บทที่ 3
ทุกคนวิ่งฝ่าฝนเข้าไปใต้หลังคาระเบียงบ้าน ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่สายฟ้าฟาดลงอีกครั้ง ทำให้กระจกหน้าต่างสะเทือนไปทั่ว
“ถอดรองเท้าทิ้งไว้ตรงนี้ดีกว่านะครับ” เพียซบอกขณะวางร่างอดัมลงยืน จากนั้นทุกคนก็เดินเท้าเปล่าเข้าไปในตัวบ้าน ซึ่งมีแสงสว่างพอประมาณจากตะเกียงน้ำมันก๊าดที่เพียซจุดทิ้งไว้ กับถ่านหินที่คุกรุ่นอยู่ในเตาผิง
“ผมหนาวจัง ทุกคนเป็นยังไงกันมั่ง...?” เขาเดินไปคุกเข่าลงเบื้องหน้าเตาผิง... ใช้เหล็กเขี่ยถ่านไฟในเตาผิง เมื่อเหลียวหลังไปมองก็เห็นแขกทั้งสามของเขายืนเกาะกลุ่ม เนื้อตัวสั่นด้วยความหนาวเย็นของอากาศอยู่ตรงหน้าประตูด้วยท่าทางไม่แน่ใจ “เดวิด ช่วยเอาไม้นั่นให้ผมสักท่อนเถอะ...ขอบใจ” เขาพูดต่อกันไปเลยเมื่อเด็กชายหยิบฟื้นจากลังที่ตั้งอยู่ใกล้ประตู เดินแกมวิ่งเข้ามาส่งให้บุรุษผู้ที่แกถือว่าเป็นฮีโร่ในยามนี้
“ขอบใจอีกครั้งนะ” เพียซขยี้หัวเด็กชายอย่างเอ็นดู “ในห้องน้ำมีผ้าเช็ดตัวสำหรับหนูกับน้อง แล้วก็เอาออกมาฝากแม่ด้วย อย่าลืมล่ะ”
“ครับกระผม” เดวิดรับปากอย่างยินดีก่อนจะวิ่งตรงไปยังประตูซึ่งเป็นทางสู่ห้องน้ำ บ้านหลังนี้มีลักษณะเป็นห้องขนาดใหญ่ ซึ่งแบ่งพื้นที่ออกเป็นห้องนั่งเล่น ห้องนอนห้องรับประทานอาหารและครัวเล็กๆ อยู่ในตัวพร้อมสรรพมีเก้าอี้สำหรับนั่งพักผ่อนกับโซฟาชุดใหญ่จัดเรียงไว้เบื้องหน้าเตาผิง ส่วนเตียงนอนนั้นเป็นเตียงคู่ที่ตั้งหลบอยู่ใต้ฝ้าเพดานตรงส่วนลาดต่ำ ซึ่งเป็นพื้นที่ใต้บันได ที่ทอดขึ้นสู่ชั้นลอยซึ่งใช้เป็นห้องนอนเปิดชั้นบน บรรยากาศมีความเป็นบ้านที่น่าอยู่ดูอบอุ่น และสะอาดเอี่ยม
เดวิดเดินหอบผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำ หลังจากส่งผืนแรกให้เพียซแล้วก็เดินต่อไปยังที่ซึ่งมารดากับน้องชายยืนรออยู่ อลีเซียมีความรู้สึกเหมือนเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องจริง เฝ้าแต่ถามตัวเองอยู่ว่า เธอเข้ามาทำอะไรอยู่ในบ้านของคนแปลกหน้าที่มาปลีกวิเวกอยู่กลางบริเวณภูเขาที่มีแต่ป่าเปลี่ยวล้อมรอบอย่างนี้ ...? มันแย่พออยู่แล้วถ้าเขาจะเป็นคนแก่เฒ่าชราโรย หรือเป็นคนใจดีมีเมตตาแต่รูปร่างหน้าตาน่าเกลียดทั้งออกจะเบาปัญญา แต่มันไม่ใช่เช่นนั้น บุรุษผู้ก้าวเข้าไปช่วยชีวิตเธอกับลูกไว้เป็นผู้ชายวัยหนุ่ม ที่รูปหล่อจนน่ากลัวเปี่ยมด้วยพลังและเข้มแข็งมาก ซึ่งประการหลังนี้เป็นอะไรบางอย่างที่เธอไม่ได้สังเกตเห็น จนกระทั่งได้มาเห็นเขาเต็มตาท่ามกลางแสงสว่างของดวงไฟ
เรือนผมของเขาเป็นสีน้ำตาลเทาแซมสีเงิน ได้รับการตัดขลิบจากช่างที่มีฝีมือ ค่อนข้างยาวกว่าที่แฟชั่นกำหนด เมื่อเขาเอี้ยวศีรษะ อลีเซียก็ได้พบว่าเขามีดวงตาสีเขียวเข้มที่สะท้อนแววราวมรกตน้ำงาม แนวคิ้วบ่งบอกความเป็นชายชาตรีอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่เขาเอื้อมมือมาหยิบท่อนฟืนเสือกใส่เข้าไปในเตาผิงนั้น เธอสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใต้เสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายได้อย่างชัดเจน
เขาสามารถสั่นประสาทเธอได้อย่างประหลาด ไม่ใช่เพราะเธอคิดว่าเขาจะทำอันตรายกับเธอและลูก เพราะไม่มีผู้ชายคนไหนที่อุ้มเด็กเดินฝ่าพายุฝน คอยพึมพำปลอบโยนให้คลายความตระหนกอยู่ตลอดเวลาจะเป็นฆาตกรได้ ยิ่งในเรื่องของการเป็นนักข่มขืนด้วยแล้ว... เห็นได้ชัดว่าคนแบบนี้ไม่มีทางที่จะใช้กำลังบังคับขืนใจผู้หญิงแน่
“ผมดีใจนะนี่ที่ตัดสินใจติดเตาผิงแต่หัวค่ำ ตอนนั้นมันก็หนาวพอดูอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ยิ่ง...”
เพียซหยุดชะงักกลางคัน ทั้งนี้เพราะถ้าอลีเซียรู้สึกแปลกใจที่ได้พบว่าเขาเป็นเจ้าชายทรงเสน่ห์ ปฏิกิริยาที่เธอแสดงออกก็ยังไม่สามารถเปรียบกับความรู้สึกที่กำลังระเบิดอยู่ในอกและช่องท้องของเขาในยามนี้ ขณะที่เขายืนขึ้นและหันมาทางเธอ พวงผมของเธอเปียกโชกรุ่ยร่ายปรกลงบนเนียนแก้มช่วงคอและแนวไหล่ เสื้อที่เธอสวมใส่อยู่เปียกโชกเช่นกันและแนบเน้นอยู่กับทรวงอกเต่งตึง ยอดทรวงชูชันด้วยความหนาวยะเยือก เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะถอนสายตาจากตรงนั้น ทั้งเท้าที่เปลือยเปล่ายิ่งทำให้ท่อนขาของเธอดูยาวระเหิดระหงยิ่งขึ้น เขาแทบอยากจะถลาเข้าไปประคองบีบนวดเพิ่มความอบอุ่นให้เหลือเกิน
แต่ในที่สุดเขาก็ถอนสายตาจากเธอจนได้ ด่าตัวเองกับความปรารถนาเร้นลับที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่ในใจ เขาไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้หญิงคนไหนอีกเลยนับตั้งแต่... เขาบอกกับตัวเองอยู่ว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยาและแม่ทั้งเธอก็ไม่ได้ทำอะไรที่ยวนยั่วเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะจริงๆ แล้วดูเหมือนเธอยังมีท่าทางใจคอไม่ดีอยู่ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ถ้าสีหน้าของเขาจะเปิดเผยให้เธอได้ล่วงรู้ความนัยถึงสิ่งที่กำลังเกิดอยู่ระหว่างต้นขาทั้งสองแล้ว เขาก็ไม่สมควรจะตำหนิเธอเลย...
“ผมว่าทางที่ดีควรจะเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสียก่อนนะครับ คุณเอาพวกเด็กๆ เข้าไปในห้องน้ำก่อน ผมจะไปดูซิว่าจะหาเสื้อผ้าอะไรให้แกใส่กันได้บ้าง”
“ก็ดีค่ะ” อลีเซียรีบต้อนลูกชายเข้าห้องน้ำ ซึ่งความอุ่นในห้องนั้นน่าจะช่วยให้เนินทรวงคลายความเคร่งครัดลงเธอรู้ว่าเขาสังเกตเห็นในปฏิกิริยาที่เกิดกับตัวเธออยู่
ครู่ต่อมาจึงมีเสียงเคาะดังขึ้นตรงบานประตูแม้ขณะนั้นจะเปิดกว้างอยู่เพื่อให้แสงสว่างสาดส่องเข้ามา อดัมกับเดวิดนั้นถูกแม่จับเปลื้องเสื้อผ้าออกจนเหลือแต่กางเกงในอลีเซียกำลังเอาผ้าเช็ดตัวลูกทั้งสองแรงๆ อยู่
“ตอนนี้ผมอุ่นชิลลี่ไว้บนเตา... แล้วก็พบเสื้อนี่ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้า” เขายื่นเสื้อยืดสองตัวที่มีตราสถาบัน UCLAประทับอยู่มาให้
“เยี่ยมไปเลย” เดวิดร้อง รับเสื้อตัวหนึ่งมาสวมเข้าทางหัว ชายเสื้อยาวเลยหัวเข่า
“ขอบคุณมิสเตอร์เรย์โนลด์ก่อนเดวิด ที่ท่านให้ขอยืมเสื้อมาสวม” อลีเซียยืนขึ้นช้าๆ ไม่สบายใจเลยที่ยังสวมเสื้อที่เปียกโชกกับกางเกงขาสั้นตัวเดิมอยู่ ตอนที่ออกเดินทางจากลอสแองเจลิสเมื่อตอนบ่าย ทุกคนต่างมีความสุขกับอากาศอุ่นนอกฤดูกาลอย่างมาก ยิ่งขณะขับรถตัดเข้าไปในราวป่ากับเดวิดและอดัมด้วยแล้ว กางเกงขาสั้นตัวเก่ากับเสื้อเชิ้ตที่สวมใส่อยู่ดูเหมาะกับบรรยากาศการเดินทางยิ่งนัก
“ขอบคุณครับ มิสเตอร์เรย์โนลด์” เดวิดกล่าวขณะช่วยสวมเสื้อให้น้องชาย ตัวนี้ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่เพราะชายเสื้อยืดยาวลงไปถึงข้อเท้าอดัม
“ด้วยความยินดีอย่างยิ่งเชียวล่ะ แต่เสื้อสองตัวนั่นไม่ใช่ของผมหรอก บ้านหลังนี้เป็นบ้านของบริษัท เพราะฉะนั้นทุกคนที่มาใช้ก็มักจะทิ้งอะไรๆ ที่เป็นสมบัติของตัวเองไว้ ผมว่าถ้าหนูจะเก็บเสื้อไว้เลยก็คงไม่มีใครว่าอะไรหรอก”
“ได้จริงๆ เหรอฮะ...?” เด็กชายทั้งสองรีบวิ่งออกจากตรงนั้นเหมือนเพื่อนสองคนของผีน้อยแกสเปอร์ไม่มีผิด ที่สองพี่น้องเริ่มมีความสุขอีกครั้งก็เพราะได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะสมหวังที่จะได้รับประทานอาหารเสียที
“ผมเห็นจะต้องใช้เวลาเล็กน้อยที่จะหาเสื้อผ้าให้คุณเปลี่ยน” เพียซพยายามรักษาระดับสายตาไว้เพียงแค่ใบหน้าของเธอซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำ พวงผมที่เริ่มแห้งขดตัวเป็นก้อนระอยู่กับเนียนแก้ม แต่พระเจ้า...เธอมีปากที่น่าจูบอะไรเช่นนี้... เสียงจากภายในของเขาครวญคร่ำขึ้นมาอีก
อลีเซียขยับเท้าอยู่ไปมา
“สำหรับฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวก็แห้ง อย่าลำบากเลยค่ะ” เธอสังเกตเห็นอยู่ว่าสายตาของเขากำลังเลื่อนต่ำลงจึงรีบเดินออกจากตรงนั้น “ฉันคิดว่าหาอะไรให้พวกแกกินก่อนจะดีกว่า...” เธอพูดเป็นเชิงออกตัว ขณะนี้ลูกชายทั้งสองของเธอนั่งโต๊ะที่มีจานจัดเตรียมไว้ 4 ที่เรียบร้อยแล้ว มีตะกร้าใส่ขนมปังกรอบกับจานแบนสำหรับใส่เนยแข็ง ซึ่งมีแอปเปิลวางอยู่ตรงกลางตั้งอยู่ก่อน ส่วนหม้อชิลลี่กำลังเดือดปุดอยู่บนเตาน้ำมันก๊าด