๒ เกี้ยวพาราสี (๒)
“หกค่ะ ฉันหมายถึงน้ำหก...ขอตัวนะคะ” เธอยิ้มหน้าซื่อแล้วเปลี่ยนคำศัพท์อย่างรวดเร็ว หมุนกายแล้วเดินออกจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็เร็วกว่าเมื่อรีบตรงไปยืนขวางหน้าหล่อนได้ทันท้วงที พร้อมคิดจะคว้าแขนหญิงสาวเอาไว้ แต่เธอกลับเบี่ยงตัวหลบทัน
“เดี๋ยวก่อนสิ...ผมอยากขอโทษเรื่องเมื่อเช้าที่ผมจูบคุณโดยที่คุณไม่เต็มใจ ผมรู้สึกผิดจริง ๆ นะ” พอพูดถึงเรื่องนี้เธอก็หน้าตึงทันที เผลอกำหนังสือแน่นแล้วเม้มปากเพื่อไม่ให้ผรุสวาทออกไป ยังคงจ้องดวงหน้าคมเพื่อหาร่องรอยความรู้สึกผิด กลับพบเพียงดวงตาเจ้าเล่ห์ที่รู้สึกไม่ถูกชะตา
“เหรอคะ คุณรู้สึกผิดแน่เหรอ”
“ใช่”
“ถ้าอย่างนั้นก็จำความรู้สึกนั้นให้ขึ้นใจ แล้วอย่าเที่ยวจูบผู้หญิงมั่วซั่วอีก ถึงคุณจะเป็นดาราแต่ก็ไม่มีสิทธิ์บังคับจิตใจใครให้ทำตามที่คุณต้องการ” ถือโอกาสสั่งสอนเขาไปในตัว แล้วดูเหมือนไบรซ์จะนิ่งค้างไม่คิดว่าจะถูกตอกกลับ
ทว่าเขาไม่อาจให้หญิงสาวเข้าใจผิดในบางส่วน จึงก้าวเข้ามาใกล้หล่อน ก่อนบอกด้วยเสียงเนิบช้าพร้อมยกยิ้มมุมปากอย่างเป็นต่อ
“ผมไม่เคยบังคับนะ เขาสมยอมกันทั้งนั้น” หล่อนกำมือแก้วน้ำส้มแน่นขณะที่ได้สบดวงตาคมทรงเสน่ห์ ไม่ได้หลงใหลหรือเพ้อละเมอไปกับความใกล้ชิดที่เขามอบให้ เธอรู้ว่ามันเหมือนผลไม้ที่อาบยาพิษ ถ้าลองชิมอาจส่งผลถึงแก่ชีวิต
“เว้นฉันไว้คนหนึ่งแล้วกัน”
ควรห่างกับไบรซ์เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
พูดจบก็รีบเดินออกจากสถานที่นั้นอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ร่างสูงมองตามแล้วอมยิ้มลำพัง เขาจ้องแผ่นหลังบางจนเธอเดินลับสายตา ก่อนจะสะดุ้งเมื่อมีมือมาพาดที่ไหล่ พอหันไปมองจึงเห็นเพื่อนสนิทที่ตนหลอกให้ไปที่อื่นแล้ว
ทำไมถึงยังอยู่ตรงนี้...
“นายชอบเธอเหรอ” เป็นคำถามที่สั้น กระชับและได้ใจความ ทว่าไบรซ์เลือกปลดมือเพื่อนออกจากไหล่แล้วชักสีหน้าใส่อย่างไม่สบอารมณ์
“มาตั้งแต่เมื่อไร”
“ฉันไม่ได้ไปหาแม็คแต่แรกเพราะคิดว่าหมอนั่นคงกำลังนอนอยู่บนเตียงกับสาวสักคน แต่ไม่อยากขัดนายให้เสียหน้าเลยแอบฟังบทสนทนา คงไม่ว่ากันใช่ไหมเพื่อน” ถึงจะไม่ชอบใจที่ตนถูกแอบฟัง แต่ก็เลือกมองข้ามเพราะเห็นอีกฝ่ายเป็นเพื่อน
เขาเริ่มจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ใบหน้าหวานผุดเข้ามาในห้วงความรู้สึกชัดขึ้นเรื่อย ๆ ยามเธอจ้องเขาตาเขม็งหรือมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ มันช่างเร้าอารมณ์เสียเหลือเกิน ไม่รู้เมื่อไรที่สายตาเหลียวมองหาเพียงหล่อน
ถ้าเป็นการเล่นตัว ก็ถือว่าเธอทำได้สำเร็จ ที่จูงใจให้เขาอยากเข้าใกล้
“น่าสนใจ...เหมือนม้าพยศ” พึมพำพูดเสียงเบา แต่คนที่อยู่ใกล้ได้ยินชัดเจนจึงรีบถามเสียงตื่นเต้น เหมือนกำลังดูภาพยนตร์เรื่องโปรดฉากสำคัญ
“นายอยากปราบไหมล่ะ”
“แววตานายดูเจ้าเล่ห์นะวิล” รีบหันมาสบตาคนที่ยืนข้างกัน เขาเห็นถึงความสนุกสนานในดวงตาคู่นั้นจนอดไม่ได้ที่จะเย้ากลับ
“เรามาเล่นเกมระหว่างอยู่บนเกาะไหม...ถ้านายเอาชนะใจเธอได้ ฉันยอมยกพูลวิลลาที่ไอโอวาให้นายหนึ่งหลัง สนไหมล่ะ” ความสนุกที่เขาตั้งตารอจะได้ชมโดยมีเพื่อนคนดังเป็นตัวเดินเกม ถึงขนาดยอมยกบ้านพักตากอากาศหลังใหญ่เพื่อจูงใจอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนไบรซ์จะยังไม่ค่อยพอใจเท่าไรกับของที่ถูกหยิบยื่นมาตรงหน้า
“แค่พูลวิลลาเหรอ”
“แลมโบกินีหนึ่งคัน” รถราคาแพงค่อยทำให้คนที่ไม่คิดเข้าร่วมต้องตาวาวขึ้นมาหน่อย ถึงเขาจะมีเงินมากมายมหาศาลจากผลงานในวงการบันเทิง แต่การซื้อรถยนต์ยี่ห้อหรูต้องใช้เวลาคิดเป็นอย่างมาก
ตนไม่ค่อยได้ขับรถเอง หรือถ้าขับก็เลือกมอเตอร์ไซค์และรถยนต์สี่ประตูที่สามารถขนคนและของไปได้เยอะ
เมื่อวิลลี่ยื่นแลมโบกินีมาให้ใช้ฟรี เพียงแค่แลกกับการเอาชนะใจผู้หญิงคนหนึ่ง มันดูง่ายจนเขาอยากตอบรับเสียเดี๋ยวนั้น แต่ก็ยังยั้งปากเอาไว้
“นายทุ่มเกินไปหรือเปล่า ฉันคิดว่านายสนใจเธอซะอีก” ตอนแรกที่เห็นวิลลี่มาคุยกับพลอยดาวยังนึกขัดใจที่เพื่อนสนิทสนใจผู้หญิงคนเดียวกัน แต่พอเจอข้อเสนอนั้นก็ต้องคิดใหม่อีกรอบ ไม่ใช่ว่าจะมาแทงข้างหลังกันนะ
“ฉันก็แค่หว่านเผื่อเลือกไม่ได้จริงจัง ต่างกับนายที่อยากเอาชนะเธอไม่ใช่เหรอ ลองหน่อยไหม...ของรางวัลฉันให้จริงนายก็รู้” เอื้อมมือมากอดไหล่หนาเอาไว้อีกครั้ง พยายามจูงใจให้คนที่คิดไม่ตกเพราะของรางวัลค่อนข้างดึงดูด
แต่ที่สำคัญมากกว่านั้นคือเขาอยากเห็นแววตาแข็งกร้าวของเธออ่อนแสงลง อยากให้พลอยดาวยอมสยบอยู่ใต้อาณัติของตัวเอง เกลียดการเชิดใบหน้าของหล่อนแล้วเหลียวมองเขาเพียงหางตา ไม่เคยมีใครทำอย่างนั้นกับตนมาก่อน
ไม่เคยเลย...
มันค่อนข้างท้าทายกับเขาพอสมควร
“ตกลง...ฉันจะเอาชนะใจเธอให้ได้ภายในสามวัน” ประกาศกร้าวต่อหน้าวิลลี่ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มกริ่มแล้วเอ่ยล้อ
“อย่างนายแค่วันเดียวก็น่าจะปิดดีลได้ไม่ใช่เหรอ” ใครบ้างจะต้านทานเสน่ห์ของไบรซ์ไหว ขอเพียงป้อนคำหวานไม่ถึงวันก็หลงคารมเป็นแถบ พลอยดาวก็คงไม่ต่างจากคนอื่น
“คนนี้ต่าง...” แต่ร่างสูงก็ขัดเพื่อนเอาไว้ ถึงจะยอมเล่นสนุกกับวิลลี่ ทว่าเป็นครั้งแรกที่เขาไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไร เสน่ห์ของตนจะเอาชนะใจของหญิงสาวได้หรือเปล่า
“ถ้านายทำไม่สำเร็จล่ะ นายจะให้อะไรฉัน”
“ไม่มีคำว่าไม่สำเร็จ ฉันยอมทุ่มหมดหน้าตักเลย” เรียกความมั่นใจให้ตัวเอง จากนั้นจึงเริ่มแผนการช่วงชิงหัวใจหม่อมหลวงพลอยดาวทันที ด้วยแผนการตีสนิทเพื่อทลายกำแพงสูงเฉียดฟ้าที่กั้นระหว่างเราเอาไว้
ช่วงเย็นคือการสังสรรค์เต็มรูปแบบ พวกเขาเลือกจัดอยู่ริมสระน้ำโดยมีดีเจมาเปิดเพลงสุดมันให้ได้โยกกาย อาหารพร้อมเครื่องดื่มเตรียมพร้อม แต่ไม่มีสิ่งเสพติดเพราะภรรยาขอร้องเอาไว้ คนเป็นสามีจึงต้องบอกว่านอกจากสุราและบุหรี่ ไม่อนุญาตให้เล่นยาในสถานที่แห่งนี้ ทุกคนจึงต้องยอมทำตาม
เสียงเพลงดังกระหึ่ม ต่างพากันโยกกายแล้วกระโดดลงน้ำ ว่ายเล่นในสระและเริ่มเล่นวอลเลย์บอลในน้ำ แต่ไฮไลต์ของงานก็ยังเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่เต้นเคียงคู่กัน เรียกเสียงโห่แซวรอบทิศ
หม่อมหลวงพลอยดาวยิ้มตามเมนิษาที่ประกายความสุขเปล่งมาจากแววตา เธอดีใจกับเพื่อนเป็นอย่างมาก ค่อนข้างโล่งใจที่ต่อจากนี้อีกฝ่ายคงจะพบแต่ความสุข
กระดกแก้วขึ้นดื่มไวน์จนหมด แล้วค่อยเดินออกมาเงียบ ๆ เพื่อนั่งริมหาดคิดทบทวนเรื่องของตัวเอง ยอมรับว่าอิจฉายามเห็นคนมีคู่
เพราะเธอเองก็หวังว่าตนจะสมหวังในรักเช่นเดียวกัน แต่ความจริงไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่คิดเลยสักนิด เธออกหักเพราะคนที่รักแต่งงานกับเพื่อนของตน
ถึงมันจะเป็นเพียงแค่รักข้างเดียว แต่ก็แอบรักมานาน...
ในขณะที่เขาคิดเพียงว่าหล่อนเป็นน้องสาว กลับเป็นเธอเองที่คิดไกลมากกว่านั้น ที่โสดไม่ใช่เพราะไม่มีใครถูกใจ แต่หัวใจถูกมอบให้ชายผู้หนึ่งแล้วต่างหาก
“ในงานไม่สนุกเหรอคุณถึงออกมานั่งเล่นคนเดียว” จังหวะที่กำลังเหม่อมองทะเล มือเกลี่ยพื้นทราย ปล่อยสมองให้โล่งแล้วหลับตาดื่มด่ำกับบรรยากาศตรงหน้า
กลับมีเสียงแทรกจนต้องหันไปมอง แล้วพบหนุ่มหล่อที่นุ่งเพียงกางเกงขายาวปิดเรือนกายด้านล่าง ส่วนท่อนบนเปลือยเปล่าโชว์แผงอกล่ำกับกล้ามท้องน่าหลงใหล จนเธอต้องผินหน้ากลับมามองทะเลดังเดิม
“เปล่าค่ะ ฉันแค่ชอบอยู่คนเดียว ไม่อยากคุยกับคนอื่นเท่าไร” ตอบเหมือนกำลังไล่เขากลาย ๆ แต่ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ หรือทราบแต่ไม่สนใจจะทำตาม ยังทรุดกายนั่งลงข้างหล่อนพร้อมเอ่ยสนับสนุน
“เหมือนผมเลย ผมก็ชอบอยู่คนเดียว”
“ฉันว่าคุณค่อนข้างแปลกนะคะ ฉันแสดงออกชัดเจนว่าไม่ค่อยชอบคุณและไม่อยากคุยกับคุณ ทำไมถึงเดินมาหาฉันบ่อยนักล่ะ เพื่อนคุณเยอะแยะในงานไม่เข้าไปหาเพื่อนเหรอ ปล่อยฉันอยู่เงียบ ๆ คนเดียวบ้างเถอะ”
จากอารมณ์เศร้าโศกแปรเปลี่ยนเป็นฉุนเฉียวทันที หม่อมหลวงพลอยดาวไม่ได้สังเกตตัวเองเลยว่าเป็นครั้งแรกที่ตนพูดร่ายยาวและแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
ยามอยู่ที่ไทยหล่อนมักจะเป็นคนโอนอ่อนผ่อนตาม ไม่ค่อยปฏิเสธใครเท่าไร แทบจะไม่โวยวายเลยด้วยซ้ำ เป็นคนพูดน้อยจนหม่อมภัทรวดีมักแซวหลานสาวว่ากลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปาก