บทที่ 1 หลานสาว (นอกไส้) ของเจ้าสัว
นลินีมองฝนที่ตกกระหน่ำลงมาในเวลาห้าโมงเย็น มันคงเป็นฝนราชการสินะ เพราะตกตรงเวลาเลิกงานเป๊ะทีเดียว
“กลับบ้านยังไงล่ะทีนี้ ไม่ได้เอาร่มมาด้วย”
คนบ่นพึมพำเป็นพนักงานฝ่ายจัดซื้อซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของนลินี หล่อนหันไปมองเพื่อนที่ตีหน้ายุ่ง สีหน้าส่อแววกังวล แล้วจึงบอกอย่างแสดงน้ำใจ
“เรามีร่ม เดี๋ยวเราเดินไปส่งปานที่ป้ายรถเมล์หน้าบริษัทก็แล้วกันนะ”
“ไม่เป็นไร ฝนตกแรงขนาดนี้ เธอจะออกไปเดินให้ฝนสาดทำไม ว่าแต่วันนี้คุณแต๊งจะไปส่งเธอใช่ไหม ฉันเจอเขาที่หน้าลิฟต์เมื่อช่วงบ่าย เธอรอเขาอยู่ในนี้แหละ ไม่ต้องหาเรื่องไปเปียกฝนข้างนอก”
นลินีไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธเรื่องที่ปานวาดพูดถึงตัวเอง แต่หล่อนกำลังนึกถึงตัวคนพูดมากกว่า ปานวาดคงรีบกลับบ้าน เพราะเจ้าตัวมีลูกชายวัยขวบเศษที่จ้างเพื่อนบ้านเลี้ยงในช่วงมาทำงาน หล่อนมองร่มในมือ แล้วตัดสินใจส่งให้คนที่จำเป็นต้องใช้มากกว่า
“ปานเอาร่มของเราไปเถอะ เธอจะได้กลับบ้านเร็วๆ ฝนตกอย่างนี้ กว่าจะหยุดก็คงอีกนาน ถ้าขืนวิ่งฝ่าฝนไปที่ป้ายรถเมล์ เธอก็คงเปียกทั้งตัวพอดี”
รอคำนี้อยู่พอดี...ปานวาดยิ้ม สีหน้าปิดความรู้สึกไม่มิด
“เกรงใจจัง แล้วเธอไม่ใช้เหรอ”
ปากบอกว่าเกรงใจ แต่มือก็ยื่นไปรับร่มมาถือเรียบร้อยแล้ว
“ไม่เป็นไร ปานเอาไปเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเอามาคืนเรา”
“ได้สิ งั้นฉันขอยืมร่มวันหนึ่งก็แล้วกัน ความจริงเธอเองมีคุณแต๊งอยู่ทั้งคน ไม่จำเป็นต้องใช้ร่มหรอก แค่บอกให้เขาเข้าไปส่งถึงข้างในบ้าน แค่นี้ก็ไม่โดนฝนแล้ว สบายกว่าฉันตั้งเยอะ”
เพื่อนร่วมงานพูดจ๋อยๆ ขณะเก็บข้าวของลงในกระเป๋าสะพาย เมื่อเสร็จก็จ้ำเท้าเดินออกไป โดยไม่ลืมถือร่มคันนั้นไปด้วย
นลินีพ่นลมหายใจอย่างลืมตัว กระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะคิก หล่อนจึงรู้สึกตัวว่าตนเองไม่ได้อยู่ตามลำพัง
“พี่ครีมก็เป็นซะอย่างนี้ ยอมคนไปหมด เมื่อกี้มุกฟังพี่ปานพูดก็รู้แล้วว่าเขาอยากยืมร่มของพี่ครีมไปใช้ ทำยังกับคนอื่นพกร่มคนละ 2-3 คัน ทีตัวเองไม่เตรียมมา รู้ทั้งรู้ว่าเข้าหน้าฝนแล้ว ฝนตกเกือบทุกวัน แล้วยังกล้าเอาของคนอื่นไปใช้อีก”
“อย่าพูดมากไปสิ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้ามันจะไม่ดี พี่รอจนฝนซาได้ พี่ไม่มีธุระต้องรีบกลับบ้าน”
“ไหนๆ มุกก็ต้องเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าอยู่แล้ว เราไปด้วยกันไหม พี่ครีมจะให้มุกเดินไปส่งตรงไหนก็ได้ มุกมีร่มมาด้วย”
สาวรุ่นน้องแสดงน้ำใจ ขณะที่นลินีนึกเอะใจว่าทำไมเจ้าตัวถึงไม่คิดเหมือนปานวาด นั่นก็คือหล่อนยังมีผู้ชายที่ชื่อแต๊งคอยรับส่งอยู่...หากหญิงสาวก็ปัดความสงสัยนี้ออกไป แล้วปฏิเสธความหวังดีนั้นเสีย
“ไม่เป็นไร มุกรีบกลับบ้านไปเถอะ เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน ฝนตกอากาศครึ้มขนาดนี้ แค่หกโมงเย็นก็มืดแล้ว”
เพราะรู้ว่าทางเข้าหอพักของสาวรุ่นน้องค่อนข้างเปลี่ยว นลินีจึงบอกเจ้าตัวเพราะห่วงใย อีกทั้งเห็นว่าร่มคันเล็กๆ คันเดียวแทบจะกันฝนให้เจ้าตัวไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเพิ่มหล่อนเข้าไปอีกคน มีหวังคงเปียกโชกกันทั้งคู่
เมื่อเพื่อนร่วมงานในแผนกทั้งสองคนกลับบ้านไปแล้ว ดังนั้นจึงเหลือหล่อนเพียงคนเดียว นลินีเปิดไฟในห้องทำงานจนสว่างจ้า อย่างน้อยแสงสว่างในยามมืดครึ้มด้วยลมฝนก็ช่วยให้หล่อนอุ่นใจมากขึ้น
หญิงสาวนั่งเท้าคางมองสายฝนข้างนอกผ่านผนังกระจก ภาวนาให้ฝนหยุดสักที เพราะหล่อนนั่งรออยู่อย่างนี้เกินครึ่งชั่วโมงแล้ว...ทว่านอกจากฝนไม่ซาลงแล้ว แต่มันกลับเทลงมาหนักกว่าเดิม
กวินทร์เก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋ากางเกงหลังจากจบการคุยกับแม่ที่อยู่คนละทวีป แม่เป็นห่วงเขา กลัวว่าเขาจะไม่ได้รับการต้อนรับจากเจ้าสัวธงชัย ถ้าเป็นเช่นนั้น แม่กลัวว่าเขาจะเสียใจ
กวินทร์ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่แม่กลัวได้เกิดขึ้นจริงๆ เจ้าสัวธงชัยไม่ได้ยินดีกับการยืนยันที่จะอยู่ที่เมืองไทยของเขา แม่คาดเดาไม่ผิด แต่มันเป็นจริงแค่เพียงครึ่งเดียว เพราะถึงแม้เขาจะถูกไล่ตั้งแต่วันแรกที่เหยียบเข้าไปในบ้านหลังนั้น แต่มันไม่ได้ทำให้จิตใจของเขาสั่นคลอนสักนิด
‘ไม่ว่าคุณตาจะพูดยังไง วินก็อย่าโกรธคุณตานะลูก จริงๆ แล้วคุณตารักวินมาก ตอนที่แม่คลอดวินได้แค่สามเดือน แม่ก็ต้องออกไปช่วยพ่อทำงาน กว่าจะกลับบ้านได้ก็ค่ำมืด เพราะงานกำลังขยายตัว แม่ก็ได้คุณตานี่แหละที่กลับบ้านเร็วเพื่อคอยป้อนนมและอุ้มกล่อมวิน จนวินเองก็ติดมือคุณตาไปเลย...ตอนวินอายุได้สักขวบเศษ วินรู้ไหมว่า ในแต่ละวันกว่าคุณตาจะออกไปทำงานได้ก็ต้องใช้เวลานานทีเดียว เพราะวินชอบเดินไปกอดขาคุณตา ไม่ให้คุณตาออกไปนอกบ้าน’
ดวงตาของแม่ที่เขาเห็นผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือยังคงสุกสกาวเมื่อพูดถึงความหลัง...ดูเหมือนว่ามันยังเด่นชัดอยู่ในความทรงจำของแม่
แม่ไม่ต้องห่วงผมนะครับ ผมไม่โกรธคุณตา เพราะถึงยังไงเขาก็เป็นคนที่แม่รักมาก ผมไม่ทำร้ายจิตใจของแม่อย่างแน่นอน
ในตอนนั้นเขาไม่ขัดคำพูดของแม่ ถึงแม้เรื่องเล่าของแม่จะไม่เหลืออยู่ในความทรงจำของเขาสักนิดก็ตาม
หากถามว่าเขาจำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับเจ้าสัวธงชัยได้บ้าง มันคงมีเพียงเสียงตะโกนไล่ตามหลังเมื่อแม่อุ้มน้องสาวและจูงเขาที่เพิ่งตื่นงัวเงียให้ออกไปให้พ้นจากบ้าน แถมยังตบท้ายว่าห้ามทุกคนกลับมาให้เห็นหน้าอีกด้วย...
“ไม่ต้องกลับมาให้เห็นหน้า...ผมก็กลับมาแล้วไงครับคุณตา ผมที่เป็นลูกของพ่อกับแม่ แถมยังนั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการของบริษัทคุณตาอีกด้วย”
หัวใจหนุ่มลำพอง ดวงตาคมกวาดมองไปรอบห้องทำงานโอ่โถงที่เขาเข้ามาครอบครองครบหนึ่งสัปดาห์อย่างพึงใจ
เกือบหกโมงเย็น กวินทร์เดินออกมาจากห้องทำงาน หลังจากเขานั่งทำงานเพื่อรอเวลาฝนซาไปได้สักพักใหญ่ หากทันทีที่เปิดประตูห้องออกมา พลันพบกับหัวหน้ายามรักษาความปลอดภัยที่กำลังด้อมๆ มองๆ เข้ามาพอดี
“สวัสดีครับคุณกวินทร์ ผมขึ้นมาตรวจดูความเรียบร้อย พอดีผมเห็นข้างในเปิดไฟอยู่ครับ”
“ตามสบาย ผมจะกลับแล้ว”
เอ็มดีหนุ่มยกมือเป็นเชิงลา เมื่อเขากำลังเดินตรงไปยังลิฟต์ คนที่ละล้าละลังก็รีบตัดสินใจบอก
“คุณกวินทร์ครับ ผมขอรบกวนครับ”
“มีอะไรหรือ” ชายหนุ่มชะงักเท้า แล้วหันกลับมาเลิกคิ้วถาม
“ผมเห็นว่าคุณนลินียังไม่กลับบ้าน ผม เอ่อ...ทราบว่าคุณกวินทร์กับเธอไปทางเดียวกัน ผมก็เลยจะขออนุญาตให้คุณนลินีติดรถกลับบ้านด้วยได้ไหมครับ”
“นลินี? ใครหรือ?”
กวินทร์มุ่นคิ้วงุนงง เขานึกชื่อนี้ไม่ออก ซึ่งอีกฝ่ายก็ตีสีหน้าประหลาดใจกับคำถามของเขาเสียอีก
“คุณกวินทร์ไม่รู้จักเธอหรือครับ ก็คุณครีมที่เป็นหลานสาวของท่านประธานยังไงล่ะครับ”
หลานสาวของท่านประธาน...คำนี้ทำเอากวินทร์คอแข็ง