บทที่ 4 แฝดพี่ตระกูลมอโร 1.3
“เถียงไม่ออกเลยสิ”
ชายหนุ่มจอมกวนยังยียวนไม่เลิก แต่เธอก็เลือกจะเงียบไม่โต้ตอบ สอดหูฟังเข้าไปในรูหูอีกครั้ง แล้วหลับตาลงทำเป็นไม่สนใจเสียงนกเสียงกา ฝ่ายชายเมื่อเห็นว่าเธอไม่คิดจะแยแสเขา เขาก็ไม่จำเป็นที่จะแสดงความสนใจในตัวของพลอยพัตราอีกต่อไป คนอย่างเฟรเดอริคไม่เคยวิ่งตามผู้หญิงคนไหนก็เลิกสนใจเธอเช่นกัน
เสียงของเจ้าหน้าที่ในเครื่องบินประกาศให้ผู้โดยสารทราบว่า เครื่องบินกำลังจะลงสู่พื้นรันเวย์ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ ให้ผู้โดยสารทุกท่านคาดเข็มขัดนิรภัย เฟรเดอริคที่นอนหลับถูกปลุกด้วยเสียงของชิลล์ลูกน้องคนสนิท เพื่อที่จะให้เจ้านายของตนคาดเข็มขัดนิรภัย
พอเฟรเดอริคลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่า ศีรษะของตนเองนั้นอิงกับศีรษะของใครบางคนที่ซบลงบนหัวไหล่ของเขา ดวงตาคมเข้มปรายตามองเจ้าของศีรษะเล็ก ที่หลับตาพริ้มด้วยรอยยิ้ม เขารู้สึกดีไม่มีอาการรำคาญใจหรือตะขิดตะขวงใจ แต่อย่างใด เมื่อรู้และเห็นวาพลอยพัตราซบอิงหัวไหล่ของเขาแทนหมอน หากเป็นผู้หญิงคนอื่น ป่านนี้เขาผลักศีรษะให้ออกห่างหัวไหล่ของเขาแทบไม่ทัน เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังนอนหลับอิงหัวไหล่ของเขาอยู่ ถ้ารู้คงปรี๊ดแตกน่าดู
“เพตรา เพตราตื่นได้แล้ว เครื่องบินจะลงแล้ว”
เฟรเดอริคปลุกคนที่นอนหลับด้วยเสียง ส่วนมือก็เขย่าลำแขนของเธอเบาๆ คนที่ถูกปลุกลืมตางัวเงียตื่นขึ้นมา สีหน้าของเธอฉงนเล็กน้อย เพราะมีความรู้สึกว่าเธอกำลังเอนศีรษะซบกับอะไรบางอย่างอยู่...บางอย่างที่ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่น ปลอดภัยตลอดระยะเวลาที่เธอเข้าสู่ห้วงนิทรา
พลอยพัตราหลุบตามองไปเบื้องล่าง สายตาหวานก็พบกับลำแขนของใครบางคน ก่อนที่เธอจะนึกทบทวนว่าใครคือคนที่เธอนั่งข้างๆ ด้วย แล้วคงเป็นเจ้าของ “บางอย่าง” ที่เธอพักพิงมาตลอดทาง หญิงสาวดึงศีรษะของตัวเองให้ตั้งตรงตามเดิม ก่อนจะหันไปมองเจ้าของหัวไหล่ที่เธออิงซบ พอหันไปมองหน้าหมีตัวโตจอมกวนเท่านั้น หัวใจสาวหล่นไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม หัวใจเต้นโครมครามหาจังหวะไม่ได้เลย เขากำลังยิ้มให้เธอ เป็นยิ้มที่ผู้หญิงเห็นแล้วใจแทบละลาย
“เครื่องบินจะลงแล้ว รัดเข็มขัดด้วยนะมัวแต่นอนน้ำลายยืดอยู่ได้” เสียงของเฟรเดอริคทำให้พลอยพัตราปรี๊ดแตกทันที คนอย่างเธอน่ะหรือจะนอนน้ำลายไหล ไม่มีทาง
“ฉันไม่เคยนอนน้ำลายไหล คุณอย่ามามั่ว” เธอพูดอย่างเขินอาย หน้าแดง ระเรื่อ
“นี่ไงหลักฐาน เห็นหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่น้ำลายของเธอแล้วจะเป็นน้ำลายของใคร”
นิ้วชี้เรียวยาวชี้ไปที่น้ำลายที่เปรอะอยู่ตรงแขนเสื้อของเขา เธอมองไปตามนิ้วมือของเขาแล้วหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าเก่า มีหลักฐานอย่างนี้เธอคงเถียงไม่ออก นึกก่นด่าตัวเองว่าเป็นคนนอนหลับน้ำลายไหลตั้งแต่เมื่อไหร่ ปกติเธอไม่มีนิสัยแบบนี้อยู่แล้ว
เฟรเดอริคยิ้มชอบใจกับสีหน้าของพลอยพัตรา น้ำลายของเธอที่ไหลเปรอะ แขนเสื้อของเขา น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกรังเกียจหรือขยะแขยง หากเป็นผู้หญิงคนอื่นนอนน้ำลายยืดใส่เสื้อผ้าของเขา ป่านนี้เขาคงถอดเสื้อตัวนั้นแล้วปาใส่หน้าผู้หญิงคนนั้น ไปแล้ว
“เอ้า...เช็ดให้แล้ว”
พลอยพัตราเอ่ยบอกชายหนุ่มขณะที่หยิบผ้าเช็ดหน้าของตนไปเช็ดน้ำลายของตัวเองบนแขนเสื้อของเขา จากนั้นก็หันมาสนใจคาดเข็มขัดนิรภัย เนื่องจากเครื่องบินจะลงสู่รันเวย์แล้ว
“โอ๊ยๆๆๆ!!!” ใบหน้าของคนที่กำลังคาดเข็มขัดหันมามองต้นเสียงที่ร้องครวญ เจ็บ
“คุณเป็นอะไร?”
“ฉันปวดแขนไปหมดเลย ก็เธอเล่นอิงไหล่ฉันจนฉันไม่กล้าขยับตัวไปไหน เมื่อยมากๆ ดูสิขยับไม่ได้เลย ชาดิกอย่างกับท่อนไม้”
เขาแกล้งทำเป็นยกแขนไม่ขึ้น ตัวต้นเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายมีอาการเช่นนี้ถึงกับทำหน้าตาเหลอหลา ทำอะไรไม่ถูก เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับคำพูดของเขา
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง คุณพูดเกินไปหรือเปล่า?”
“พูดเกินไปที่ไหน เธอไม่ได้เป็นคนถูกอิงซบนี่เธอก็เลยไม่รู้ว่ามันชา มันเมื่อย มันปวดแค่ไหน” เขาย้อนกลับจนอีกฝ่ายอึ้ง
“เดี๋ยวฉันนวดให้ก็แล้วกัน เป็นการไถ่โทษ”
การไถ่โทษของพลอยพัตราก็คือการใช้มือนวดไปที่ลำแขนข้างที่เธออิงซบ นวดให้เขาไปมาตลอดทั้งลำแขน คนที่ถูกนวดตอนนี้แทนที่จะหายเมื่อยขบตามที่พูดออกไป เลือดลมในกายกลับเดือดพล่านคล้ายกับว่ามือเล็กๆ นุ่มๆ ของเธอคือฉนวนนำความร้อน ส่งผ่านเข้ามาในร่างกายของเขา
โอ้...พระเจ้า เขาเป็นอะไรไปนี่ ทำไมร่างกายมันพลุ่งพล่าน อัดแน่นไปด้วยความปรารถนาเช่นนี้ ผู้หญิงร่างเล็กคนนี้มีอิทธิพลต่อร่างกายของเขามากขนาดนี้เชียวหรือ
“โอ๊ย!!...” อารมณ์ที่มีอยู่ในร่างกายของเฟรเดอริคเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดทันที เมื่อมือเล็กจงใจใช้ปลายนิ้วทั้งสิบนิ้วจิกลงบนลำแขนหนาอย่างแรง
“เจ็บนะ นวดเบาๆ หน่อยสิ” เฟรเดอริคหันมาบ่นกับหมอนวดมือหนัก
“ดี สมน้ำหน้า คุณไม่ได้เมื่อย แขนไม่ได้ชาอย่างที่พูดนี่นา โดนแค่นี้มันยังน้อยไป”
ตอนที่เธอกำลังนวดให้เขาอยู่นั้น เธอได้เงยหน้ามองชายหนุ่มพอดี และได้เห็นสีหน้าเคลิ้มฝันของเขา และมั่นใจว่าเขาไม่ได้เมื่อยและปวดขาอย่างที่พูดออกมาจริงๆ หมีตัวโตจอมเจ้าเล่ห์คงแกล้งเธออีกเช่นเคย พลอยพัตราเลยเอาคืนเล็กๆ น้อยๆ ทั้งที่ต้องการทำมากกว่านี้
“เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่เมื่อยแขนจริงๆ”
“รู้ก็แล้วกัน ก็หน้าตาคุณมันฟ้องน่ะสิ ตาบ้า อย่าให้ฉันเจอคุณอีกเลย แค่ครั้งเดียวก็เต็มกลืนแล้ว”
พูดจบพลอยพัตราก็ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วลุกขึ้นยืน หยิบกระเป๋าที่ใส่ไว้ช่องด้านบน จากนั้นก็เดินไปยังประตูเครื่องบินที่มีผู้โดยสารคนอื่นๆ ต่อคิวเดินลงจากนกยักษ์ลำใหญ่
“เราได้เจอกันอีกแน่ เพตรา”
เสียงของเฟรเดอริคเอ่ยออกมาเบาๆ ขณะที่ร่างสวยสะบัดตัวเดินหนีไป เวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดของเขาก็คือทำธุระเรื่องของรอยซ์ มอโร น้องชายฝาแฝด เขาต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อนที่รอยซ์จะกลับมาเมืองไทยในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า
ณ บ้านเช่าหลังเล็กชั้นเดียวในตรอกแคบๆ กลางชุมชนแห่งหนึ่งใน กรุงเทพมหานคร เสียงเด็กชายอายุหนึ่งขวบหนึ่งเดือนแผดเสียงร้องจ้า สตรีนางหนึ่งอายุยี่สิบหกปีรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของลูกชาย
“เป็นอะไรครับน้องโดม?”
ดารินเอ่ยถามลูกชาย ก่อนจะอุ้มหัสดินหรือน้องโดมไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพาเดินไปรอบๆ บ้านพร้อมกับปลอบโยน
“ริน ทำไมไม่พาโดมไปหาหมอล่ะ น้องโดมไม่สบายมาหลายวันแล้วนะ”
เสียงของป้าเอียดที่อาศัยอยู่บ้านติดๆ กันแล้วยังเป็นพี่เลี้ยงของหัสดินตอนที่เธอไปทำงาน นางเอ่ยถามดารินด้วยความเป็นห่วงอาการป่วยของเด็กชาย
“พาไปแล้วจ้ะป้า พาไปเมื่อวานนี้จ้ะ หมอก็ให้ยามาบอกแค่ว่าน้องโดมเป็นไข้หวัดธรรมดา กินยาไม่กี่วันก็หาย”
ดารินตอบด้วยน้ำเสียงหนักใจ คุณแม่ลูกหนึ่งพาลูกชายไปหาแพทย์แล้วเมื่อวานนี้ แพทย์ที่ให้การรักษาบอกว่าลูกชายของเธอเป็นไข้หวัดธรรมดา ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง