บท
ตั้งค่า

บทที่ 6

        สำหรับอลีเซียเองก็กำลังมีความรู้สึกอยู่ว่า หน้าตาของเธอในยามนี้คงไม่แตกต่างกว่าปิศาจ เครื่องสำอางที่ตกแต่งใบหน้าไว้เมื่อมาถึงตอนนี้ก็นานเกิน 24 ชั่วโมงแล้ว ดูเหมือนเธอจะสัมผัสได้ว่ามาสคาร่าหลุดร่วงลงมาติดอยู่กับแผงขนตาผมเผ้าเป็นกระเซิงและเธอก็ไม่มีแม้แต่หวีที่จะสางให้เรียบขึ้นเธอรู้อยู่แก่ใจว่าถ้าก้าวเดินอย่างลุกลี้ลุกลนเกินไป ยิ่งจะเปิดเผยบริเวณต้นขามากขึ้น ดังนั้นเธอจึงลงบันไดมาด้วยความระมัดระวัง

        “นี่” เธอทักทายลูกชายทั้งสองด้วยการตบศีรษะเบาๆคนละที่ “หนูปลุกมิสเตอร์เรย์โนลด์แต่เช้าตรู่เลยหรือลูก...?”

        “ตอนที่ผมตื่นเขาก็ตื่นแล้วละครับ เขาต้องออกกำลังจ๊อกกิ้งทุกเช้า” เดวิดตอบ

        “กาแฟสักถ้วยไหมครับ?”

        เมื่อไม่มีทางเลี่ยง เธอก็เหลือบตามองเจ้าของบ้านสังเกตเห็นว่าแก้มของเขาเป็นสีแดงเรื่อ ราวกับเขาใช้ชีวิตอยู่แต่กลางแจ้งและถูกจุมพิตด้วยความหนาวเย็นยามเช้าของอากาศในบริเวณภูเขา เรือนผมสีน้ำตาลแซมเงินของเขาปรกลงสองข้างหูและคอปกเสื้อ ดวงตาคู่สีเขียวเป็นประกายเช่นเดียวกับที่เห็นเมื่อคืน เนื้อตัวเขากรุ่นกลิ่นสะอาดผสมอยู่กับกลิ่นที่เพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆ และกลิ่นพฤกษา

        “ค่ะ ขอบคุณ” อลีเซียตอบ เสียงของเธอค่อนข้างแข็งซึ่งเธอหวังว่าเขาจะไม่เข้าใจไปในทางที่ผิด

        เขารินในกาแฟใส่ลงในถ้วย ชี้ให้เธอดูครีมกับกาแฟที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ

        “นั่งลงก่อนเถอะ ผมจะทำแพนเค้กให้”

        “ไม่ต้องหรอกค่ะ ขอบคุณ”

        “เห็นไหมล่ะ...ผมบอกคุณแล้วว่ามอมเขากลัวอ้วน”

        “เดวิด รัสเซลล์?...” อลีเซียส่ายนิ้วปรามลูกชาย และเด็กทั้งสองก็ปิดปากหัวเราะกันอยู่คิกคัก เพียซเองก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย

        “เมื่อเข้ามาอยู่ในบริเวณภูเขาอย่างนี้ ทุกคนจะต้องกินอาหารเช้ากันทั้งนั้น ผมเองก็ยังไม่ได้กินเพราะรอคุณ ไม่ยุติธรรมนะถ้าจะปล่อยให้ผมนั่งกินคนเดียว”

        อลีเซียถอนหายใจอย่างจำยอม และเพียซก็เทส่วนผสมแพนเค้กลงบนกระทะร้อนๆ

        “เอ้า...พวกหนุ่มๆ เมื่อกินกันเสร็จแล้ว ทำไมไม่ไปจัดทำเตียงให้เรียบร้อยตอนที่แม่ของพวกหนูกับผมกินอยู่ล่ะ...? บอกก่อนนะ ว่าจะต้องขึงผ้าปูที่นอนให้ตึงเป๊ะเลย จะต้องไม่มีรอยย่นเลยนะ”

        “ครับกระผม...” เด็กชายทั้งสองตอบรับพร้อมกันแข่งกันวิ่งกลับไปยังเตียงที่นอนเมื่อคืน อลีเซียมองความกระตือรือร้นของลูกชายทั้งสองด้วยความแปลกใจอย่างยิ่ง

        “คุณทำยังงั้นได้ยังไงนะ?”

“ทำอะไรหรือ...”

        “ก็ให้พวกแกทำเตียงโดยไม่มีการโยกโย้น่ะสิคะ”

        เขายิ้มกว้าง ขณะเอาแพนเค้กสีเหลืองทอง 3 ชิ้น ใส่ลงให้ในจานตรงหน้า

        “ความรู้สึกของเด็กมันแตกต่างเวลาที่มีคนอื่นซึ่งไม่ใช่แม่ของตัวเองใช้ให้ทำอะไร”

        “ฉันว่าคุณพูดถูกนะ” เธอยอมบาปเมื่อเอาเนยทาลงบนแผ่นแพนเค้ก รู้สึกน้ำลายไหล และเธอก็ยังรินไซรัปใส่ลงอีกด้วย

        “เบคอนด้วยไหมครับ?”

        “สองชิ้นเลยค่ะ”

        “เติมกาแฟอีกหน่อยไหม?”

        “ค่ะ

        เมื่อเขานั่งลงร่วมโต๊ะด้วย... เธอก็ลงมือจัดการกับแพนเค้กทั้งสามแผ่นนั่นแล้ว

        “อร่อยจังเลยค่ะ”

        “ขอบคุณ” เขายิ้ม จับตามองเธอกินแพนเค้กด้วยสายตาปลาบปลื้ม “พอดีเมื่อคืนนี้ไฟมา ผมก็เลยมีโอกาสใช้กระทะไฟฟ้าได้ ไม่อย่างนั้นเมนูเช้าวันนี้สงสัยจะต้องเป็นไข่ต้มแน่”

        เธอวางซ้อมลง เพิ่งนึกรู้เป็นครั้งแรกว่าระบบไฟฟ้าได้รับการซ่อมแซมจนกลับมาใช้ได้เหมือนเดิมแล้ว ทำไมเธอจึงไม่นึกถึงอะไรที่มันสำคัญขนาดนี้เอาเสียเลย...? เป็นเพราะบรรยากาศภายในบ้านหลังนี้มันอบอุ่นแสนสบาย จนทำให้จิตใต้สำนึกไม่อยากกลับไปที่บ้านหลังโน้น ทิ้งผู้ชายคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าคนนี้ไป...?

        “ดีค่ะ” เธอยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบด้วยท่าทางราวไม่ยินดียินร้าย สายตาของเขาที่กำลังมองข้ามโต๊ะมายังเธอขณะนี้มันทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจอย่างไรบอกไม่ถูก เพราะใจคอยแต่จะนึกถึงต้นขาเปล่าเปลือยที่ทาบทับอยู่กับเก้าอี้ มีแค่กางเกงในตัวเดียวที่ช่วยให้เธอไม่ถึงกับเปลือยร่างอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตผู้ชายตัวนั้น

        เธอมีความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งเปลือยกายอยู่ต่อหน้าเขา...!

        “เดี๋ยวพอฉันล้างจานเสร็จ เราคงต้องขอตัวกลับไปบ้านของเราเสียที

        “สามีคุณตายเพราะอะไร?”

        มันเป็นคำถามที่อลีเซียไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยินมันทำให้เธอถึงกับตะลึงนิ่งอึ้ง จ้องมองหน้าเพียซงงงัน เขากินอาหารเสร็จแล้วสองมือถือถ้วยกาแฟค้างอยู่ใต้คาง กำลังมองผ่านควันกรุ่นมายังเธอ

        เธอมองไม่เห็นเหตุผลที่จะไม่ตอบคำถามของเขา แม้ว่ามันจะเป็นคำถามที่ไม่เหมาะสมที่คนแปลกหน้าคนหนึ่งจะเอ่ยถามอีกคนหนึ่งก็ตาม

        “เขาเป็นนักธุรกิจ แต่งานอดิเรกของเขาคือการแข่งรถสปอร์ต แล้วก็ถึงบ่ายวันอาทิตย์วันหนึ่ง เขาก็ลงสนามแข่งขันแล้วก็...” เธอลดสายตาลงมองจานอาหารตรงหน้า “มันเกิดอุบัติเหตุ...เขาเสียชีวิตทันที”

        เพียซวางถ้วยกาแฟที่ถืออยู่ในมือลง พาดแขนประสานกันอยู่บนโต๊ะโน้มร่างมาข้างหน้าเล็กน้อย เธอสัมผัสความรู้สึกอยู่ว่าเขาปรารถนาที่จะสัมผัสเธอเพื่อปลอบใจ

        “ก็แสดงว่าคุณแต่งงานได้ไม่นาน”

        ยิ้มของอลีเซียบ่งบอกถึงอดีตที่เปี่ยมสุข

        “ก็นานพอที่จะมีเดวิดแล้วก็อดัมซึ่งห่างกันสองปี เราแต่งงานกันตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย ฉันหลงรักจิมตั้งแต่เห็นหน้าเขาครั้งแรกเลยนะคะ”

        เพียซรู้สึกตกใจกับความรู้สึกริษยาที่แทบจะบีบคอเขาขณะนี้ นอกจากนั้นยังถูกครอบงำด้วยความรู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...ก็แล้วทำไมมันถึงเกิดขึ้นตอนนี้เล่า...? ทำไมตอนนี้เขาจึงต้องมาพบผู้หญิงสาวสวยน่ารักซึ่งปลุกความรู้สึกทางเพศให้เกิดขึ้น ทว่าเธอต้องกลายเป็นแม่ม่ายอย่างไร้ความยุติธรรมที่สุดด้วย...?

        ขณะความขุ่นเคืองเข้าครอบงำอยู่ในใจเขานั้น...อลีเซียสามารถจับสังเกตได้อีกเช่นเคย เพราะสีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไป ดูเคร่งขรึมและปิดกั้น ความร้อนรนกดลึกอยู่ตรงหางตาและมุมปาก เพียซ เรย์โนลด์เป็นผู้ชายเจ้าอารมณ์

เพราะฉะนั้นยิ่งเธอสามารถอยู่ห่างเขาได้เร็วเท่าไรก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อตัวเองเท่านั้น

        “เราเห็นจะไปกันได้แล้ว...” เธอเอ่ยขึ้นอย่างอึดอัดไม่ต้องการให้มีผู้ชายคนใดก้าวเข้ามาในชีวิตทั้งสิ้น... จะต้องไม่ใช่ตอนนี้... ไม่มีอีกแล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง... เธอไม่ต้องการผู้ชายที่มีปัญหา

        เธอเริ่มลงมือทำความสะอาดห้องครัว เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นไปชั้นลอย หยิบเสื้อผ้าที่มีกลิ่นเหม็นอับขึ้นมาสวมต้อนลูกชายทั้งสองให้ถอดเสื้อยืดตรา UCLA ออก และสวมเสื้อผ้าชุดเดิม ไม่สนใจกับเสียงร้องค้านหรือคำถามที่รัวเข้าใส่ใดๆ ทั้งสิ้น

        “มิสเตอร์เรย์โนลด์คะ ฉันไม่ทราบจะใช้คำพูดยังไงถึงจะอธิบายให้คุณทราบได้ ว่าฉันขอบคุณในความกรุณาและความเต็มใจต้อนรับขับสู้เราอย่างอบอุ่นครั้งนี้มากแค่ไหน...” พระเจ้า เธอพูดเหมือนลอกออกมาจากหน้าหนังสือส่งเสริมจริยธรรมไม่มีผิด ขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนเป็นตัวตลกที่นุ่งกางเกงขาสั้นขณะที่อากาศหนาวเย็นมากขนาดนี้ รองเท้าเทนนิสที่สวมอยู่ก็ดูจะถ่วงน้ำหนักอยู่ตรงปลายเท้า ทั้งสามคนแม่ลูกยืนอยู่บนระเบียงบ้าน

        “ผมดีใจครับที่มีโอกาสช่วยเหลือ” เพียซพูดด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ “คุณแน่ใจนะครับว่าจะอยู่กันได้...?”

        “แน่ใจค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”

        เด็กชายทั้งสองแสดงความรู้สึกสุดแสนเสียดายออกมานอกหน้า เพียซจึงคุกเข่าลงตรงหน้า ควักเหรียญควอเตอร์ออกมาให้คนละเหรียญ

        “คราวหน้าช่วยเล่นวิดีโอเกมแทนผมด้วย”

        เมื่อเด็กทั้งสองยังทำคอตก อลีเซียก็พูดเสียงเข้มว่า

        “ลูกควรจะพูดว่ายังไง...?”

        “ขอบคุณครับ” ทั้งสองพูดไม่เต็มปาก เดวิดเงยหน้าขึ้นถามชายหนุ่มว่า “คุณเคยเล่นซ็อกเกอร์ไหมครับ เพียซ?”

        “ผมเล่นฟุตบอล”

        “จริงน่ะ...? แล้วคุณอยู่ตำแหน่งไหนครับ?”

        “กองหลัง”

        “โอ้โฮ กองหลังด้วย... ผมยังเด็กยังเล่นฟุตบอลไม่ได้แต่ผมเป็นกองหน้าในทีมซ็อกเกอร์ของผมด้วยล่ะ ทีมเราชื่อเดอะ เฮอริเคนส์”

        “พนันกันได้เลยว่าหนูต้องเป็นกองหน้าที่ดีมากๆ

        คำพูดของเขาทำให้ดวงตาคู่สีเข้มเป็นประกายวาบวับขึ้นทันที

        “ผมหวังว่า สักวันหนึ่งคุณจะมาดูเราเล่นนะครับ”

        หัวใจของอลีเซียราวถูกบีบเมื่อได้ยินหางเสียงอ้อนวอนที่แฝงอยู่ในเสียงพูดเล็กๆ นั้น เดวิดต้องการผู้ชายสักคนมาเป็นต้นแบบให้กับชีวิตของแกจริงๆ แต่เธอรู้ตัวเองมานานแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอที่จะหาพ่อใหม่ให้กับลูกทั้งสอง เพราะมันหมายถึงว่าเธอจะต้องเสี่ยงกับการมีสามีด้วยเช่นกัน นับแต่วันที่เธอกับคาร์เตอร์ถอนหมั้นกันแล้ว เธอก็ไม่เคยคบหาผู้ชายคนไหนอย่างจริงจังเลย

        “อาจจะสักวันหนึ่งนะ...” เขาตอบ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาจะไม่ทำ รู้ดีว่าเขาทำไม่ได้

        “แล้วบ้านคุณอยู่ที่ไหนล่ะครับ...?”

        “อยู่ในลอสแองเจลิส”

        “บ้านเราก็อยู่ที่นั่นครับ”

        “มาเถอะลูก ขอบคุณแล้วก็ลามิสเตอร์เรย์โนลด์อีกครั้งได้แล้ว” อลีเซียสอดขึ้นก่อนที่การลาจากกันจะใช้เวลายืดยาวออกไปมากกว่านี้

        “ขอบคุณครับ...” ทั้งเดวิดและอดัมพูดเสียงเศร้าจากนั้นอลีเซียก็ลากลูกชายข้ามลานโล่ง ผ่านรถจี๊ปที่จอดทิ้งอยู่ซึ่งเธอไม่ได้สังเกตเห็นเมื่อคืนนี้ ก่อนจะเลยเข้าไปในส่วนที่เป็นป่าละเมาะซึ่งแยกบริเวณบ้านแต่ละหลังออกจากกัน

        “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เราต้องสนุกแน่” เธอพยายามปัดความรู้สึกหดหู่ออกไปจากจิตใจ “เดี๋ยวก็รู้ เอาอย่างนี้นะหลังจากที่เราเข้าบ้านเรียบร้อยแล้ว เราจะออกไปตกปลากัน”

        “แต่มอมก็ไม่ยอมเอาเหยื่อมาติดเบ็ดอีกนั่นแหละ” เดวิดบ่นพึมพำ

        ที่จริงลูกชายก็พูดถูก ความคิดที่ว่าจะต้องทำอะไรพรรค์นั้นทำให้เธออดขนลุกไม่ได้ แต่เธอก็จำเป็นต้องทำเพราะสถานการณ์บังคับ

        “พนันกันไหมล่ะ... ลูกแค่ทำให้แม่ดูเป็นตัวอย่างก็พอ”

        ความกระตือรือร้นที่เธอจำใจแสดงออกนั้น ยืนนานอยู่เพียงแค่พาลูกเดินผ่านป่าและผ่านประตูบ้านด้านหน้า และทันใดทั้งสามแม่ลูกก็ต้องยืนตะลึงงันอยู่กับที่ กวาดสายตามองไปโดยรอบราวไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ตรงหน้า... ในขณะนี้เลย บ้านตั้งครึ่งค่อนหลังพังยับเยิน...!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel