บทย่อ
“ความจริงเขากับหนูยังไม่มีอะไรกันค่ะ” “ผมกับครีมเป็นผัวเมียกันแล้วครับ มาถึงขั้นนี้แล้ว คุณจะอายไปทำไม” “คุณพูดอะไร” นลินีงงไปหมดแล้ว หากกวินทร์ไม่สนใจเธอ เขาหันไปหาพ่อของเธอแทน “เป็นตั้งแต่ตอนเราอยู่ที่เขาใหญ่ ผมขอโทษคุณพินิจด้วยครับ ผมพร้อมจะรับผิดชอบครีม” นลินีแทบตะกุยหน้าเขา ทำไมเขาถึงทำให้เสียเรื่องได้ขนาดนี้... “ถ้าลูกสาวของผมไม่ต้องการ ผมก็ตามใจลูกสาว” “ครีมกับผมรักกันครับ” กวินทร์ยืนยัน หากมันดูเสียสติมากในสายตาของนลินี เธอต้องการดึงสติเขากลับมา แต่เธอก็ไม่กล้าพูด ได้แต่ถลึงตาใส่เป็นสัญญาณบอกให้เขารู้ตัว ------------------------ กวินทร์ ไม่แตะต้องของของคุณตาหรือลุง ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรกันมา เขาก็เลือกที่จะรักษาสายเลือดที่เข้มข้นเอาไว้ก่อน แต่เมื่อ นลินี ยืนยันว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงของใคร ดังนั้นผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ใช่ของต้องห้ามสำหรับเขา
บทนำ
“คุณตาไม่ต้องห่วง ผมจะอยู่ทำงานกับคุณตาจนครบหนึ่งปีแน่นอน ผมบอกแล้วว่าจะมาอยู่กับคุณตาแทนพ่อกับแม่ ยังไงผมก็รักษาคำพูด”
คำพูดของหลานชายคนโตที่เกิดจากลูกสาวคนเดียวซึ่งย้ายไปลงหลักปักฐานอยู่ที่สหรัฐอเมริกานานเกือบยี่สิบปีนั้นทำให้เจ้าสัวธงชัยนั่งตีหน้าขรึม หากสีหน้าของเขาก็ไม่ต่างกับคนพูดนัก นั่นจึงทำให้บรรยากาศภายในห้องกว้างกลายเป็นสถานที่ชวนอึดอัด คล้ายอากาศไม่พอหายใจขึ้นมาแทน
“ถ้าแกต้องอยู่ที่นี่อย่างจำใจก็อย่าอยู่มันเลย เก็บของกลับอเมริกาไปซะ ฉันอยู่ของฉันมาได้ตั้งนานแล้ว ไม่เคยต้องการให้ลูกหลานคนไหนกลับมาอยู่ใกล้ตัว”
ชายหนุ่มยิ้มหยัน เขาเกือบคิดว่าคำประกาศของคุณตาเป็นเพียงคำประชดของคนแก่ที่น้อยใจลูกหลาน ถ้าสายตาไม่แลเห็นคนที่ยืนตัวลีบจนแทบจะสิงเข้าไปในผนังบ้านเข้าเสียก่อน
เขาจำผู้หญิงคนนี้ได้ แม้เคยเห็นจากรูปถ่ายแค่เพียงครั้งเดียว...หล่อนเป็นลูกสาวคนเล็กของลูกหนี้ตัวดีของเจ้าสัวธงชัย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือลูกสาวอดีตคู่กรณีของพ่อกับแม่ของเขา ถึงใครจะลืมเรื่องราวเก่าๆ แต่สำหรับเขา...บอกเลยว่าไม่มีวันลืม!
กวินทร์เชื่อสุดใจด้วยว่าคำพูดของเจ้าสัวธงชัยเมื่อสักครู่นั้นมันออกมาจากใจ เพราะเท่าที่มองจากสายตา เขาก็เห็นเพียงชายชราที่อยู่ดีกินดี ห้อมล้อมไปด้วยบริวาร แถมยังไม่ขาดผู้หญิงสาวไว้คอยรับใช้ข้างตัวอีกต่างหาก...เมื่อเป็นอย่างนี้ มันก็เป็นเรื่องที่ทำให้เข้าใจได้ว่าเจ้าสัวธงชัยไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะให้ลูกหลานกลับมาอยู่ใกล้ตัวอีก
ดวงตาคมฉายแววเจ้าเล่ห์ มันดูมีชีวิตชีวา ทว่าส่อแววร้ายกาจไม่น้อย
“ผมบอกคุณตาว่าผมจะอยู่ ผมก็ต้องอยู่ครับ และคนอย่างผมก็ไม่เคยฝืนใจทำอะไรด้วย”
กวินทร์ทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงกระหยิ่ม ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง...เขาไม่สนใจว่าเจ้าสัวธงชัยจะคิดอย่างไร แต่เชื่อว่าตัวเองไม่ได้พูดแรงเกินไป เพราะคนแก่อย่างตาของเขาแข็งกร้าวเกินกว่าที่ใครจะนึกถึง
เขาจากเมืองไทยไปตั้งแต่อายุสิบขวบ เขาโตพอที่จะจำเหตุการณ์พลิกชีวิตในคราวนั้นได้ พ่อกับแม่ถูกเจ้าสัวธงชัยไล่ให้ออกจากบ้านในตอนกลางคืน แม่ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับอุ้มน้องสาววัยสามขวบให้หลับซบบ่า แล้วพาออกไปจากบ้าน โดยมีพ่อนั่งรออยู่ในรถตรงหน้าประตูรั้ว
ค่ำคืนนั้นครอบครัวของเขาทั้งสี่คนใช้โรงแรมเป็นที่พัก ซึ่งเขารู้ภายหลังว่ามันเป็นโรงแรมของเพื่อนสนิทของพ่อ เขาพักพิงอยู่ที่นั่นนานเกือบเดือน ระหว่างนั้นเขาเพียรถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองและครอบครัว แต่พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน เขารู้เพียงแต่ว่าตัวเองต้องย้ายไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา แต่ไม่ต้องกลัว เพราะพ่อแม่และน้องสาวจะไปพร้อมกับเขาด้วย
ในความเป็นเด็ก กวินทร์ดีใจที่รู้ว่าภายใต้สถานการณ์ไม่ปกตินั้น ครอบครัวของเขายังอยู่ด้วยกัน หากเกิดความใจหาย เมื่อจู่ๆ ต้องย้ายออกจากบ้านหลังใหญ่ที่เคยอาศัยมาตั้งแต่จำความได้ อีกทั้งยังต้องล่ำลาเพื่อนๆ ที่โรงเรียน เขามีโอกาสแค่โทรศัพท์ไปบอกลาเพื่อน โดยให้เหตุผลตามที่พ่อและแม่บอกไว้...นั่นก็คือเขากับน้องสาวจำเป็นต้องติดตามพ่อและแม่ที่ต้องย้ายไปทำงานที่สหรัฐอเมริกา
ถัดจากนั้นกวินทร์ก็จดจ่ออยู่กับเรื่องของตัวเอง เขาต้องปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ เรียนรู้ในที่แห่งใหม่ มันจึงทำให้เขาไม่เหลือความสนใจเรื่องที่ยังคาใจอีก
กระทั่งเขาเติบโตขึ้นมา เรื่องราวที่เกิดกับครอบครัวในวันนั้นถึงเข้ามาให้รับรู้เรื่อยๆ...หากยิ่งรับรู้มากเท่าไร กวินทร์ก็เกิดความสงสัยว่าผู้ชายแก่คนนี้เป็นพ่อแท้ๆ ของแม่จริงหรือ ทำไมท่านถึงได้ไร้ความยุติธรรมกับครอบครัวเขานัก