บท
ตั้งค่า

บทที่ 9

        “คุณบอกว่าบริษัทของคุณเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้บริษัทอะไรหรือคะ?”

        “เอ็คโต้ เอ็นจิเนียร์”

        “เป็นงานลักษณะไหนคะ?”

        “เป็นบริษัทเกี่ยวกับการบิน”

        “หมายความว่าบริษัทคุณออกแบบเครื่องบินหรือคะ...แบบเครื่องบินทหารใช่ไหมคะ หรือว่า...แบบไหน?”

        เขาทรุดตัวลงนั่ง และเธอก็ยอมรับว่าชอบทั้งเสียงและความรู้สึกเมื่อเขาขยับตัวในท่าสบายเสียเหลือเกิน

        “เรามีสัญญากับทางกองทัพบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วเราทำงานร่วมกับบริษัทการบินเอกชนมากกว่า เช่นออกแบบเครื่องบินเจ็ตของบริษัทอะไรทำนองนั้น”

        “เป็นการออกแบบเครื่องตามแนวคิดแบบสมัยใหม่ยังงั้นใช่ไหมคะ?” เธอตั้งใจจะยั่วล้อ แต่เขากลับตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า

        “ใช่ครับ” เขายิ้มน้อยๆ และต่างฝ่ายต่างก็หัวเราะเบาๆออกมาพร้อมกัน

        เธอเอี้ยวตัวไปมองบ้านที่ห้องด้านในดับไฟมืด

        “แล้วนี่เจ้าของบริษัทเขาจะว่ายังไงคะ ถ้ารู้ว่าขณะนี้คุณได้เชื้อเชิญแม่ม่ายคนหนึ่งกับลูกติดอีกสองคนเข้ามานอนค้างอ้างแรมที่นี่”

        “ในเมื่อผมเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัท เพราะฉะนั้นผมย่อมสามารถเชื้อเชิญให้ใครก็ตามเข้ามาพักที่นี่ได้ตามใจชอบอยู่แล้ว” เธอน่าจะพอเดาได้ว่าเขาไม่ใช่ลูกจ้างกินเงินเดือนท่าทางของเขาเป็นบุรุษผู้ประสบความสำเร็จ ดูได้จากเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวราคาแพงที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้มีรสนิยม

        “แล้วคุณล่ะ?” เขาเป็นฝ่ายถามบ้าง “คุณทำงานอะไร?”

        “ฉันเป็นผู้ช่วยห้องเสื้อสามแห่งที่ออกแบบแฟชั่นร่วมกัน ซึ่งเราตั้งชื่อว่า แกลด แร็กส์ค่ะ” สายตาของเขาจับ

อยู่ที่พวงผมซึ่งรวบรัดไว้เป็นหางลา เสื้อยืดเปื้อนสี กางเกงยีนส์กับรองเท้าผ้าใบที่เธอสวมใส่อยู่ และเธอก็หัวเราะออกมา“ฉันคิดว่าคุณสุภาพเกินกว่าจะวิจารณ์ฉันแรงๆ ” ปลายศอกของเธอเสียดสีอยู่กับชายโครงของเขา และเพราะเนื้อตัวเขาอุ่นราวอังเตาผิง เธอจึงไม่ได้ขยับออกอย่างที่ควรจะทำ

        “ผมชอบวิธีทางการทูตมากกว่า” เขากล่าว หวังว่าเธอจะไม่ถอยห่างออกไปภายหลังจากที่สัมผัสเนื้อตัวเขาแล้ว แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ปลายศอกก็ตาม เนื้อตัวเธอช่างเนียนนุ่มบ่งบอกความเป็นผู้หญิงเต็มตัว “แล้วตำแหน่งที่ว่านี่ต้องทำอะไรบ้างล่ะ?”

        “ก็ช่วยในการวางแผนแฟชั่นโดยรวมที่ห้องเสื้อทั้งสามแห่งร่วมกันวางโครงการขึ้นในแต่ละฤดูค่ะ”

        “เอ้อ...ผมอยากให้คุณช่วยอธิบายด้วยภาษาอังกฤษง่ายๆ ให้ผมเข้าใจหน่อย ว่าสิ่งที่คุณกำลังพูดอยู่นี่มันหมายถึงอะไรกัน...?”

        เธอหัวเราะออกมาเบาๆ รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

        “ก็...ยกตัวอย่างเช่น ฤดูนี้เราจะเป็นผู้นำแนวทางใหม่ๆหรือประสมประสานกับแนวทางที่คนอื่นเขาริเริ่มไว้ดี...เราจะผลักดันงานของเราออกไปในลักษณะที่แยกกันทำหรือว่าร่วมมือกันดี เราควรจะออกแบบในลักษณะผู้นำแฟชั่นหรือว่าจะเป็นแบบคลาสสิก อะไรทำนองนั้น พอจะเข้าใจบ้างไหมคะ?”

“ก็พอเข้าใจบ้าง ว่าแต่คุณชอบงานที่ทำอยู่หรือเปล่าล่ะ?

        “ชอบมากเลยล่ะค่ะ ไม่รู้ตัวสักนิดว่าได้เตรียมตัวที่จะทำงานนี้มาแล้วชั่วชีวิต มันไม่ใช่อย่างที่คุณเห็นอยู่ตอนนี้หรอกนะคะ...” เธอก้มลงมองเสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่อยู่อย่างขบขัน “ฉันเป็นคนรักเรื่องเสื้อผ้า ชอบจับโน่นประสมนี่ และฉันถือการชอปปิ้งเป็นงานอดิเรกทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ซึ่งตอนนี้ฉันสามารถทำอย่างนั้นได้ด้วยเงินของคนอื่นแล้วล่ะค่ะ” แต่สีหน้าของเธอกลับหม่นลงเมื่อนึกถึงวิกฤตที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่

        “มีเรื่องอะไรหรือ?”

        “ฉันไม่อยากเอาปัญหามาใส่คุณหรอก”

        “ผมเป็นคนถามเอง...”

        อลีเซียวางถ้วยกาแฟลง อ่านความรู้สึกในสีหน้าของเขาอยู่เป็นครู่ก่อนจะเริ่มพูด มันเป็นการดีที่จะได้พูดกับใครบางคนที่เป็นผู้ใหญ่ ใครบางคนที่ไม่เคยรู้เรื่องราว ไม่เคยเกี่ยวข้องกับชีวิตของเธอมาก่อน เธอไม่ต้องการพูดเรื่องนี้กับพ่อแม่หรือเพื่อนสนิททั้งหลาย ไม่เว้นแม้แต่สโลนกับคาร์เตอร์ ด้วยเกรงว่าคนเหล่านั้นจะแสดงความคิดเห็นอย่างมีอคติ พยายามเข้าข้างเธอ

        “ตอนนี้หัวหน้าฉันใกล้คลอด ซึ่งก็คงจะประมาณเดือนหน้านี่แหละ ก็เลยลาออกจากงาน บ้านหลังโน้นที่ฉันขอยืมใช้ในช่วงนี้ก็เป็นบ้านของเธอไงคะ... อย่างไรก็ตาม เจ้าของห้องเสื้อทั้งสามแห่งนั่นเสนองานใหม่ให้ฉัน พวกเขามีความรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับสินค้า เกี่ยวกับการบริหารการเงิน ทว่าไม่มีความรู้เรื่องแฟชั่นหรือรสนิยมเลย ฉันมีเวลาแค่สิ้นเดือนนี้เท่านั้นที่จะต้องให้คำตอบกับพวกเขา ก่อนที่เขาจะหาคนใหม่”

        “แล้วคุณจะตัดสินใจยังไง?”

        เธอเอนหลังยันร่างไว้ด้วยท่อนแขนทั้งสองที่เท้าอยู่กับพื้น ซึ่งถ้าเธอรู้ว่า การนั่งในลักษณะนี้มันยั่วใจเพียซมากขนาดไหน เธอก็คงไม่ทำ

        “ฉันยังไม่รู้เลยค่ะ เพียซ” เป็นครั้งแรกที่เธอเอ่ยเรียกเขาด้วยชื่อต้น เมื่อรู้สึกตัวก็รีบหันไปมองอยากรู้ว่าเขาจะสังเกตเห็นหรือไม่

        “ผมชอบให้คุณเรียกผมอย่างนี้มากกว่ามิสเตอร์เรย์โนลด์” เขาเอ่ยออกมาด้วยสุ้มเสียงแผ่วเบา เขาจับปอยผมเหน็บให้ที่หลังใบหู พยายามห้ามใจตัวเองด้วยเหตุผลมากมายหลายประการที่จะไม่โลมลูบลงบนเนินทรวง “ว่าแต่ คุณอยากทำงานนั้นหรือเปล่าล่ะ?”

        “ที่จริงก็อยากนะคะ มันเป็นงานที่ท้าทายความสามารถน่าตื่นเต้นดีออก แถมยังทำเงินได้เยอะด้วย”

        “ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่ตัดสินใจล่ะ?”

        “ก็เพราะว่ามันเป็นงานหนักที่ฉันจะต้องทุ่มเทเวลาให้กับมันอย่างมาก ทั้งยังต้องเดินทางไปตามที่ต่างๆ อีกด้วยน่ะสิคะ ฉันกังวลใจเรื่องที่จะไม่มีเวลาให้กับลูกมากนัก สงสารว่าแกมีแม่เพียงคนเดียว ฉันไม่สมควรจะแบ่งเวลาให้พวกแกน้อยเกินไป ขนาดตอนนี้แค่กลับบ้านช้า 5 นาที ฉันยังไม่สบายใจแล้วเลย”

        “แต่คุณก็ต้องทำอะไรเพื่อตัวเองบ้างนะอลีเซีย วันหนึ่งข้างหน้า ทั้งเดวิดและอดัมก็จะต้องมีชีวิตของแกเอง ถ้าคุณอุทิศชีวิตทั้งหมดให้กับลูกแบบนี้ ถึงวันนั้นคุณจะเหลืออะไรล่ะ?”

        “ที่จริงฉันก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน” เธอพูดช้าๆอย่างใช้ความคิด เพราะขณะนี้เวลาเหลือน้อยเต็มที... เธอจำเป็นจะต้องตัดสินใจแล้ว

        แต่มันจะต้องไม่ใช่คืนนี้...

        “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยรับฟัง”

        “ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง” เขาจับมือไว้ “ผมเชื่อว่าคุณจะพบทางเลือกที่ดีนะอลีเซีย”

        เธอต้องใช้เวลาอยู่นานพอควรกว่าจะดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา รู้อยู่แก่ใจว่าถ้าได้อยู่ในอ้อมกอดของเขามันจะต้องดีกว่านี้ เพราะมันหมายถึงความอบอุ่นกว่าและเข้มแข็งกว่ามาก

        “ฉันเห็นจะต้องขอตัวขึ้นข้างบนแล้วล่ะค่ะ”

        “ใครคือคาร์เตอร์...?”

        คำถามของเขาทำให้เธอถึงกับสะดุ้ง รีบพยุงร่างขึ้นยืนแต่ก็อย่างทุลักทุเลเต็มที

        “คุณถามทำไมหรือคะ?”

        “ก็เพราะลูกคุณพูดถึงเขาอยู่ตลอดเวลาน่ะสิ คาร์เตอร์พูดอย่างนั้น...คาร์เตอร์ทำอย่างนี้ คล้ายกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกของพวกแกต้องวัดค่าว่าคาร์เตอร์อยากให้เป็นยังไง ผมก็เลยอยากรู้ว่าเขาเป็นใครเท่านั้นล่ะ”

        “ชื่อเต็มของเขาคือคาร์เตอร์ เมดิสัน” เธอรู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ใช่เพียงแค่ความอยากรู้เท่านั้นที่ทำให้เขาเอ่ยถามเรื่องนี้ สีหน้าของเขาดูเครียดเคร่งอย่างไรบอกไม่ถูก “เขาเป็นเพื่อนของเราคนหนึ่ง"

        “คาร์เตอร์ เมดิสัน...คาร์เตอร์ เมดิสัน...” เพียซทบทวนชื่อนั้นอยู่ก่อนจะดีดนิ้วเปาะ เมื่อแน่ใจว่าคิดออกแล้วจึงได้หันมาทางเธอ “คาร์เตอร์ เมดิสันคนนี้เป็นนักเขียนใช่ไหม?”

        “นี่แสดงว่าคุณเองก็รู้จักชื่อเสียงของเขา เขาต้องดีใจแน่เลยค่ะ”

        “ผมอ่านหนังสือของเขาเกือบจะทุกเล่มด้วยซ้ำ”

        “ยิ่งรู้อย่างนี้เขายิ่งดีใจมากขึ้นไปอีก”

        “ผมเคยเห็นเขาให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์นะ เขาเป็นคนมีเสน่ห์คนหนึ่งทีเดียว หน้าตาก็หล่อมากด้วย แล้วมันเกิดอะไรขึ้นล่ะ ทำไมคุณถึงไม่แต่งงานกับเขา...?”

        นี่แสดงให้เห็นว่า เขาจำเรื่องที่พวกลูกๆ ของเธอเล่าให้เขาฟังเมื่อคืนก่อนได้ ไม่ต้องสงสัยแล้วว่าทำไมเขาถึงได้ตั้งคำถามนี้ขึ้น

        “เขาเลือกที่จะแต่งงานกับสโลน เพื่อนที่สนิทแล้วก็ดีที่สุดของฉันไปแล้วล่ะค่ะ” เมื่อเห็นสีหน้าของเพียซว่างเปล่าอย่างไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะเธอตอบไม่ตรงคำถามอลีเซียก็รีบคลี่คลายความไม่เข้าใจของเขาด้วยการเล่าต่อว่า“คาร์เตอร์น่ะเป็นเพื่อนรักของจิม สามีฉัน หลังจากที่จิมตายคาร์เตอร์ได้แสดงออกถึงความเป็นเพื่อนที่วิเศษสุด คือเขารู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบในตัวฉัน จะต้องคอยปกป้องฉันให้รอดพ้นจากภัยต่างๆ ที่แม่ม่ายวัยสาวทุกคนมักจะได้รับ นอกจากนั้นก็ยังช่วยเลี้ยงลูกด้วย จนในที่สุดเขาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับครอบครัวของเรา ฉันจำต้องยอมรับว่าถือประโยชน์จากความเป็นเพื่อนของเขาอย่างมาก ต่อมาเขาก็ขอฉันแต่งงานซึ่งฉันก็รับคำขอของเขา เพราะรู้สึกว่าตัวเองเหงาแล้วก็ว้าเหว่อย่างบอกไม่ถูก คาร์เตอร์เป็นบุคคลเดียวที่คุ้นเคย เป็นเหมือนปราการที่คุ้มครองป้องกันภัยให้ฉันได้”

        เธอยิ้มน้อยๆ ขณะทบทวนความทรงจำอย่างมีความสุข สามีภรรยาควรจะมีความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ทว่า...เพื่อนที่แสนดีไม่สมควรเป็นสามีภรรยากันเลย

        “ฉันส่งคาร์เตอร์ไปพักที่บ้านเช่าของสโลน... ในซานฟรานซิสโก เพื่อที่เขาจะได้เขียนหนังสือให้จบก่อนหน้าที่เราจะแต่งงานกัน แต่ทั้งสองคนเกิดพบรักกันขึ้นอย่างกะทันหันและตอนนั้นเองที่เขารู้ตัวว่าเขากำลังจะแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง ซึ่งเกือบจะในเวลาเดียวกันนั้นอีกนั่นแหละที่ฉันก็กำลังคิดในสิ่งเดียวกันอยู่ เราก็เลยถอนหมั้นกันวันที่เรากำหนดให้เป็นวันแต่งงานของเรานั่นเอง หลังจากนั้นอีก 2-3 อาทิตย์เขาก็แต่งงานกับสโลน ทั้งสองคนมีความสุขมาก และตอนนี้ก็กำลังจะได้ลูกคนแรกแล้ว”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel