บทที่ 7
ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งถูกขุดรากด้วยแรงลมทับตัวบ้านส่วนหนึ่งอยู่ กิ่งใหญ่ที่ฉีกขาดกระแทกเข้ากับหน้าต่างกระจก ทั้งพื้นห้องและเตียงนอนหลังหนึ่งจึงเกลื่อนไปด้วยเศษกระจกที่แตกกระจาย พายุฝนที่รุนแรงพุ่งเข้าไปในบ้านพื้นห้องเป็นแอ่งน้ำหลายแห่ง ทั้งเตียงนอนและโซฟาชุ่มน้ำไปตามๆ กัน ม่านหน้าต่างฉีกขาดห้อยร่องแร่ง อลีเซียลองเอื้อมมือไปกดสวิตช์ไฟฟ้า แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น ที่บ้านของเพียซอาจมีไฟฟ้าใช้แล้วแต่ไม่ใช่ที่นี่
เนื้อตัวเธอสั่นระริกขึ้นมาทันทีเมื่อคิดไปถึงว่า ถ้าเมื่อคืนทุกคนไม่ได้ไปหลบฝนอยู่ที่บ้านเพียซอะไรจะเกิดขึ้น แล้วถ้าใครคนใดคนหนึ่งนอนหลับอยู่ในเตียงตอนที่กิ่งไม้ใหญ่ฟาดโครมลงล่ะ? สำหรับการที่เธอกับลูกสามารถรอดพ้นอันตรายจากภัยธรรมชาตินั้น แน่นอนเป็นสิ่งที่เธอจะต้องจดจำไปจนชั่วชีวิต ทว่า...แล้วต่อจากนี้ล่ะ เธอจะทำอย่างไรต่อไป...? ถ้าไม่เห็นว่ามีลูกชายทั้งสองพ่วงมาด้วย เธอคงทิ้งตัวลงกับพื้นแล้วก็ร้องไห้โฮออกมาเป็นแน่
ในขณะที่เธอกำลังตกอยู่ในภาวะสิ้นหวัง ลูกชายทั้งสองของเธอกลับดีอกดีใจเป็นล้นพ้น
“เรากลับไปที่บ้านเพียซกันได้ไหมครับ?”
“ได้ไหมครับ มอม...? เราชอบที่นั่นกันออก”
“เราจะเป็นเด็กดีครับ เราสัญญา...ใช่ไหมอดัม...?”
“เราจะเป็นเด็กดีจริงๆ ครับ”
“ไม่...” เธอร้อง พร้อมกับหันขวับมามองหน้าลูกชายเมื่อเห็นสีหน้าที่ผิดหวังเธอก็ต้องฝืนยิ้มเข้าไว้ “อย่าโง่ไปหน่อยเลย เราจะไปยัดเยียดตัวเองให้กับมิสเตอร์เรย์โนลด์ไม่ได้หรอก”
“งั้นเราจะทำยังไงกันต่อไปล่ะครับ มอม...?” เดวิดถามเสียงเครียด
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน” เธอบอกตัวเองอยู่ว่า ถ้าสามารถแสดงความผิดหวังออกมาได้ เธอจะทิ้งตัวลงกับพื้นแล้วก็จะขดอยู่แต่ตรงนั้น เธอชิงชังการที่จะต้องรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียวตลอดเวลาเหลือเกิน เธอจะต้องเป็นผู้ให้คำตอบ จะต้องเป็นผู้ตัดสินใจทุกเรื่องไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นทว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอตั้งเป็นกฎสำหรับตัวเองหรอกหรือภายหลังจากที่คาร์เตอร์แต่งงานกับสโลนไปแล้ว ว่าเธอสามารถและจะรับผิดชอบชีวิตของตัวเองและของลูกทั้งสองด้วย...?
เธอสามารถอยู่รอดปลอดภัยมาได้ภายหลังจากการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของสามีและการถอนหมั้นจากคาร์เตอร์... เธอตั้งหลักให้ตัวเองด้วยการทำงานที่ใจรักและสามารถทำได้ดี เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ยอมให้เหตุการณ์เพียงเท่านี้มาทำลายวันพักผ่อนอันแสนสุขของเธอกับลูกแน่...! เธอตบมือขึ้นดังๆ
“เอาละลูก สิ่งแรกที่เราจะทำคือเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อนที่นี่เย็นกว่าอยู่ในหุบเขาตั้งเยอะ เพราะฉะนั้น เดวิด...อดัมมา...ช่วยแม่แบกกระเป๋าเสื้อผ้าเข้าไปในห้องกัน”
แม้จะไม่เต็มใจแต่เด็กชายทั้งสองก็ยอมปฏิบัติตามแต่โดยดี... ดูเหมือนอารมณ์ของทุกคนจะดีขึ้นเมื่อได้นุ่งกางเกงยีนส์กับเสื้อยืดแขนยาวตัวใหม่ ภายหลังจากที่อาบน้ำเย็นเยือกเร็วๆ และสระผมในห้องน้ำเล็กๆ แล้วอลีเซียก็ดึงกางเกงยีนส์ตัวเก่ากับเสื้อยืดที่ตกค้างมาตั้งแต่ครั้งอยู่มหาวิทยาลัย มันยังมีรอยสีที่เปรอะเปื้อนครั้งที่เธอกับสโลนเพื่อนรักช่วยกันทาสีห้องพักในหอนักศึกษาหญิงติดอยู่
“เอาละ มันแน่นอนแล้วว่าเราไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้” อลีเซียเอ่ยขึ้นภายหลังจากประเมินสภาพในห้องโถงกลางของตัวบ้าน “เพราะฉะนั้นเราจะขับรถไปที่ลอดจ์ ที่นั่นจะมีบ้านให้เช่าพักเป็นอาทิตย์ เราจะดูซิว่ามีหลังไหนที่พอจะเช่าอยู่กันได้บ้าง”
“ก็แล้วถ้าไม่มีล่ะครับ...?”
ถ้าที่นั่นไม่มีนะหรือ...?
“งั้นเราก็ไปหาที่อื่น...ที่ไหนสักแห่งก็ได้นี่...” ด้วยสุ่มเสียงร่าเริงเกินกว่าความรู้สึกแท้จริงมาก “เอ้า...ช่วยกันขนกระเป๋าเสื้อผ้ากลับขึ้นรถได้แล้ว” เธอเปิดกระติกดูน้ำแข็งที่ซื้อมาระหว่างทาง ปรากฏว่าละลายหมดแล้ว ถ้าเธอไม่รีบเอาอาหารที่ซื้อมาแช่ตู้เย็นคงเสียหายจนต้องโยนทิ้งหมดแน่ทว่า นั่นเป็นปัญหาที่เล็กน้อยมาก
สิ่งแรกที่เธอจะต้องทำก็คือหาที่พักให้กับลูกทั้งสองเสียก่อน ควรจะเป็นที่ไหนสักแห่งที่ลูกชายสามารถนั่งตกปลา เดินป่า หรือชื่นชมกับธรรมชาติได้เต็มที่ ซึ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เธอได้ให้สัญญาไว้ว่าจะยอมให้พวกแกทำมาเป็นเดือนแล้ว แต่สถานที่นั้นจะต้องไม่เปลี่ยว หรือผู้คนหนาแน่นเกินไป ทั้งจะต้องไม่ไกลจากบ้านด้วย จะต้องมีป่า มีอากาศภูเขา ซึ่งสถานที่แห่งนี้ดูจะสมบูรณ์แบบที่สุด แต่เมื่อมาถึงเวลานี้ เธอจำเป็นต้องยอมรับกับสิ่งที่พอจะหาได้เสียแล้ว การปรับแผนการท่องเที่ยวใหม่ย่อมจะก่อให้เกิดปัญหานับไม่ถ้วน ทั้งเธอก็ได้ลาโรงเรียนให้ลูกมาแล้วทั้งอาทิตย์ ถ้าไม่ทำตามที่สัญญาลูกทั้งสองจะต้องเสียใจอย่างมาก
พนักงานที่ต้อนรับของลอดจ์รับฟังด้วยความเห็นใจเมื่อเธอเล่าให้เขาฟังว่าพายุฝนที่เกิดขึ้นเมื่อคืนสร้างความ
เสียหายให้เกิดขึ้นกับบ้านหลังนั้นมากแค่ไหน เขายกมือขึ้นเกาหลังใบหูขณะตอบ
“บ้านทุกหลังที่อยู่บนหน้าผานั่นล้วนแล้วแต่เป็นบ้านส่วนตัวทั้งนั้น”
“ฉันรู้ค่ะ แต่ฉันก็ติดต่อไปหาเพื่อนคนที่เป็นเจ้าของบ้านเรียบร้อยแล้ว เธออนุญาตให้ฉันดูแลเรื่องการซ่อมแซมบ้านและหน้าต่างที่เสียหายพร้อมเก็บกวาดให้สะอาด เธอจะเป็นคนเสียค่าใช้จ่ายเอง ว่าแต่คุณพอจะหาใครจัดการเรื่องนี้ได้ไหมคะ?”
“อ๋อ...ได้...ได้เลยครับ เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ผมจะส่งคนขึ้นไปจัดการบ่ายวันนี้เลย”
“ขอบใจมากนะคะ ตอนนี้เราต้องการที่พัก... แล้วก็อยากจะขอเช่าบ้านของคุณสักหลัง เราจะอยู่กันสักอาทิตย์หนึ่ง
“อาทิตย์นี้เลยหรือครับ?”
อลีเซียพยายามนับหนึ่งถึงสิบอยู่ในใจ
“ใช่ค่ะ อาทิตย์นี้ แล้วก็ตอนนี้ด้วย”
สงสัยตาคนนี้มีแผลหลังใบหู ถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาเกาเสียจริงๆ จังๆ
“ตอนนี้เราไม่มีบ้านว่างเลยครับ คุณผู้หญิง”
อลีเซียกัดฟันแน่น ก่อนจะออกคำสั่งให้อดัมเอานิ้วออกจากหูทั้งสองข้างของหัวควายที่ตั้งอยู่บนชั้นเหนือเตาผิงของลอดจ์ เธอยังใช้ความพยายามต่อไป
“ไม่จริงหรอก ฉันว่าคุณจะต้องมีตรงไหนสักแห่งแน่ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าบ้านหลังนั้นจะใหญ่หรือเล็ก...”
“ไม่มีเลยจริงๆ ครับ...” เขาเน้นเสียงตอบ หันไปเปิดสมุดสำรองบ้านพัก
“ลองดูรายการนี้หน่อยสิ... เรามีบ้านขนาดหกเตียงนอน จองวันที่ 15 ธันวาคมตอนช่วงคริสต์มาส ไม่ค่อยมีใครขึ้นมาบนนี้เท่าไหร่หรอกครับ”
เมื่อเขาพูดสิ่งที่ไร้ความหมาย มันย่อมไม่มีสาระใดๆให้ขบคิด เธอใช้เวลาถึงครึ่งชั่วโมงกับโทรศัพท์สาธารณะพยายามหาที่พักให้ลูกชายทั้งสองโดยให้อยู่ในระยะที่พอจะขับรถไปได้ แต่ต้องเสียทั้งเงินและเวลา
“แม่เสียใจจริงๆ แต่แม่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้อีกแล้ว...” เธอวางมือลงบนไหล่ลูกชายทั้งสองอย่างปลอบโยน “ตอนนี้เราก็คงต้องกลับบ้าน แล้วก็วางแผนกันใหม่แล้วล่ะ”
“นั่นมันไม่ยุติธรรมเลยนะครับ ก็มอมสัญญากับเราแล้ว”
“เดวิด แม่รู้...ว่ามันไม่ยุติธรรมกับลูก แม่เองก็หวังจะได้พักผ่อนอาทิตย์นี้ด้วยเหมือนกัน”
“ไม่จริงหรอก มอมไม่แคร์หรอกถึงแม้ว่าเราจะต้องกลับบ้าน เพราะมอมไม่อยากออกมาตั้งแคมป์อยู่แล้ว พวกผู้หญิงก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น ดีใจเสียด้วยซ้ำที่ทุกอย่างมันถูกทำลายจนย่อยยับ...!”
“เดี๋ยว...ฟังแม่ก่อนสิ หนุ่มน้อย...”
รถจี๊ปคันหนึ่งเบรกลงห่างจากระเบียงลอดจ์ไม่กี่ฟุตและเพียซก็ก้าวลงมาจากรถคันนั้น เขาหล่ออย่างชวนใจหายเมื่ออยู่ในเสื้อเชิ้ตที่ตัดเย็บด้วยผ้าลายทางมีเสื้อกักทับอยู่ชั้นนอก
“เกิดอะไรขึ้น...?”
ก่อนที่อลีเซียจะทันเปิดปากพูด อดัมกับเดวิดก็ผวาวิ่งเข้าไปหาเขา ต่างละล่ำละลักเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนเขาก็จับตามองหน้าอลีเซียอยู่เหนือศีรษะลูกชายทั้งสองของเธอ
“เดวิด” เพียซล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงดึงธนบัตรราคาหนึ่งเหรียญออกมาฉบับหนึ่ง “หนูกับอดัมเข้าไปในลอดจ์นะ แล้วช่วยซื้อหนังสือพิมพ์ให้ผมสักฉบับเถอะ ขอบใจมาก”
“มาเถอะ... อดัม” เดวิดพูดกับน้องชายด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ “เราเจอรายการเรื่องของผู้ใหญ่เข้าอีกแล้ว เขาไม่อยากให้เราอยู่ฟังด้วยหรอก”
ขณะอดัมเดินตามพี่ชายผ่านประตูเข้าไปภายในนั้นทั้งอลีเซียและเพียซได้ยินเดวิดพูดอยู่ว่า
“จำได้ไหมล่ะ ตอนที่คุณคาร์เตอร์จะคุยแบบผู้ใหญ่กับมอมนะ พวกเขาก็ไล่เราสองคนออกจากห้องทุกที...!”
อลีเซียเหลือบตาขึ้นมองหน้าเพียซอย่างขัดเขิน แต่เขากลับยิ้ม บอกกับเธอว่า
“โลกทุกวันนี้มันสอนให้เด็กโตเกินตัวจริงๆ”
เวลานี้เธอไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะยิ้ม แต่ก็จำใจฝืนยิ้มอยู่ดี
“ฉันก็คิดยังงั้นค่ะ”
“เอาละ ทีนี้เล่าให้ผมฟังหน่อยสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”
เธอเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมรายละเอียดให้เขาฟังช้าๆ
“พวกเด็กๆ ไม่ยอมรับความจริงว่าการเดินทางเที่ยวนี้มันไม่ได้มีความหมายอะไรอีกแล้ว”
“ไม่มีจริงๆ น่ะหรือ?”
น้ำเสียงแผ่วเบาที่เอ่ยถามแฝงด้วยความรุ่มร้อนทำให้เธอถึงกับเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับเขา แล้วก็ได้พบดวงตาคู่ที่ราวแทงทะลุเข้าไปในใจเธอ ซึ่งทำให้เธอต้องหลบตาลงด้วยไม่อาจทานทนต่อไปได้
“ไม่ค่ะ ฉันไม่คิดว่ามันจะมีความหมายอะไรต่อไปอีกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะผิดพลาดไปหมด ฉันไม่ใช่คนที่ชอบการผจญภัยเท่าไหร่หรอกซึ่งพวกลูกๆ ก็รู้อยู่ เพราะฉะนั้นก็เลยรวมหัวกันกล่าวโทษว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะฉัน”
เขาอิงไหล่อยู่กับเสาไม้เรดวู้ดที่ค้ำยันชายคาระเบียงกวาดสายตามองไปตามเส้นทางโรยกรวดและเลยลึกเข้าไปในราวป่าที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ท่าทางเขาบอกให้รู้ว่ากำลังชั่งน้ำหนักการตัดสินใจอยู่ ซึ่งเธอสามารถสัมผัสความคิดของเขาได้จึงยืนรออยู่เงียบๆ ไม่สามารถจะขยับเขยื้อนไปไหนได้ คล้ายกับถูกบังคับด้วยพลังอำนาจบางอย่างให้ต้องรอการตัดสินใจของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น