บท
ตั้งค่า

๑ คนนี้แหละใช่เลย (๒)

“คุณนัยครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปในเมืองท่านนายอำเภอเรียกตัว คุณสะดวกไปกับผมไหม”

ผู้ชายที่เข้ามาใหม่เรียกความสนใจจากบุลลาได้เป็นอย่างดี ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเพียงแค่มองใบหน้าหล่อสะอาดสะอ้านที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักในไร่เช่นนี้ รูปร่างสูงโปร่งผิวพรรณนวลละเอียดเสียยิ่งกว่าผู้หญิง หน้าก็หล่อคมคาย ดวงตากลมโตมีขนตายาวเป็นแพ คิ้วหนาดกดำ จมูกโด่งเป็นสันดูธรรมชาติ รับกับริมฝีปากรูปกระจับที่เธอชอบนักหนา เคยอยากไปทำกับหมอศัลยกรรมเสียแต่ว่ากลัวเจ็บจึงต้องยกเลิกไป

สรุปแล้วในใจ ‘โอ้โห หล่อจัง’

“ได้ครับคุณธี แต่ผมขอเวลาสักครู่นะครับ พอดีน้าบานเย็นพาลูกสาวมาทำงานที่ไร่ เลยกำลังคิดว่าจะให้เธอลงที่ไหน” เนื่องจากงานในไร่แบ่งสัดส่วนค่อนข้างชัดเจนและมีหน้าที่หลากหลาย มีทั้งงานไร่พืชผัก ไร่ผลไม้ ฟาร์มสัตว์และร้านขายของหน้าไร่

ร่างสูงหันมามองผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าตนด้วยแววตาเอ็นดู เธออยู่ในชุดเสื้อลายสก็อตค่อนข้างเก่าสวมหมวกปีกกว้างซึ่งบดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง รูปร่างดีเหมือนดารานางแบบมากกว่าจะมาทำงานในไร่กระทั่งใบหน้าหวานเงยขึ้นสบตากับเขา ชายหนุ่มก็ได้ข้อสรุปในใจว่า

..ลูกสาวของคุณบานเย็นสวยไม่เบาเหมือนกัน

“สวัสดีค่ะ”

น้ำเสียงก็หวานไพเราะจนคนที่ไม่เคยสนทนาด้วยไม่รู้สักนิดว่าบุลลาตั้งใจดัดเสียงให้ฟังน่าเอ็นดู

บานเย็นหันมามองบุตรสาวเห็นนัยน์ตาหวานเชื่อมก็ถอนหายใจเสียงเบา

..มาอีหรอบนี้คงไม่พ้นตั้งใจหว่านเสน่ห์แน่นอน

“แม่แนะนำหนูสิ” เห็นชลธีพยักหน้ายิ้มเธอก็รีบกระซิบมารดาเสียงเบา พยายามปั้นหน้ายิ้มอ่อนหวานเหมือนเดิม

“เอ่อ คุณธีคะ นี่ลูกสาวน้าเองค่ะชื่อบุลลาเรียกว่าบัวก็ได้ มันพึ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ เลยอยากหางานให้ทำที่นี่จะได้อยู่ด้วยกัน”

บุลลาแทบจะอยากปรบมือให้แม่ที่กล่าวเปิดได้ดีขนาดนี้ก่อนจะมองใบหน้าคมที่ยิ้มตลอดเวลา

ทำไมสว่างไสวยิ่งกว่าพระอาทิตย์แบบนี้นะ..

“ดีนะครับ ครอบครัวจะได้เป็นครอบครัว ถ้ายังไงก็ให้คุณนัยจัดการแล้วกัน มีปัญหาอะไรก็บอกกันได้ ยินดีต้อนรับนะครับคุณบัว” ใบหน้าคมหันมาส่งยิ้มให้พร้อมเอ่ยต้อนรับ

ทำเอาร่างบางใจอ่อนระทวย แขนขาเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง จนต้องเกาะมารดาเอาไว้เป็นหลักพิง

เขาเดินออกไปแล้วแต่ยังเหลือกลิ่นอายแห่งแสงเจิดจ้าไว้ บุลลาแทบอยากจะลงไปดิ้นบนพื้นพร้อมบอกแม่ว่า

..หนูจะเอาผู้ชายคนนี้ ช่างเพียบพร้อมเหลือเกิน ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนงานธรรมดาแน่นอน อย่างมากตำแหน่งก็ต้องผู้จัดการ เทียบเท่าคุณดนัยหรือไม่ก็...

เจ้าของไร่!

หลังได้งานบุลลาก็โดนแม่ไล่กลับบ้านให้มาเริ่มงานวันพรุ่งนี้ แม้ใจจะไม่อยากกลับเพราะสายตาคอยแต่มองหาชายหนุ่มรูปหล่อ ทว่าก็ไม่อาจสู้สายตาของแม่ได้ จำต้องขับมอเตอร์ไซค์คันเก่ามารอที่บ้านตนเอง ระหว่างนั้นก็ไม่ได้นิ่งเฉย จัดการเตรียมวัตถุดิบเพื่อทำอาหารเย็น ทั้งออกไปรดน้ำต้นไม้และดูแลพืชผักสวนครัวซึ่งปลูกไว้หลังบ้านด้วยจิตใจล่องลอย

แม่กลับมาเมื่อไหร่คงต้องถามให้รู้เรื่องเสียแล้วว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร มีตำแหน่งอะไร หากเป็นเจ้าของไร่ดังที่คิดไว้จริงละก็..

ริมฝีปากบางยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

..ไม่รอดมือไอ้บัวคนนี้หรอก จะจับเสียให้อยู่หมัดเลย ขอเอาเกียรติอดีต พริตตี้อันดับหนึ่งเมื่อสามปีที่แล้วเป็นประกัน!

แดดเริ่มอ่อนได้เวลากลับบ้านของบานเย็น แต่ไม่ว่าจะชะเง้อคอมองสักเท่าไหร่ก็ไม่เห็นมารดากลับบ้านเสียที กระทั่งหลานสาวตัวน้อยเดินแกมวิ่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเปิดประตูรั้วไม้ที่สูงเพียงอก ฮัมเพลงอย่างมีความสุข

“พี่บัวสวัสดีจ้า” เด็กหญิงในชุดนักเรียนยกมือไหว้แล้วย่ออย่างสวยงามสมกับที่ไปประกวดมารยาทไทยคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งหรือพูดให้ง่ายว่าได้ที่สองนั่นเอง

บุลลารับไหว้ด้วยความเอ็นดู

“มีอะไรกินไหมพี่ หนูหิวมากเลย” เดินเข้าบ้านก็บ่นพร้อมกับลูบท้องไปมาแสดงให้เห็นว่าหิวจริง

“ยังไม่ได้ทำ แต่ถ้าอยากกินพี่จะปอกผลไม้ให้ก่อน เอาไหม”

พยักหน้าทันทีพร้อมฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันหลอ รีบเดินเข้าไปกอดเอวพี่สาวคนสวยด้วยท่าทีสนิทสนม ถึงไม่เจอกันนานแต่ก็จำได้ว่าทุกครั้งที่พี่บัวกลับบ้านมักมีของฝากให้เธอเสมอ จึงรักพี่คนนี้มาก

“กินจ้า เดี๋ยวหนูไปเปลี่ยนชุดแล้วจะออกมากินนะ”เด็กหญิงบุรณี เพลงดนัยหรือมะลิ เดินเข้าห้องเพื่อจัดการถอดชุดนักเรียน เปลี่ยนเป็นชุดใส่เล่นแล้วนำเสื้อผ้าของตนใส่ตะกร้าสำหรับซักพรุ่งนี้ เดินออกมานอกห้องก็พบจานผลไม้ถูกจัดวางสวยงาม “พี่บัวจะไปไหน” เห็นร่างบางเดินผ่านหน้าตนพร้อมถือกระเป๋าสตางค์ใบเล็กก็ร้องทักเสียงหลง

“จะไปซื้อของร้านยายดี ผงชูรสกับน้ำปลาหมด ร้องเสียงดังอย่างกับพี่จะหนีไปไหน กินได้แล้วเดี๋ยวพี่มา”

บุรณีถอนหายใจโล่งอกกลัวว่าพี่สาวจะกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ อีก เธออยากให้บุลลาอยู่ด้วยกันที่นี่ไม่ต้องไปไหนแบบนี้ มีความสุขดีจะตาย คิดแล้วก็อมยิ้ม เดินมานั่งกินผลไม้อย่างเอร็ดอร่อยเพื่อเพิ่มพลังก่อนเตรียมตัวไปเล่นกับเพื่อน

ร่างบางเดินออกจากบ้านตรงไปร้านค้าประจำหมู่บ้านที่เป็นเหมือนโชว์ห่วยทั่วไป เสียดายหากมีเซเว่น อีเลฟเว่นก็คงจะดี อาจสะดวกกว่านี้ ทว่าหมู่บ้านเธอความเจริญยังเข้าไม่ถึง จึงต้องพึ่งร้านค้าของคนภายในชุมชนซึ่งใช้พื้นที่โล่งข้างล่างของบ้านเป็นร้านขายของ

“อ้าวบัว กลับมาบ้านแล้วเหรอ คราวนี้จะอยู่นานไหม” ยายดีเป็นเจ้าของร้านโชว์ห่วยแห่งนี้มีอายุเจ็ดสิบปีแต่ยังดูแข็งแรงเหมือนพึ่งหกสิบ ท่านรู้จักเธอตั้งแต่เด็ก มักถามไถ่เสมอ

บุลลาหันไปยิ้มให้ก่อนจะตอบไม่เต็มเสียงนัก

“สักพักจ้ะ”

ร่างบางเดินเลี่ยงไปเลือกของไม่ค่อยอยากสนทนากับท่านเท่าไหร่

“แล้วไปอยู่นู่นมีผัวหรือยัง จะแต่งงานตอนไหนก็ชวนข้าด้วยนะ แต่ถ้าเอ็งแต่งที่กรุงเทพฯ ข้าก็คงไม่ได้ไปหรอก เดินเหินลำบาก คนแก่ก็เป็นอย่างนี้แหละ...”

หญิงสาวแทบจะคว้าของที่ต้องการให้เร็วที่สุดเพราะไม่อยากฟังเจ้าของร้านพูดจาถามไถ่อย่างไร้มารยาทให้อารมณ์เสียไปมากกว่า

คำถามยอดฮิตที่มักจะเจอเมื่อเรียนจบคือทำงานที่ไหนและมันควรจะจบตั้งแต่บอกสถานที่ทำงานทว่าอีกฝ่ายกลับถามต่อถึงเรื่องแฟน ลามไปถึงการแต่งงานจนไม่อาจรู้ได้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นการสิ้นสุดบทสนทนาที่ไม่ต้องการเริ่ม

“อ้าวหมอเอิร์ธ มาซื้ออะไรเหรอ”

คงมีคนเข้าร้านยายดีจึงได้หันไปทักทายลูกค้าคนใหม่ ปล่อยให้บุลลาได้เลือกของอย่างที่ต้องการ

“บุหรี่ครับ”

ร่างบางหยิบของที่ต้องการก็รีบนำไปคิดเงินที่โต๊ะหน้าร้านโดยมียายดีนั่งประจำเพื่อทอนเงินให้ลูกค้า

“หนูเอาแค่นี้แหละ/ผมเอาบุหรี่กล่องนะ”

สองเสียงเอ่ยขึ้นพร้อมกันจนหญิงสาวต้องหันไปมองคนที่แทรกขึ้นมากลางปล้อง

ดวงตากลมโตเบิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะรีบเก็บอาการเอาไว้

..คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วย ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้หล่อมาดแมนจนพระเอกในละครชิดซ้ายขนาดนี้ ถึงจะมีหนวดเคราขึ้นแต่ก็ไม่สามารถบดบังดวงหน้าคมอันมีเสน่ห์ได้เลย

“ของหมอเอิร์ธก่อนแล้วกัน” ยายดีเอ่ยขึ้น กำลังจะคิดเงินให้ชายหนุ่ม

แต่ก็ต้องชะงักเมื่อบุลลากล่าวเสียงสะบัด

“ได้ไงยาย หนูมาก่อนนะ” คนไม่ยอมเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้างอ

..ในเมื่อเธอมาก่อน ทำไมถึงให้ผู้ชายคนนี้จ่ายเงินก่อน มันไม่ยุติธรรมสักนิด

อาการชื่นชมในตัวเขาเมื่อครู่หายไปทันที สัมผัสได้ถึงความไม่เท่าเทียม ทั้งยังสรรพนามที่เอ่ยอีกฝ่ายว่าหมอด้วยน้ำเสียงนุ่มอีกด้วย บุลลารู้สึกเดือดในใจแล้วแสดงออกโดยไม่ยั้งคิด

จนร่างสูงหันมามองด้วยแววตานิ่ง

“แต่ของผมไม่ต้องทอน” เขาวางเงินลงที่โต๊ะก่อนจะคว้าบุหรี่ไปทันทีถอนหายใจเสียงดังราวกับรำคาญเธอหนักหนา

จนร่างบางอ้าปากค้างหันไปมองร่างสูงใหญ่เดินขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ก่อนขับออกไปจากที่ตรงนั้นด้วยความรวดเร็ว

“มาๆ เดี๋ยวข้าคิดให้” สถานการณ์กลับไปเป็นปกติยายดีจึงเอาของใส่ถุงให้ลูกค้าเก็บเงินจากบุลลาแล้วขายของให้คนต่อไปโดยไม่ได้เอาเรื่องเมื่อครู่เก็บมาเป็นอารมณ์

ต่างจากหญิงสาวที่เข่นเขี้ยวในใจเพียงลำพัง

..เห็นว่าเป็นหมอก็ใช้อภิสิทธิ์เหนือคนอื่น จะแทรกคิวหรือทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ

“หึ ก็แค่หมอบ้านนอก” ปรามาสในใจแล้วเดินลงส้นเท้าเข้าบ้าน

จนบานเย็นที่พึ่งกลับมา หันมองอย่างสงสัย

“ไปกินรังแตนมาจากไหนล่ะบัว”

เมื่อได้ยินเสียงมารดาเอ่ยถาม เรื่องของหมอคนนั้นก็เลือนหายไปทันที ร่างบางรีบเดินมานั่งข้างมารดาพลางบีบนวดให้อย่างประจบประแจง จนผู้ให้กำเนิดมองลูกสาวฉงน

..ร้อยวันพันปีไม่เคยอ้อนแบบนี้

“แม่จ๋าแม่บานเย็นของบัว ผู้ชายที่ชื่อคุณธี เขาเป็นใครเหรอจ๊ะ” เริ่มประโยคสนทนาทันทีไม่มีอ้อมค้อม

บานเย็นถอนหายใจ ส่ายหน้าระอาบุตรสาว คิดไว้แล้วไม่มีผิด แค่เห็นแววตาที่บุลลามองเจ้านายก็พอจะเข้าใจเจตนาของคนที่ตนเลี้ยงมากับมือตั้งแต่ยังเด็ก

บ้าผู้ชายไม่มีใครเกินจริงๆ..

“ถามทำไม” ไหล่ที่ปวดเมื่อยบัดนี้มีลูกสาวมาบีบนวดให้ก็พอคลายเหนื่อยได้บ้าง ยกน้ำขึ้นดื่มให้สดชื่นอีกทั้งเอื้อมตัวจะเปิดพัดลม แต่ช้ากว่าบุลลาซึ่งบริการดีเหลือเกินเอื้อมมือไปเปิดพัดลมเบอร์แรงสุดจนผมของนางปลิวลม

“แหมแม่ก็..บัวก็แค่อยากรู้ เห็นท่าทางเขาสะอาดสะอ้านมาดผู้ดี เขาไม่ใช่คนงานธรรมดาเหมือนเราใช่ไหม”

วิเคราะห์เรียบร้อย จนโดนบานเย็นมองค้อน

..ทีอย่างนี้มองทะลุปรุโปร่งเชียว

“อือ คุณชลธีเป็นเจ้าของไร่รุ่งอรุณ”

เพียงแค่คำว่าเจ้าของไร่ถูกกล่าวออกมา บุลลาก็แทบเก็บอาการไม่อยู่ ลุกขึ้นเต้นอย่างดีใจแล้วรีบเข้ามากอดมารดาจนแน่น ทำเอาหายใจแทบไม่ออกต้องตบหลังบอกให้บุตรสาวปล่อย

ร่างบางดิ้นไปมาราวโดนน้ำร้อนลวกก่อนนั่งพับเพียบตรงหน้าบานเย็น จับมือเหี่ยวย่นของแม่เอาไว้ส่งสายตาจริงจังให้คนแก่วัยกว่า

“แม่ หนูถามจริงนะ คุณชลธีมีเมียหรือยัง แต่งงานหรือยัง แม่พอจะรู้ไหม”

นางนิ่งคิดไปครู่ใหญ่ เท่าที่ทำงานอยู่ไร่รุ่งอรุณมา แทบไม่เคยเห็นหรือได้ยินเรื่องราวของคนรักเจ้าของไร่ จนคนทั้งไร่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณชลธีโสดสนิท

“ไม่เห็นแกจะมีใครเลย วันๆ เอาแต่ทำงานไม่ยุ่งเรื่องผู้หญิง บุหรี่ก็ไม่สูบ เหล้าก็ไม่ดื่ม พวกนังหวานนังฟ้ามุ่ยจ้องตาเป็นมันเลยละ”

หล่อนยิ้มร่าเมื่อได้ฟังคำพูดของมารดา แค่ได้ยินว่าโสดก็เป็นที่น่าพอใจแล้ว ยิ่งได้รู้ว่าไม่ดื่มเหล้าไม่สูบบุหรี่ ใจของบุลลาก็พองโตเข้าไปอีก

..คราวนี้แหละหล่อนจะเลือกลูกเขยที่ดีตามแบบฉบับให้มารดา ไม่เอาแล้วพวกดีแต่หน้าทว่าข้างในเหลาะแหละกลวงโบ๋ เข็ดจนวันตาย แค่ต้องใช้หนี้ทั้งที่ไม่ได้ก่อก็สร้างความคับแค้นใจจนอยากเอาไฟไปเผาบ้านพวกนั้นให้ย่อยยับ

“อย่าไปยุ่งกับคุณธีเลยบัวเอ๊ย เรากับเขามันคนละชั้นกัน” จับมือบุตรสาวแล้วลูบเบาๆ

ทว่าร่างบางกลับทำใบหน้างอปากคว่ำลงทันทีเมื่อมารดากล่าวไม่ถูกใจ

“ก็ถ้าบัวได้เขาเป็นผัว เราก็ชั้นเดียวกันแล้วแม่” ไม่ปล่อยให้บานเย็นได้กล่าวต่อว่า บุลลาก็ลุกขึ้นหยิบของเข้าครัวเพื่อทำอาหารเย็นสำหรับครอบครัวที่มีเพียงสามคน

ผู้ให้กำเนิดได้แต่มองตามบุตรสาวไปอย่างหนักใจ มองเข้าไปในดวงตากลมก็พอจะรู้ว่าครั้งนี้ลูกคงเอาจริง

นางไม่ห่วงบุลลาหรอก จะห่วงก็แต่คุณชลธีว่าจะหนีรอดจากปากเสือสาวตัวนี้ได้หรือไม่ คนเข้าตาจนย่อมทำในสิ่งที่คาดไม่ถึงได้เสมอและผลลัพธ์ก็มักจะสำเร็จเสียด้วย

หลังจากที่หมายมั่นเอาไว้ในใจว่าจะต้องปฏิบัติการหาลูกเขยให้แม่ผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ที่มาทำงานภายในไร่รุ่งอรณด้วยตำแหน่งเก็บเมล็ดผักเพื่อนำไปแพ็กใสถุงบรรจุภัณฑ์อย่างดีส่งขายให้ตลาด บุลลาก็ไม่เห็นคุณชลธีเจ้าของไร่สุดหล่ออีกเลย พยายามเดินป้วนเปี้ยนไปยังสวนส้ม ก็ไร้ซึ่งเงา อาสาไปเอาเอกสารให้คุณดนัยก็ไม่เห็นจนเริ่มท้อใจเสียแล้ว

“มาทำอะไรที่นี่ยะ งานของเธออยู่ที่สวนพริกไม่ใช่เหรอ”

..มารมาขัดขวางอีกแล้ว

ร่างบางถอนหายใจพลางหันหน้ามาเผชิญกับหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมีชื่อที่เรียกขานว่าฟ้ามุ่ย อดีตเป็นไม้เบื่อไม้เมากันอย่างไรโตมาก็ไม่ต่างนัก

อีกฝ่ายคิดว่าตนสวยสุดในรุ่น จึงพยายามกีดกันบุลลาทุกอย่าง โดยไม่ดูสารรูปหรือส่องกระจกเลยว่าใกล้เคียงคำว่าตุ่มเข้าไปทุกที

“ฉันเอาเมล็ดพันธ์มาส่ง แหกตาดูบ้างสิ” หล่อนกอดตะกร้าเอาไว้ก่อนส่งสายตาเอือมระอาให้คู่อริที่ด้อยกว่า

จนฟ้ามุ่ยรู้สึกเหมือนควันออกหู คนสวยของไร่มองบุลลาตาขวาง ยิ่งเห็นผิวพรรณของอีกฝ่าย ไหนจะคำเยินยอของผู้ชายในไร่ต่างหลงเสน่ห์แม่นี่กันแทบทุกคน อกก็แทบระเบิด

“เอาวางไว้แล้วก็ไปสิ หัดทำหน้าที่ให้คุ้มเงินเดือนบ้างไม่ใช่เอ้อระเหยลอยชาย”

..คนอย่างฟ้ามุ่ยจะต้องเจอฝ่ามือหล่อนสักครั้งถึงจะสำนึก

วางตะกร้าไว้ที่พื้นห้องสำนักงานที่เครื่องปรับอากาศทำงานจนเย็นฉ่ำจนอิจฉาเหล่าพนักงานที่ได้นั่งตากแอร์สบายอุรา ต่างจากตนที่สัมผัสถึงไอแดดตลอดเวลา

ฟ้ามุ่ยเหมือนจะรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายจึงทำสีหน้าเยาะเย้ยเพราะตนเองเป็นถึงแม่บ้านทำความสะอาดห้องสำนักงานจึงไม่ต้องไปตากแดดตากลมอยู่ข้างนอก

“ออกไปสิ อยู่นานเปลืองอากาศ”

..สาบานได้เลยว่าถ้าเจอข้างนอก หญิงร่างท้วมคนนี้จะต้องโดนเธอตบสั่งสอนเป็นแน่ เข่นเขี้ยวในใจแล้วเดินไปที่ประตูผลักออกอย่างแรงหวังระบายความโกรธ

ทว่ายังไม่ทันจะได้ผลักออกประตูบานนั้นก็ถูกผลักเข้ามาเสียก่อนจะชนเข้ากับหน้าผากได้รูปอย่างแรง

บุลลาเซถอยหลังร้องโอดครวญแล้วจับหน้าผากของตนเองทันที คนที่นั่งทำงานลุกขึ้นจากเก้าอี้ดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ดวงตากลมโตช้อนขึ้นมองคนที่ทำให้เธอต้องเจ็บตัวก่อนจะกำหมัดแน่นเพราะคือคนเดียวกับเมื่อสัปดาห์ก่อนซึ่งจ่ายเงินตัดหน้าหล่อน

..ไอ้หมอไร้มารยาท!

“เปิดประตูไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่เห็นเหรอว่าคนเขากำลังจะออกไป” อารมณ์โมโหปะทุขึ้นอย่างรวดเร็วราวไฟลามทุ่ง ยิ่งดวงหน้าคมมองมาราวกับรำคาญ ก็เหมือนเพิ่มเชื้อไฟเข้าไปในกองเพลิง

จนคนแถวนั้นมองหน้ากันเลิ่กลั่กกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น

พณณกรยิ่งเป็นคนเดาอารมณ์ยากอยู่ด้วย ดีไม่ดีคนห้ามอาจถูกตะเพิด

“ไม่เห็น มันเป็นประตูไม้ฉันไม่ได้มีตาทิพย์จะได้มองทะลุเนื้อไม้หนาขนาดนี้ได้”

น้ำเสียงราบเรียบพร้อมความอึมครึมที่โอบล้อมกายสูง ทำเอาฟ้ามุ่ยรีบถอยหลังไปยืนรวมกลุ่มกับพนักงานสามคนในออฟฟิศ ไม่กล้าสู้แววตาคมกร้าวซึ่งพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ อดนับถือใจบุลลาไม่ได้ที่ยังจ้องตาราชสีห์ตัวนี้ตาไม่กะพริบ

“ทีหลังก็หัดเคาะประตูถามก่อนซะบ้าง”

“แล้วเธอเป็นใครมาสั่งฉัน เมียเจ้าของไร่เหรอ” ร่างสูงย่างสามขุมเข้ามาหา

ท่าทางเอาเรื่องจนคนตัวเล็กเริ่มกลัว แอบก้าวถอยหลังทีละนิด แต่ใบหน้าก็เชิดขึ้นไม่ยอมแพ้

ก่อนทุกคนจะหันไปสนใจบุคคลที่เข้ามาใหม่ซึ่งเปรียบดังแสงสว่างในหน้าหนาว

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

น้ำเสียงคุ้นเคยที่อยากได้ยินเข้ามาในโสตประสาทของบุลลา ทำเอาละสายตาจากผู้ชายตรงหน้าไปหาคนที่เปิดประตูเข้ามา พลางทำหน้าสงสัยเพราะเห็นพนักงานไปยืนออกันอยู่ด้านหลัง

ใบหน้าหวานที่เคยบึ้งตึง ฉีกยิ้มกว้างไม่เก็บอาการอะไรทั้งสิ้นแล้วรีบเดินเลี่ยงชายหนุ่มหน้าตาเหมือนโจรห้าร้อยไปยืนเคียงข้างเจ้าของไร่นามชลธี

“คือว่าผู้ชายคนนี้เขาเปิดประตูกระแทกหน้าบัวน่ะค่ะ คุณธีดูให้หน่อยได้ไหมคะว่าเป็นรอยหรือเปล่า มันเจ็บมากเลย” ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ บุลลารีบทำคะแนนด้วยการเอ่ยน้ำเสียงออดอ้อนทั้งการเขยิบเข้าไปใกล้ชลธี

ทำเอาคนที่โดนกล่าวหาต้องถอนหายใจ เอามือเท้าสะเอวอย่างหาเรื่อง

“แค่แดงครับ ผมว่าทายาก็คงหาย” มองดูหน้าผากก็ไม่ได้แตกแค่ออกสีแดงเล็กน้อย

บุลลาถอนหายใจโล่งอกแล้วส่งยิ้มหวานหวังโปรยเสน่ห์ ทำเอาฟ้ามุ่ยมองด้วยความหมั่นไส้ แต่ไม่กล้าเข้าไปขัดเพราะสัตวแพทย์หนุ่มประจำไร่ยืนหน้ายักษ์อยู่หน้าห้อง

“อะแฮ่ม”

เสียงกระแอมพอจะเรียกสติสองหนุ่มสาวได้บ้าง จึงหันมามองคนที่ยืนเท้าสะเอวทำหน้านิ่งไม่สบอารมณ์

ชลธียิ้มให้เพื่อนก่อนจะผละจากบุลลาไปทันที ทำเอาร่างบางหน้าหงอยลง

“หาตัวตั้งนาน ถ้าฉันไม่ให้เด็กไปตามคงไม่เห็นนาย” ส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจที่เพื่อนหาตัวยากจนแทบไม่เห็นหน้าค่าตา

“เข้าเรื่องเลยที่เรียกมามีอะไร”

เมื่อเหตุการณ์สงบคนที่เหลือจึงเริ่มแยกย้ายกลับไปนั่งประจำโต๊ะตนเองแต่ก็คอยสอดส่องว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า

ต่างจากบุลลาที่ปักหลักไม่ไปไหนเพราะสงสัยในความสนิทสนมของสองคนนี้

..ผู้ชายที่เธอเกลียดขี้หน้าเป็นใครทำไมถึงได้สนิทกับเจ้าของไร่

“ฉันอยากให้นายเข้าไปในอำเภอหน่อย เอาเมล็ดพันธุ์พืชไปแจกท่านเกษตรอำเภอแล้วก็บรรยายเกี่ยวกับผักที่เรากำลังทำการวิจัย พอดีฉันต้องรีบลงกรุงเทพฯ ฝากด้วยแล้วกันนะ” ตบบ่าหนาก่อนจะหันมาเห็นร่างบางที่ยังยืนนิ่งไม่ไปไหน

“อ้อ คุณบัวอยากไปด้วยไหมครับเผื่อจะช่วยอะไรเจ้าเอิร์ธได้ ดีเหมือนกันนะถ้าอย่างนั้นฉันฝากคุณบัวไปด้วยแล้วกัน เธอพึ่งเข้ามา มีอะไรนายจะได้บอกได้สอน” สรุปเองเสร็จสรรพไม่ถามสองหนุ่มสาวสักคำ

หล่อนเผยอปากเล็กน้อยไม่คิดว่าชลธีจะจับตนเองใส่พานถวายให้ผู้ชายหน้าตาสกปรกอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

“เฮ้ยไอ้ธีไม่เอานะเว้ย ไอ้ธีกลับมาก่อน!”

หลังก่อเรื่องชลธีก็รีบเดินออกจากสำนักงานไปอย่างรวดเร็ว ขับรถปิกอัพคันโตเคลื่อนตัวออกจากไร่แทบไม่เห็นฝุ่น ปล่อยให้คนที่เพิ่งมีเรื่องบาดหมางมองหน้ากันราวต้องการหยั่งเชิง

“เดินไปสิ ฉันรู้ว่าตัวเองหล่อไม่ต้องมองขนาดนั้นหรอก” ว่าแล้วก็เดินนำออกไปก่อน ไม่ลืมหยิบตะกร้าซึ่งบรรจุเมล็ดพันธุ์ผักเอาไว้ออกไปด้วย

บุลลามองตามก่อนจะกระทืบเท้าด้วยความขัดใจ ทำเอาเหล่าพนักงานมองตามอย่างอกสั่นขวัญแขวน

ฟ้ามุ่ยรีบเดินไปดูคู่อรินั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของสัตวแพทย์หนุ่มหล่อด้วยความเจ็บใจ

..เธอหรืออุตส่าห์มองมาหลายปี แค่มือก็ยังไม่ได้จับ แล้วนังนั่นมันมีสิทธิ์อะไรถึงขนาดได้นั่งซ้อนท้าย

คิดแล้วก็เจ็บใจจนกำไม้กวาดที่ถือในมือแน่น

..คอยดูเถอะวันพระไม่ได้มีหนเดียว เธอจะต้องทำให้คุณพณณกรหันมาสนใจให้ได้..แม้เขาจะค่อนข้างน่าหวาดกลัวก็เถอะ

บุลลาถอนหายใจหลายรอบเพราะความขัดใจที่ต้องมาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คันเก่าทั้งยังต้องถือตะกร้าขนาดกลางไว้บนตักอีกด้วย การเดินทางค่อนข้างลำบากทั้งแดดร้อนไหนจะฝุ่นระหว่างทางแล้วคนขับก็ไม่ได้นึกถึงเธอเลยสักนิดว่าจะตกรถหรือไม่ ขับเร็วเสียจนนึกว่าจะไปแข่ง

..ขัดใจจริง!

ทุกอย่างไม่เป็นดังที่คิดเอาไว้เลยสักนิด ไม่เลย!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel