๒ หมายหัว (๒)
บุลลาเดินตามถนนดินลูกรัง พลางกระทืบเท้าด้วยความขัดใจ ไม่เคยรู้สึกเกลียดผู้ชายคนไหนขนาดนี้มาก่อนเลย นอกจากจะฉวยโอกาสกับเธอแล้วยังปล่อยให้เดินกลับไร่ด้วยระยะทางกว่าสามกิโลเมตรอีก
..ไอ้ผู้ชายเฮงซวย! ชาตินี้ทั้งชาติก็อย่าหวังว่าจะญาติดีด้วยเลย
เตะก้อนหินแถวนั้นหวังระบายอารมณ์แต่เตะสูงมากเกินไปทำให้ทรงตัวไม่อยู่ล้ม ก้นกระแทกพื้นทำเอาระบมไปทั่วบั้นท้าย
“โอ๊ย! ทำไมมันซวยแบบนี้” ลุกขึ้นก็ปัดฝุ่นออกแล้วเดินกะเผลกเข้าไร่ ตอนนี้บ่ายสองยังไม่เลิกงาน จึงไม่มีใครผ่านมาทางนี้เลย มองข้างทางก็เห็นแต่ทุ่งหญ้าไกลสุดลูกหูลูกตาจนรู้สึกท้อที่จะเดิน มือเล็กยกขึ้นปาดเหงื่อบริเวณใบหน้า
ยังไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ อยากจะนั่งลงแล้วร้องไห้แต่ทำอย่างนั้นก็ไม่ช่วยให้ถึงเร็วขึ้น จึงกัดฟันฝืนเดินไปตามทาง ภายในใจก็ยังสาปแช่งพณณกรไม่เลิก อันที่จริงเขาและเธอยังไม่รู้จักกันอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ ชื่อแซ่ก็รู้เท่าที่คนอื่นเรียก ท่าทางดูไม่แยแสใคร หน้าตาหล่อเหลาที่เคร่งขรึมราวชีวิตพบพานแต่ความทุกข์
ขอให้อมทุกข์ตายไปเลย!
ในระหว่างที่เดินก็ได้ยินเสียงม้าวิ่งมาทางนี้ บุลลาจึงหันกลับไปมอง ก็พบคนที่ตนแช่งอยู่ในใจควบม้าสีดำเลื่อมมุ่งตรงมาตามทางจนฝุ่นตลบ ดวงตาหวานเบิกขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาบังคับม้าให้วิ่งมาหาเธอด้วยความรวดเร็ว
เพียงชั่วพริบตาเหมือนอยู่ในความฝันเพราะคนตัวสูงโน้มมาคว้าเอวเล็กแล้วใช้แรงทั้งหมดกระชากให้บุลลาขึ้นไปนั่งบนอานม้าโดยมีเขาซ้อนหลัง หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะความกลัวผสมกับความรู้สึกตื่นเต้นราวกำลังถ่ายภาพยนตร์แอ็กชันระดับโลก
เธอไม่ได้ฝันไปใช่ไหม แทบจะยกมือขึ้นตบหน้าตนเองถ้าไม่ติดที่ว่าลำแขนหนาโอบกอดเธอเอาไว้เพราะเขาต้องจับบังเหียน และเพราะเหตุนี้ทำให้สองร่างแนบชิดกัน จนเธอสัมผัสได้ถึงแผ่นอกหนาและหน้าท้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าเสื้อเกราะกันกระสุนเสียอีก
..คนเราจะมีรูปร่างที่ดีขนาดนี้เลยหรือ
“หายใจบ้างก็ได้ กลัวจะขาดอากาศตาย” ร่างสูงกระซิบข้างหูเสียงแหบพร่า
จนรู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง บุลลาไม่กล้าขยับมากเพราะแค่รับรู้ถึงลมหายใจ ที่รดใบหูก็รู้สึกแปลกอย่างไม่เคยเป็น เหมือนมีผีเสื้อบินวนอยู่ในท้อง ร่างกายแข็งทื่อเป็นหิน
เหมือนกับว่าตอนนี้นอกจากม้าและเขายังควบคุมเธออีกด้วย
พณณกรยกยิ้มมุมปาก ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมต้องพาอดัมมาวิ่งเล่นทางเข้าไร่ด้วยทั้งที่ปกติมักจะพาเจ้าแห่งความเร็วไปวิ่งที่ทุ่งหญ้ากว้าง อาจเพราะเห็นแผ่นหลังบางมีแต่เหงื่อเปียกชุ่มก็อดสงสารไม่ได้
ใช่ มันก็แค่ความสงสารนั่นแหละ..
สรุปเองในใจแล้วลอบสูดดมกลิ่นกายหอมไม่ให้เจ้าของร่างรู้ตัว อดัมมีฝีเท้าที่เร็วเพราะจัดเป็นประเภทม้าแข่ง ใช้เวลาไม่นานก็มาส่งร่างบางถึงไร่พืชผักโดยมีสายตาของคนงานนับสิบมองมา
ไม่เว้นแม้บานเย็นผู้เป็นมารดาตาแทบถลนออกจากเบ้า
“ปล่อยได้แล้ว คนอื่นมอง” ม้าหยุดแล้วแต่ดูเหมือนเจ้าของมันจะยังคงโอบกอดเอวเล็กเอาไว้ไม่ปล่อย จนหล่อนต้องควานหาเสียงตนเอง กระซิบบอกเสียงเข้ม
“อ้าวเหรอ ขอโทษแล้วกัน” ปล่อยแขนออกจากบังเหียนม้าแล้วลงมายืนข้างล่าง ช่วยบุลลาลงจากหลังม้าด้วยการจับเอวบาง ใช้แรงยกหญิงสาวลงจากหลังม้าโดยไม่สนสายตาหลายคู่ที่กำลังจ้องมองด้วยความสนใจ
ร้อยวันพันปีสัตวแพทย์หนุ่มเคยสนใจสาวในไร่เสียที่ไหน ครั้งนี้มาแปลกถึงกับพาคนงานใหม่มาส่งถึงที่
ไม่ธรรมดาเสียแล้ว
“เดี๋ยว ไม่ขอบคุณหน่อยหรือไง”
หลังจากลงมายืนได้ หล่อนก็ตัดสินใจจะเดินหนี ไม่อยากยืนเสวนากับเขาให้ตกเป็นขี้ปากของชาวไร่
“ขอบคุณ” กระแทกเสียงใส่พร้อมทำหน้าบึ้ง
จนพณณกรมองด้วยความไม่ชอบใจ โดยไม่รู้เลยว่าที่จริงเธอกำลังพยายามเก็บอาการใจเต้นแรงที่เกิดขึ้นกับผู้ชายคนนี้ต่างหาก
..ไม่ได้นะบัว คนที่เธอควรตื่นเต้นเมื่ออยู่ใกล้คือคุณชลธีเจ้าของไร่เท่านั้น หมอนี่ก็แค่สัตวแพทย์เงินเดือนไม่กี่หมื่น อย่าเอามาทำพันธุ์เชียว ไม่อย่างนั้นคงได้คลุกน้ำปลากินกับข้าว
ส่ายศีรษะพยายามสะกดจิตแล้วมองร่างสูงด้วยแววตาเรียบนิ่ง
“ถ้าไม่อยากพูดขนาดนั้นก็ไม่ต้องพูดหรอก” ใบหน้าคมที่แต้มยิ้มกลับเรียบเฉย ก่อนขึ้นควบม้าบังคับให้มันวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วทิ้งไว้เพียงฝุ่นตลบ
เมื่อลับหลังเจ้าของม้าแสนสวย คนงานก็เดินแกมวิ่งเข้ามาจับแขนเล็กด้วยสีหน้าแตกตื่น
“บัวมันเกิดอะไรขึ้นทำไมหมอเขาได้มาส่งแก” บานเย็นถามเสียงตื่นเต้น ไม่เคยคิดว่าคนที่ใหญ่พอๆ กับคุณชลธีจะมาสนใจบุตรสาวของตน
คนในไร่รู้ดี ถึงแม้ว่าพณณกรจะไม่ใช่เจ้าของไร่ ทว่าก็ดูแลฟาร์มจนแทบจะเป็นหุ้นส่วนกับชลธี คนงานจึงให้ความเคารพสองหนุ่มแทบไม่ต่างกัน อีกทั้งคุณหมอของเหล่าสัตว์เข้าถึงคนงาน ชอบเฮฮาสังสรรค์แต่เวลางานก็จริงจังจนไม่มีใครกล้าเล่น
“ก็คุณธีให้ไปในอำเภอกับหมอนั่น ก็เลยได้มาด้วยกันแค่นั้นแหละ” อธิบายอย่างรวบรัดไม่อยากลงรายละเอียดมากกว่านั้น
“แต่ถึงขนาดขี่ม้ามาส่งมันไม่ใช่แล้วนะ ข้าได้ยินว่าคุณหมอหวงม้าจะตาย ไม่มีผู้หญิงได้ขี่สักคน” ป้าคนหนึ่งกล่าวเสียงเข้ม
จนคนอื่นพยักหน้าเห็นด้วยและประโยคนั้นก็เรียกเลือดจนแก้มนวลแดงปลั่งอย่างเขินอาย
“ก็ ก็แค่รถเสียน่ะป้า ถามอะไรก็ไม่รู้ฉันจะไปทำงานแล้ว” หลีกหนีจากกลุ่มคนเดินไปนั่งยังแคร่ใต้ร่มใหญ่ซึ่งเป็นที่ทำงานของคนที่ไร่ผัก ส่วนมากก็มีหน้าที่แตกต่างทั้งดูแลผัก เก็บพืชผล คัดเลือกเมล็ด แพ็กใส่ถุงบรรจุภัณฑ์สำหรับวิจัยและสำหรับขาย
คนอื่นยังคงยืนสนทนาถึงเรื่องเมื่อสักครู่ ไม่เหมือนบานเย็นซึ่งเดินมานั่งข้างลูกสาวของตน พลางใช้สายตาจับผิด
“อะไรแม่ มองหนูแบบนั้นทำไม” อึดอัดกับสายตาราวจะมองทะลุเข้าไปถึงข้างในใจก็เอ่ยถาม
“ไหนบอกว่าชอบคุณธี ทำไมไปหวานกับหมอเอิร์ธได้”
“หวานอะไร เกือบตีกัน แม่สายตาไม่ดีนะเนี่ย” หล่อนส่ายศีรษะแสร้งทำเป็นว่าคำกล่าวของมารดาไม่เป็นจริง
ทว่าไม่อาจรอดพ้นสายตาของคนที่เลี้ยงบุลลามาตั้งแต่เด็กหรอก หากถามต่อก็คิดว่าลูกคงไม่พูดความจริงจึงไม่เอ่ยอะไรอีก ให้เวลาพิสูจน์ทุกอย่างเองดีกว่าจะได้รู้ว่าใครกันจะเป็นลูกเขยของเธอ
ก็หวังว่าลูกสาวจะไม่เอนเอียงไปทางคุณหมอเสน่ห์แรงหรอกนะเพราะรายนั้นร้ายใช่เล่น..ดูจากสายตาก็พอจะรู้แล้วมองบุตรสาวของนางราวกับจะกลืนกินขนาดนั้น
..จะรอดหรือเปล่าลูกเอ๊ย
หลายวันผ่านไปเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างคุณหมอแห่งฟาร์มสายรุ้งและบุลลาคนงานใหม่ก็เริ่มซาเพราะมีข่าวใหญ่ให้ตื่นเต้นคือ ไร่รุ่งอรุณได้รับรางวัลจากอำเภอให้เป็นไร่ดีเด่นแห่งปี
ชลธีจึงได้จัดงานเลี้ยงฉลอง เชิญคนงานจำนวนกว่าเจ็ดสิบมาสังสรรค์กัน โดยใช้สถานที่คือทุ่งหญ้ากว้างบนพื้นที่ฟาร์มสายรุ้ง ขณะนี้ผู้ชายกำลังช่วยตั้งเวทีขนาดเล็ก ส่วนผู้หญิงก็เริ่มกางโต๊ะกลมนำเก้าอี้มาวางแล้วใช้ผ้าสีน้ำเงินปูทับ
“คุณธีครับ คือว่าผม” ดนัยเดินเข้ามาหาคนเป็นเจ้านายด้วยใบหน้ากระอักกระอ่วน
จนร่างสูงที่ยืนกอดอกมองคนงานจัดสถานที่อย่างขยันขันแข็งหันมาจ้องด้วยความสนใจ
“มีอะไรก็ว่ามาเถอะครับคุณนัย” เห็นอ้ำอึ้งอยู่นานจึงถามเสียงนุ่มไม่ได้กดดันแต่อย่างใด
“ของรางวัลที่จะจับสลากผมยังไม่ได้ซื้อมาเลยครับ”
ใบหน้าคมที่ติดหวานแย้มยิ้มออกมาทันทีเมื่อมองผู้จัดการไร่ก้มศีรษะลงเพื่อขอโทษ
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปในเมืองพอดีจะแวะซื้อมาให้ คุณนัยไม่ต้องคิดมากเรื่องแค่นี้เองผมก็นึกว่าเรื่องคอขาดบาดตายเสียอีก”
ดนัยได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มออก ไม่น่ากังวลเลยเพราะคุณชลธีไม่เคยจะดุด่าหรือว่ากล่าวสักครั้ง มีเพียงรอยยิ้มละไมมอบให้
บุลลาซึ่งกำลังปูผ้าลงบนโต๊ะหูผึ่งทันทีเมื่อได้ยินอย่างนั้น เธอมองซ้ายแลขวาเห็นว่าคนเยอะเพราะฉะนั้นหากขาดตนไปสักคนก็ไม่เป็นไรหรอก คิดแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์เดินแกมวิ่งไปหาร่างสูงที่ผละจากผู้จัดการไร่ไปดักหน้าเขาเอาไว้
“อ้าวคุณบัว มีอะไรหรือเปล่าครับ”
แค่เขาจำชื่อได้หล่อนก็รู้สึกเหมือนตัวจะลอยแล้ว คนงานมีเกือบร้อยทว่าชลธีกลับบันทึกชื่อของเธอไว้ในสมอง
..เขาต้องสนใจเธอเป็นแน่!
“คุณธีจำบัวได้ด้วยเหรอคะ” ร่างสูงพยักหน้า
“ครับ ผมจำชื่อคนงานได้ทุกคนนั่นแหละครับ”
หัวใจที่พองโตแฟบลงทันทีเมื่อเขาใช้คำพูดที่เหมือนเข็มแหลมมาทิ่ม แต่ก็ยังพยายามฝืนยิ้มเอาไว้
..ไม่เป็นไรหรอกอย่างไรก็จำได้นั่นแหละ จะจำทุกคนหรือจำแค่เธอคนเดียวมันไม่สำคัญขนาดนั้นหรอกน่าบุลลา
“ว่าแต่คุณบัวมีธุระกับผมหรือเปล่าครับ”
..แค่น้ำเสียงก็น่าฟังยังจะวิธีการพูดจาที่เหมือนผู้ดีอีก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาอาจมาจากตระกูลผู้ดีมรดกทางบ้านคงไม่ต่ำกว่าร้อยล้าน
แค่คิดใจก็เต้นรัวจินตนาการเห็นเงินปึกหนาลอยมาวางแทบเท้าแล้ว
“บัวต้องเข้าไปซื้อของในเมืองค่ะ เลยจะมาขออนุญาตคุณธีก่อน” บอกเสียงอ่อยพลางทำตาโตให้ดูน่าเอ็นดูขยับเข้าใกล้ร่างสูงเพียงนิดเพราะไม่อยากแสดงออกมากให้ไก่ตื่น จะต้องค่อยตะล่อมไปทีละนิดเสียก่อน
ส่วนของจริงน่ะหรือ...คืนนี้รู้กัน
“พอดีเลยผมก็กำลังจะเข้าเมือง ถ้าอย่างนั้นไปด้วยกันไหมครับ”
..คำนั้นแหละที่ต้องการได้ยิน
บุลลาฉีกยิ้มปากแทบจะถึงหูแล้วกระโจนเข้าไปเกาะแขนหนาทันที
“จริงเหรอคะ คุณธีจะเข้าไปพอดีหรือคะ ถ้าอย่างนั้นบัวขอรบกวนหน่อยนะ” แอบสูดดมกลิ่นหอมจากกายสูงก็โอดครวญในใจ
.. แม้แต่น้ำหอมที่ใช้ยังดูแพงเลย ชีวิตเธอต่อจากนี้จะต้องสุขสบายไปทั้งชาติอยู่บนกองเงินกองทองไปตลอดเป็นแน่ แม่จ้า บัวจะได้ผัวรวยก็คราวนี้แหละ
“ไม่เป็นไรเลยครับ คนกันเองทั้งนั้น ไปกันเถอะ” เขาไม่ได้ว่าอะไรกับการถึงเนื้อถึงตัวของหล่อน ซ้ำยังปล่อยให้เกาะแขนเดินไปขึ้นรถไม่อายสายตาของคนงานหญิงที่มองมาด้วยความดูแคลน
“สัปดาห์ก่อนก็หมอเอิร์ธ วันนี้คุณธี มันแรดจริงๆ” ฟ้ามุ่ยสะบัดผ้าคลุมโต๊ะแล้วกระแทกเสียงด้วยความเหยียดหยามให้อริที่ไม่ชอบหน้า
คนอื่นที่อยู่บริเวณนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่ ข้าดูก็รู้ว่ามันอยากจับคุณธี อยากเป็นคุณนายจนตัวสั่น เห็นแล้วหมั่นไส้จริงวุ้ย! ก็แค่อีกาเผยออยากเป็นหงส์ คุณเขาไม่มีวันสนใจมันหรอก” สาลี่จัดเก้าอี้แล้วหันมาเอ่ยสมทบเพราะนึกหมั่นไส้ผู้หญิงที่มาทำงานไม่นานก็เป็นที่กล่าวขานของผู้ชายทั้งไร่ จนหลายคนยกตำแหน่งให้เป็นสาวสวยเลยด้วยซ้ำ
..หึ หน้าตาก็งั้นๆ แหละไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลย
การสนทนาที่เต็มไปด้วยความดูแคลนต่อบุลลายังคงไม่สิ้นสุด ขุดมาตั้งแต่สมัยเรียนประถมด้วยกันจนถึงมัธยมศึกษาปีที่หกก่อนร่างบางจะเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ หวังหารายได้มาจุนเจือครอบครัวเพราะขาดเสาหลักอย่างบิดาไปด้วยโรคร้าย
พณณกรขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากคอกหมูหวังไปดูสถานที่จัดงานคืนนี้ ใจก็ไพล่นึกถึงใบหน้าหวานที่ไม่ได้เจอนานเพราะเขายุ่งกับงานในฟาร์มจนแทบไม่ได้ไปไหน ตกเย็นคนงานก็ชวนไปลองยาดองสูตรใหม่ เมาหลับจำทางกลับบ้านแทบไม่ถูก
“บ้าแล้วไอ้เอิร์ธ ใครจะไปอยากเห็นผู้หญิงหน้าเงินแบบนั้น” สะบัดศีรษะปฏิเสธใจตนเองทั้งที่ริมฝีปากยังแต้มยิ้ม
ระหว่างทางที่ขับไปเขาก็เห็นรถยนต์สี่ประตูสีดำเงาของเพื่อนขับตรงมาเสียก่อน อาจเป็นเพราะกระจกที่ติดฟิล์มดำจึงไม่เห็นคนที่นั่งด้านใน กระทั่งสวนทางกันเขาจึงหยุดรถและชลธีก็ชะลอก่อนจะใส่เบรกมือเลื่อนกระจกลงฝั่งที่นั่งข้างคนขับเพื่อคุยกับเพื่อนสนิท
ดวงหน้าคมของคุณหมอสัตวแพทย์เคร่งขรึมลงเมื่อสบดวงตากลมโตก่อนที่เธอจะหันหน้าหนีการจ้องมองของเขา
“ฉันฝากนายดูคนในไร่จัดงานเลี้ยงหน่อยนะ พอดีต้องเข้าไปในเมืองแล้วจะรีบกลับมา” คนขับชะโงกหน้ามาทักทายเพื่อนสนิท โดยไม่รู้เลยว่าภายใต้ใบหน้านิ่งขรึมมีลาวาที่ก่อตัวขึ้นพร้อมปะทุหากรถยนต์คันนี้ยังไม่แล่นไป
“อือ จะดูให้”
ชลธีเอ่ยขอบคุณแล้วกดกระจกเลื่อนขึ้นปิดการมองเห็นก่อนรถยนต์จะเคลื่อนตัวออกจากไร่ ทิ้งไว้เพียงอารมณ์ขุ่นมัวของพณณกรจนต้องเร่งเครื่องยนต์เพื่อดับอาการคุกรุ่นที่เกิดขึ้นในใจ เธอเชิดหน้าชูคอไม่หันมาสบตาเขาอีกเลยทำราวกับเป็นคุณนายจนน่าหมั่นไส้
ได้นั่งรถยนต์สมใจแล้วไม่ต้องมาทนนั่งมอเตอร์ไซค์ตากแดดตากลม คิดแล้วก็ยกยิ้มมุมปากอย่างสมเพช ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะสมเพชผู้หญิงคนนั้นหรือสมเพชตนเอง ที่แม้จะมาถึงลานหญ้าแล้วก็ไม่สามารถลืมภาพใบหน้าหวานแสนหยิ่งยโสนั้นได้
ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเมินเขามาก่อนเลย...เธอเป็นคนแรกเลยนะบุลลาที่กล้าเมินฉันแบบนี้!
บนรถยนต์ไม่มีใครรู้ว่าหล่อนต้องควบคุมอาการมากแค่ไหนที่จะไม่ให้พณณกรรู้ว่าลึกๆ แล้วก็แอบมองหาเขาอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลกลใดทั้งที่ควรเกลียดแต่สายตาก็คอยแต่จะชะเง้อว่าหนุ่มร่างสูงผิวเข้มมีหนวดครึ้มจะโผล่หน้ามาเมื่อไหร่ ทว่าจนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นเขาในครรลองสายตา
..แล้วใครสนกันเล่า ผู้ชายที่เธอชอบคือชลธีต่างหาก
หล่อนเตือนตนเองให้สลัดเรื่องของหมอปากมอมออกจากหัวแล้วฉีกยิ้มหวานไปทางคนขับรถกิตติมศักดิ์
“คุณธีเป็นคนที่ไหนเหรอคะ ทำไมถึงมาทำไร่อยู่นี่” เริ่มแผนการตีสนิทขั้นแรกเพื่อสร้างสัมพันธไมตรีอันดีต่อกัน
“ผมเป็นคนกรุงเทพฯ ครับ ชอบทำสวน ชอบอยู่กับธรรมชาติตั้งแต่เด็ก ยิ่งมาเห็นที่ตรงนี้ก็รู้สึกชอบเลยซื้อแล้วเริ่มปลูกผักผลไม้เล็กๆ ก่อนจะขยายจนเป็นอย่างที่เห็นเนี่ยแหละครับ” ขณะที่เล่าใบหน้าหล่อก็นึกถึงอดีตซึ่งตนและพณณกรเป็นผู้บุกเบิกไร่แห่งนี้มาด้วยกัน
ทว่าเพื่อนกลับเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
‘มึงห้ามบอกใครเด็ดขาดว่ากูเป็นเจ้าของไร่อีกคน’
เตือนชลธีเสียงเข้มทั้งแววตาดุดัน
‘ทำไมล่ะ ฉันก็ไม่เห็นว่าจะต้องปิดบังอะไรเลย’
..ไม่เข้าใจสักนิดว่าการเป็นเจ้าของไร่ทำไมจะต้องปกปิดไม่ให้คนภายนอกรู้ด้วย ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายเสียหน่อย
‘กูไม่อยากให้ใครมานับหน้าถือตาเท่าไหร่ ทำตามที่บอกเถอะน่า’
ชลธีพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่ และตั้งแต่นั้นมาทุกคนก็รู้เพียงว่าชลธีคือเจ้าของไร่และฟาร์มแห่งนี้โดยมีพณณกรซึ่งเป็นเพื่อนสนิทช่วยเหลือมาตลอด คนงานจึงให้ความนับถือไม่ต่างกันนัก
“เก่งจังเลย แล้วทำไมถึงรู้จักที่ดินตรงนี้คะ มันอยู่ค่อนข้างลึกเลยนะ”
“อ๋อ มันเป็นที่ของพ่อผมครับส่วนที่เหลือก็ซื้อมาจากชาวบ้านละแวกนี้จนพื้นที่เยอะ เดินทีปวดขาไปทั้งวัน”
คนได้ยินก็ตาโตแอบนับเงินการซื้อขายที่อยู่เพียงลำพัง
..เขาจะต้องรวยแค่ไหนถึงมีเงินซื้อที่ดินกว่าพันไร่ได้ ไหนจะกำไรผลผลิตในแต่ละเดือนอีก
งานนี้แหละไอ้บัวเอ๊ย ได้นั่งกินนอนกินสบายไปทั้งชาติ!