บทที่ 4
เธอถือชามสำหรับทุกคนมาที่โต๊ะ เมื่อเพียซตักใส่ชามของเด็กทั้งสองแล้ว เขาก็ช่วยเลื่อนเก้าอี้ให้เธอได้เข้าไปนั่งสะดวกขึ้น ทันใดเสียงท้องร้องก็ทรยศเธอซึ่งทำให้เพียซถึงกับหัวเราะออกมา
“ผมว่าน่าจะไม่ใช่แต่เด็กแล้วละมังที่หิวน่ะ?”
เธอยิ้มให้เขาอย่างเปี่ยมอัธยาศัย
“บังเอิญวันนี้ฉันไม่ค่อยได้กินอะไรน่ะค่ะ”
“มอมเขาก็ชอบพูดแบบนี้เสมอล่ะฮะ” เดวิดสอดขึ้น “ไม่ยอมกินอาหารเช้า อาหารกลางวันเพราะกลัวอ้วน”
“ช่าย...” อดัมพูดหลังจากพยายามกล้ำกลืนขนมปังกรอบที่เคี้ยวอยู่เต็มปากลง “นอกจากนั้นนะ... เขายังต้องออกกำลังบริหารร่างกายทุกเช้าตามพวกผู้หญิงที่แสดงอยู่ในโทรทัศน์ด้วย เขาจะต้องนอนลงบนพื้นห้อง เหยียดเท้าไปข้างหน้าแล้วก็ทำหน้าแบบนี้...” เด็กชายทำหน้าเคร่งเครียดยับย่นอย่างน่าขันซึ่งทำให้เพียซถึงกับระเบิดหัวเราะออกมา ส่วนอลีเซียนั้นอยากจะหักคอลูกชายคนที่สองเสียนัก
“นี่...กินๆ เสียสิ เสร็จแล้วจะได้กลับบ้านเรา” เธอแสดงอำนาจของความเป็นแม่ขึ้นมาทันที
“ให้เรานอนที่นี้ไม่ได้เหรอฮะ...?” เดวิดออดอ้อน
เธอมองลูกชายด้วยสายตาที่สามารถใช้แทนคำตอบได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ไม่ได้ เดวิด เราจะรบกวนมิสเตอร์เรย์โนลด์มากกว่านี้ไม่ได้”
“แต่คุณไม่รังเกียจ ใช่ไหมฮะ?” อดัมเอ่ยถามอย่างฉลาด ซึ่งทำให้เพียซมองตรงมายังอลีเซีย
“ไม่เลย ผมไม่ได้รังเกียจเลยแม้แต่น้อย ซึ่งถ้าจะพูดกันตามความจริงแล้ว ผมเองก็กำลังคิดอยู่ว่า ผมสามารถจะวิ่งกลับไปที่บ้านหลังโน้นแล้วก็ทิ้งโน้ตไว้ให้สามีของคุณ... ว่าเมื่อเขามาถึงให้เขามาหาคุณที่นี่ได้”
“สามี...?” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าอ่อนเยาว์ของเดวิดเต็มไปด้วยความพิศวง
หัวใจของอลีเซียแทบจะหยุดเต้น เธอถึงกับหลับตาลงตอนที่เธอโกหกเขานั้น เธอหวังเพียงแต่จะปกป้องลูกทั้งสองกับตัวเองเท่านั้น แต่บังเอิญลูกชายไม่ได้ยินที่เธอพูด นึกไม่ถึงว่าคำพูดนั้นจะย้อนกลับมาเล่นงานตัวเอง
“ก็มอมของหนูบอกกับผมว่า แด๊ดของพวกหนูจะมาถึงกลางดึกคืนนี้ไง”
“เราไม่มีแด๊ดหรอกครับ...” เดวิดบอก “แด๊ดเราตายแล้ว”
“ช่าย...” อดัมรีบกลืนอาหารลงคอ “ตายเหมือนปลาเงินปลาทองของเราเลย เพียงแต่หลุมฝังศพของแด๊ดอยู่ที่สุสานไม่ใช่ในสนามหลังบ้าน...”
อลีเซียสัมผัสได้ว่าดวงตาสีเขียวคู่นั้นเหลือบมาทางเธอก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นเสียอีก เธอประสานสายตากับเขาอย่างไม่พรั่น
“แด๊ดตายไปตั้งนานแล้วละครับ” เดวิดพูดอย่างชวนคุย “ผมจำแด๊ดได้แต่อดัมจำไม่ได้หรอกครับ”
“ผมก็จำได้...” อดัมโว “แด๊ดมีผมสีดำ ตาสีน้ำตาลเหมือนพวกเราเลย”
“โธ่เอ๊ย นายก็แค่เห็นจากในรูปเท่านั้นละน่าแล้วก็มาโม้ว่าจำได้”
“มอมมี่...ผมจำแด๊ดได้จริงๆ นะครับ มอมมี่สั่งให้เดวิดหยุดพูดว่าผมจำไม่ได้หน่อยสิครับ” เด็กชายหันไปอ้อนแม่ขณะที่สองหนุ่มถกเถียงกันอยู่นั้น ดวงตาสีเขียวเข้มไม่ได้ละจากใบหน้าของเธอเลย
“ผมเชื่อว่าหนูจำแด๊ดดี้ของหนูได้แน่ อดัม” เพียซเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“แด๊ดดี้ตัวใหญ่เหมือนคุณเลยครับ แต่รู้สึกว่าคุณจะตัวใหญ่กว่า” เดวิดพูดต่อ “ตอนแรกเราคิดว่าคุณคาร์เตอร์จะมาเป็นแด๊ดคนใหม่ของเรา แต่เขากลับไปแต่งงานกับคุณสโลนแทนที่จะเป็นมอมมี่”
สายตาของอลีเซียไม่สามารถทำให้เดวิดหยุดพูดได้...
“เดวิด แม่คิดว่ามิสเตอร์เรย์โนลด์...”
“ผมถึงกับร้องไห้เลยตอนที่คุณคาร์เตอร์บอกกับเราว่าเขาจะไม่เป็นแด๊ดของเรา” อดัมว่า “แต่มอมมี่บอกว่าไม่เป็นไรหรอกเพราะคุณสโลนเป็นเพื่อนของเรา แล้วเราจะพบคุณคาร์เตอร์บ่อยแค่ไหนก็ได้ แล้วมอมมี่ก็บอกด้วยว่า การที่เขาไม่ได้แต่งงานกับมอมมี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รักพวกเราอีกต่อไปแล้ว... ขอชิลลี่ให้ผมอีกหน่อยได้ไหมครับ?”
“เรายังไปเล่นที่บ้านชายทะเลของคุณคาร์เตอร์ได้เหมือนเดิม บ้านหลังนั้นสวยจะตาย...อดัมเขาจะเป็นหมูแล้วครับ... ชอบขอชามที่สองเรื่อยเลย”
“ผมไม่ได้เป็นสักหน่อย” อดัมทักท้วง
“เป็น...!”
อลีเซียเพิ่งจะถูกปลดปล่อยจากสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามคู่นั้น เมื่อเพียซลุกขึ้นไปตักชิลลี่เติมให้อดัม นี่เขาจะต้องคิดว่าเธอปัญญาอ่อนแน่ๆ ที่อยู่ๆ ก็สร้างเรื่องสามีขึ้นมา
“คุณมีแด๊ดหรือเปล่าครับ...?” เดวิดเอ่ยถามเมื่อเพียซทรุดตัวลงนั่งที่เดิม
“ไม่มีหรอก แด๊ดผมตายไปนานแล้ว แต่แม่ยังมีชีวิตอยู่”
“คุณเหมือนเราสองคนเลย”
“คงงั้นมั้ง” เพียซตอบยิ้มๆ
“แล้วคุณมีเมียหรือเปล่าครับ?”
“อดัม...!” อลีเซียปรามบุตรชายด้วยน้ำเสียงตกใจพร้อมจะกระโจนเข้าลากตัวลูกชายช่างพูดออกจากโต๊ะ “พอทีเลิกพูดได้แล้ว กินๆ เข้าจะได้เสร็จ”
“ผมไม่มีเมียหรอก” ดวงตาของเพียซฉายประกายขบขัน ขณะหยิบผ้าขึ้นเช็ดปาก
เมื่อการรับประทานอาหารเสร็จสิ้น อลีเซียก็เต็มไปด้วยความโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะในที่สุดเพียซก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“ถ้าคุณทานเสร็จแล้ว ผมว่าคุณพาลูกเข้านอนก่อนจะดีกว่า” เขาลุกขึ้นยืน ลงมือเก็บโต๊ะอาหาร
“เดวิด... อดัม... ไปล้างปากล้างมือในห้องน้ำได้แล้ว” อลีเซียรู้สึกตกใจกับคำพูดของเขา
“มอมอยากจะให้เราไปล้างมือจริงๆ หรืออยากจะไล่เราเข้าไปในนั้น เพราะมอมอยากจะพูดอะไรบางอย่างที่ไม่อยากให้เราได้ยิน?”
“ไปเดี๋ยวนี้นะ... ไปเลย...!” เธอออกคำสั่งพร้อมกับชี้นิ้วไปทางห้องน้ำ
“ก็ได้” ลูกชายผู้แก่เกินวัยของเธอรับคำพึมพำ ก่อนจะจูงมือน้องเดินออกจากตรงนั้น
เมื่อลูกชายทั้งสองลับสายตาเข้าไปในห้องน้ำแล้วอลีเซียก็หันขวับมาทางเขา เธอต้องแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะมองเข้าไปในดวงตาของเขา เพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้เองว่าเขามีเรือนร่างสูงมากเพียงไร หรือเป็นเพราะเขายืนอยู่ใกล้...?
“ฉันจะพาลูกกลับไปบ้านโน้น เราจะไม่นอนค้างที่นี่และฉันจะขอบใจมากถ้าคุณจะไม่เกลี้ยกล่อมให้แกอยากอยู่ต่อเพราะคุณกำลังทำให้แกเห็นฉันเป็นตัวนังมารร้าย...!”
“อะไรจะปานนั้น มิสซิส...เอ้อ...ช่วยบอกชื่อคุณหน่อยได้ไหม...?”
“ก็... มิสซิสรัสเซลล์ไงล่ะ” เธอตอบเสียงขุ่น แต่เมื่อเห็นสายตาเขาเข้าก็พูดเสียงเบาว่า “อลีเซีย...”
...ริมฝีปากของเขาเหยียดออกเป็นรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว แล้วก็เลือนหาย
“ตอนนี้ฝนยังไม่หยุดตก มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะลากตัวลูกเล็กๆ สองคนฝ่าฝนออกไปกลางป่าอย่างนั้น ให้เข้าไปนอนอยู่ในบ้านมืดๆ ทั้งที่แกสามารถจะนอนที่นี่ได้...?”
“ก็เพราะว่าฉันจะต้องนอนที่นี่ด้วยน่ะสิ” เธอตอบด้วยหางเสียงกระแทกกระทั้น
“แล้วไง...?” เขาถามพลางยักไหล่
“แล้วยังไงเรอะ...? ก็เพราะแม่สอนฉันมาตลอดว่าไม่ควรนอนค้างอ้างแรมกับคนแปลกๆ น่ะสิ”
“ผมไม่ได้เป็นคนแปลกๆ ตรงไหนเลย...” อีกครั้งที่รอยยิ้มแวบขึ้นแล้วก็เลือนหายอย่างรวดเร็ว “ว่าแต่ทำไมคุณต้องโกหกเรื่องสามีด้วย เพื่อป้องกันตัวเองจากผมหรือยังไง?”
เธอเชิดหน้าขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำถามนั้น
“ใช่ ฉันหวังว่าคุณจะไม่รบกวนเราถ้าคุณรู้ว่าอีกไม่นานจะมีผู้ชายอีกคนหนึ่งเดินทางมาสมทบกับเราด้วย”
ว่าแต่เธอคิดไปเองหรือเขาโน้มตัวเข้ามาใกล้พร้อมกับพูดด้วยสุ้มเสียงทุ้มๆ อย่างที่กำลังได้ยินอยู่จริงๆ
“ผมรบกวนจิตใจคุณจริงๆ หรือนี่...?”
ก็ใช่น่ะสิ... นั่นคือถ้อยคำที่เธอจะต้องเอ่ยออกไปแน่นอนถ้าถูกจับให้สาบาน ขอบคุณอย่างยิ่งที่เธอไม่ได้ตกอยู่ในสภาพกดดันเช่นนั้น
“ฉันคิดว่าวิธีดีที่สุดก็คือ ฉันพาลูกกลับไปบ้านโน้นดีกว่า”
“ผมไม่เห็นด้วยเลย เพราะคุณจะต้องอยู่ที่นั่นคนเดียวทั้งที่ไม่มีไฟใช้ อีกอย่างหนึ่ง ตอนนี้ข้างนอกกำลังหนาวมากพวกเด็กๆ ก็ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม ยิ่งคุณแล้วไม่ต้องพูดถึง”
และเพื่อเป็นการเน้นในคำพูดของตน สายตาของเขาก็ระไล่ลงไปตามเรียวขาที่เปลือยเปล่า ทว่า มันมีอะไรบางอย่างได้เกิดขึ้นเมื่อสายตาคู่นั้นเลื่อนกลับขึ้นมายังใบหน้า แววในดวงตาอ่อนโยนลงและราวจะมีอันตรายเพิ่มขึ้น ดังนั้นเมื่อประสานกับสายตาของอลีเซีย ทั้งเขาและเธอต่างนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกด้วยแรงปะทะที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากสัมผัสทางร่างกายแม้แต่น้อย นาทีนั้นดูจะยืดยาวออกไป แต่ต่างก็ยังประสานสายตากันอยู่ ต่างฝ่ายต่างหมดแรงพลังที่จะขยับเขยื้อนหรือหลบสายตาไปทางอื่น
นี่ฉันเป็นอะไรไป...? อลีเซียถามตัวเองอยู่ เธอต้องการจะใช้เวลาในช่วงสุดสัปดาห์นี้เพื่อชั่งน้ำหนักการตัดสินใจในเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง เป็นการตัดสินใจที่ถูกบังคับให้กระทำ... ขณะนี้เวลาของเธอก็เหลือน้อยเต็มทีแล้ว เธอจำเป็นจะต้องมีคำตอบต่อปัญหานั้น จึงไม่ต้องการให้มีเรื่องโรแมนติกเช่นนี้เกิดขึ้นกับชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามนี้ที่เธอเพิ่งพบจุดยืนในท่ามกลางความยุ่งยากทั้งปวง
ซึ่งความคิดทำนองเดียวกันนี้ก็กำลังเกิดอยู่ในใจของเพียซ... ถ้าเป็นเมื่อสัปดาห์ก่อน เขาจะต้องขบขันกับสถานการณ์ที่เกิดอยู่ในขณะนี้แน่ และเขาคงจะต้องปล่อยให้สัญชาตญาณดิบของตนสำแดงออกมาโดยไม่มีการควบคุมใดๆทั้งสิ้น เขาจะต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกประการที่จะลวงล่อผู้หญิงคนนี้ให้เข้าไปนอนร่วมเตียงให้ได้ แต่เพิ่งเมื่อวานซืนนี้เอง ที่โลกของเขาหมุนคว้างกลับหัวกลับหางไปสิ้น... จนเขาไม่รู้ว่าจะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างไร มันเป็นปัญหาเฉพาะตัวที่ไม่สามารถให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมด้วย และสิ่งที่อยู่ในความคิดทุกครั้งที่มองผู้หญิงคนนี้ เขาอยากให้เธอมีส่วนร่วมในเรื่องของความเสน่หามากกว่า
“จะให้ผมนอนตรงไหนล่ะครับ?” เสียงถามของอดัมตามมาด้วยเสียงหาวยืดยาว
ทั้งอลีเซียและเพียซสะดุ้งขึ้นพร้อมกัน ต่างรีบถอนสายตาจากกันทันที...