอยู่อย่างนี้เลย...ทำไมคุณไม่เขียนโน้ตทิ้งไว้ บอกให้เขารู้ว่าคุณรออยู่ที่ไหนล่ะ?”

“เฮ้... มอม เราหิวจะขาดใจตายอยู่แล้วนะ” เดวิดร้องเพราะทั้งเขาและน้องชายเบื่อหน่ายกับการเล่นน้ำฝนเต็มทีและกำลังเดินตัวตรงเข้ามาในห้อง

“เราหิวไส้จะขาดแล้ว...” อดัมสำทับ

“จริงๆ นะ... ผมคิดว่ามันเป็นวิธีดีที่สุดที่คุณกับลูกจะไปพักที่บ้านผมก่อน”

“ฉัน...”

ก่อนที่อลีเซียจะมีโอกาสปฏิเสธต่อ ชายหนุ่มก็หันไปทางเด็กชายทั้งสอง

“หนูว่าชิลลี่มันฟังเข้าท่าไหม...? จะบอกให้นะว่าถ้าหนูสองคนไปบ้านผม แค่เอาออกมาอุ่นแป๊บเดียวก็ได้กินแล้ว”

“เฮ้ เยี่ยมไปเล้ย” เดวิดร้องด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

“ช่าย... เยี่ยมด้วย...” อดัมร้องตาม

“แต่หนูสองคนจะต้องเดินตัดป่าก่อนจะถึงบ้านผมนะ...” ชายหนุ่มเตือน “แถวนี้ไม่มีถนนให้ขับรถเข้าไปได้หรอก”

“เราไม่รังเกียจเลย จริงไหมอดัม?” ทั้งสองตั้งท่าจะเดินไปทางประตู

“หยุดนะ...!” อลีเซียร้องห้ามเสียงเขียวด้วยความตระหนก แต่ลูกชายของเธอวิ่งออกไปข้างนอกแล้ว

“มาเถอะครับ...คุณนาย...เอ้อ...”

“รัสเซลล์ค่ะ...”

“ครับ คุณนายรัสเซลล์ ผมเห็นจะทิ้งคุณกับลูกไว้ที่นี่ตามลำพังไม่ได้หรอก ขอยืนยันเลยครับว่าผมไม่ใช่คนประเภทที่คุณจะต้องกลัว”

ทันใดนั้นสายฟ้าก็ฟาดลงราวจะผ่าท้องฟ้าที่มืดมิดออกเป็นสองเสี่ยง ทำให้อลีเซียได้คิดว่าความหวังที่จะเห็นไฟฟ้าสว่างขึ้นอย่างเร็วทันใจเห็นจะรางเลือนเต็มที... เธอปัญญาอ่อนจริงๆ ที่ไม่ได้คิดเตรียมการล่วงหน้าสำหรับเหตุฉุกเฉินเช่นนี้ แต่ตอนนี้มันก็สายเกินกว่าจะแก้ไขได้เสียแล้วถ้าไปบ้านเขา อย่างน้อยลูกทั้งสองของเธอก็ยังจะได้กินอาหารเมื่อฝนซาลงทุกคนก็สามารถกลับมาที่บ้านนี้รอเวลากว่าจะรุ่งเช้าได้

เธอถอนหายใจอย่างยอมแพ้ ได้แต่ภาวนาอยู่ในใจขอให้เธอสามารถเชื่อถือผู้ชายคนนี้ได้ โดยเฉพาะเมื่อเธอเอาชีวิตทั้งของตัวเองและลูกลงไปเสี่ยง

“ก็ได้ค่ะ” สิ่งเดียวที่เธอเอาติดตัวไปด้วยคือกระเป๋าถือคงจะมีแต่คนสติไม่ดีเท่านั้นที่จะขนกระเป๋าลงจากรถขณะที่ฝนกำลังตกหนักขนาดนี้

เมื่อออกมาถึงระเบียงหน้าบ้าน เพียซ เรย์โนลด์ก็คว้าตัวอดัมขึ้นอุ้ม ออกคำสั่งให้เดวิดจับมือแม่ไว้ให้มั่น

“โอเค ทุกคน...หน้าเดิน...จับมือผมไว้ให้แน่นนะครับมิสซิสรัสเซลล์...” ในครู่สั้นๆ นั้น อลีเซียได้ก้มลงมองฝ่ามือเรียวยาวแข็งแรงที่ยื่นมาให้ และแล้ว...เธอก็วางมือตัวเองลงและอุ้งมือนั้นก็กระชับมือเล็กๆ ของเธอไว้แน่นกระชับ

สายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนักที่มแทงลงบนเนื้อตัวของทุกคนราวปลายเข็มนับล้าน กระแสลมกระชากเรือนผมและเสื้อผ้ากระแทกกระทั้นเข้าใส่เนื้อตัวอย่างไร้ปรานีอดัมซุกใบหน้าเล็กๆ ของแกอยู่กับซอกคอของมิสเตอร์เรย์โนลด์เดวิดพยายามจะแสดงความกล้าหาญอย่างดีที่สุด ทว่า ความกลัวดูจะมีอำนาจเหนือกว่าพยายามซุกตัวอยู่กับแม่ แต่เพียงครู่ทุกคนก็มองเห็นบ้านอีกหลังหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในแมกไม้

“เกือบถึงแล้ว พรรคพวก” มิสเตอร์เรย์โนลด์ร้องบอกแข่งอยู่กับเสียงพายุ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel