บท
ตั้งค่า

๑ คนนี้แหละใช่เลย (๑)

คนนี้แหละใช่เลย

แสงแดดจากภายนอกส่องเข้ามาถึงเตียงกว้างที่มีหญิงสาวร่างบางยังคงนอนหลับอยู่ในห้วงนิทราอย่างมีความสุข เธอฝันว่ากำลังเดินเล่นท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียว มีแกะอยู่รายรอบ เดินเข้ามาดมกลิ่นแล้วก็เลียมือราวกับว่ามันคือของกิน จนอดจั๊กจี้ไม่ได้ ใบหน้าหวานแย้มยิ้มมีความสุขหลังจากนั้นก็มีแกะนอกคอกตัวหนึ่งพุ่งเข้าหาเธอ หมายจะเอาชีวิตเสียให้ได้

ดวงตาของมันจ้องมาที่ร่างบางเขม็งจนรู้สึกชาวาบไปทั่วร่าง หุ่นของมันจากตัวเล็กค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งกลายเป็นคนที่หน้าตาชั่วร้ายราวโจรห้าร้อย หล่อนก้าวขาถอยหลัง ส่ายหน้าไปมาภายในใจก็ภาวนาให้คุณพระ คุณเจ้าได้โปรดช่วยลูกด้วย

ทว่าดูเหมือนสิ่งที่ขอจะไม่เป็นผลเพราะมันวิ่งเข้าหาเธออีกทั้งในมือมีแสงเงาวับจากมีดซึ่งง้างขึ้นเหนือหัวหมายจะแทงมาที่หน้าอกข้างซ้าย วินาทีนั้นคิดแล้วว่าอย่างไรก็ไม่รอดเป็นแน่ เธอหันหน้าหนี หลับตาแน่นสนิทโดยมีน้ำตาไหลออกมาด้วยความกลัว

แต่แล้วกลับมีอ้อมกอดหนึ่งคว้าเธอเข้าที่เอวให้ลอยขึ้นไปบนหลังม้าด้วยกัน

..เขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาเป็นใคร

“ย๊า ย๊า”

แรงกระตุกที่บังเหียนทั้งเสียงที่เปล่งออกจากปากทำเอาร่างกายของหล่อนอ่อนระทวย ความกลัวจากเหตุการณ์สักครู่ถูกลดลงจนเหลือเพียงความรู้สึกอบอุ่นเมื่อตกอยู่ในอ้อมกอดของชายปริศนา ดวงตากลมโตไล่มองตามแขนหนาที่มีเส้นเลือดปูดขึ้นมาตามการใช้แรง ใบหน้าหวานเอี้ยวไปมองหวังจะเห็นดวงหน้าคม แต่แล้วกลับมีลำแสงทาบทับใบหน้าเขาจนต้องหลบสายตา ไม่อาจสู้แสงเจิดจ้านั้นได้

และดูเหมือนแสงนั้นจะไม่หยุดแม้จะพยายามหลบก็ตาม มันทาบทับไปทั่วบริเวณจนไม่อาจต้านทานได้ จึงต้องยกมือขึ้นมาบังพร้อมหลับตาแน่น

“จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหนแม่คุณ มันสิบเอ็ดโมงแล้วนะยะ ไม่คิดจะลุกมาทำงานทำการเลยหรือไง” คนเข้ามาใหม่มองบุตรสาวแล้วส่ายศีรษะเหนื่อยใจ ขนาดเปิดผ้าม่านให้แสงผ่านเข้ามาก็ไม่สามารถปลุกตัวขี้เกียจประจำบ้านให้ตื่นขึ้นมาได้

หล่อนลุกขึ้นนั่งทั้งที่ตายังปิดสนิท แสนเสียดายที่คนเป็นแม่เข้ามาทำลายความฝันของตนที่อยู่กับหนุ่มหล่อ

เขาเป็นผู้ชายขี่ม้าขาว..เอ๊ะ ไม่ใช่ม้าสีขาวสิ ม้าตัวนั้นเป็นสีน้ำตาลเข้มไปทั้งตัว แต่ก็นั่นแหละ แม่เข้ามาทำลายจนอดเห็นใบหน้าคนที่คาดว่าต้องเป็นเนื้อคู่ในอนาคตอย่างแน่นอน

“แค่สิบเอ็ดโมงเอง ถ้าหนูตื่นบ่ายสามค่อยมาบ่น” ขยี้ตาพลางบิดขี้เกียจไปมา ไล่ความเมื่อยขบแล้วลุกขึ้นจากเตียงเดินออกจากห้องไปเข้าห้องน้ำที่มีเพียงห้องเดียวภายในบ้านหลังเล็กหนึ่งชั้นซึ่งอยู่กันเพียงสามคนแม่ลูกและหลานสาว

บุลลา เพลงดนัยอดีตพริตตี้สาวทรงเสน่ห์บัดนี้เหลือเพียงแค่ชื่อให้ได้จดจำกันเท่านั้น เธอจากเมืองกรุงที่ศิวิไลซ์มุ่งกลับมาบ้านที่มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้ใบหญ้า ไม่เจริญหูเจริญตาสักนิด เพียงแค่หนึ่งทุ่มแต่ละบ้านก็พากันปิดไฟเหมือนใครนอนดึกกว่านี้จะต้องโดนสวรรค์ลงโทษ

คนที่ยังไม่ชินอย่างเธอจึงนั่งดูละครเป็นเพื่อนมารดาจนดึกดื่นโดยในมือก็ถือขนมที่เคยหลีกเลี่ยงจะกินเพราะกลัวอ้วน

..แต่ในเมื่อตอนนี้ไม่ได้ทำอะไรที่ต้องใช้รูปร่างแล้วเรื่องอ้วนจึงไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เธอจะกินมันทุกอย่างที่ขวางหน้า!

“แล้วดูสิ เดินออกจากห้องก็ไม่รู้จักเก็บที่นอนเป็นสาวเป็นแส้ทำอะไรไม่เคยเรียบร้อยกับเขาเลย”

ได้ยินเสียงมารดาแว่วมาจากห้องแต่หล่อนก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก บีบยาสีฟันแล้วเริ่มแปรงฟันอย่างช้าๆ

หลังจากล้างหน้าเสร็จก็หยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาซับหน้า ทิ้งลงถังขยะที่อยู่ในห้องน้ำ บ้านหลังนี้เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อสองปีก่อนเพราะเงินของบุลลาส่งมาให้ มารดาจึงได้ทำการเปลี่ยนโฉมบ้านไม้สองชั้นที่ผุพังกลายเป็นบ้านไม้สีขาวชั้นเดียวล้อมรอบด้วยต้นไม้และพืชผักสวนครัว ดูน่ารักและอบอุ่นเหลือเกิน

“แม่จะเก็บให้ทำไม เดี๋ยวหนูก็เข้ามาเก็บเองนั่นแหละ กลับมาเหนื่อยๆ ไปพักเถอะ” เข้าห้องนอนของตนก็พบมารดากำลังเก็บผ้าห่มให้เข้าที่ด้วยการปูคลุมเตียงขนาดห้าฟุตแล้วจัดให้เรียบราวพักโรงแรมห้าดาว บุลลารีบเข้าไปดึงแขนมารดาออกจากห้องจนท่านต้องจับแขนลูกสาวเอาไว้

“ก็ลูกสาวตัวดีไม่ทำน่ะสิ แม่เลยต้องทำให้” คุณบานเย็นเอ่ยเสียงเหนื่อยอ่อนแล้วนั่งลงตรงกลางบ้านหน้าทีวี

ลูกสาวจัดการเปิดทีวีและพัดลมให้แม่ ส่วนตนก็เดินเข้าครัวไปเปิดตู้อาหารดูว่ามีอะไรให้รับประทานบ้างเพราะท้องที่ร้องประท้วงตั้งแต่ตื่น

ผมยาวถึงกลางหลังถูกมัดขึ้นอย่างลวกๆ เป็นมวยกลางกระหม่อมก่อนจะเอาต้มปลานิลกับแกงสายบัวออกมาอุ่น เธอเสียบสายหม้อหุงข้าวอุ่นให้ร้อน ระหว่างนั้นจึงเดินไปหยิบแตงโมซึ่งหั่นชิ้นขนาดพอดีคำแช่ไว้ในตู้เย็นออกไปให้มารดา โดยวางที่โต๊ะอาหารญี่ปุ่น

“ใส่เสื้อผ้าให้มันยาวกว่านี้ไม่ได้หรือไง” มองร่างเล็กซึ่งอยู่ในชุดเสื้อขนาดใหญ่กว่าตัวยาวเลยหน้าขามาเพียงคืบแทบไม่ปกปิดอะไรอย่างระอา

บุลลาก้มมองตนเองพลางทำหน้าสงสัย

“ก็มันชุดนอนไงแม่ หรือว่าแม่ต้องการให้หนูใส่เดรสยาวนอนเหรอ” ว่าพลางเดินเข้าครัวไปตักอาหารใส่ถ้วยใส่ถาดออกมาเสิร์ฟมารดาและตนเอง แต่ก่อนข้าวสวยตักแค่หนึ่งทัพพีก็ต้องอิ่มกลัวอ้วน ส่วนตอนนี้น่ะหรือเธอตักตามใจปรารถนาจนล้นจาน

“ดูตักมา เยอะขนาดนี้จะกินหมดได้ไง” บานเย็นมองแล้วเอ่ยถาม

บุตรสาวซึ่งทำเพียงยักไหล่

“แม่คอยดูแล้วกัน”

สองแม่ลูกนั่งรับประทานอาหารด้วยกัน โดยที่บุตรสาวไม่พูดอะไรอีกเลยเนื่องจากรวบข้าวเช้าและข้าวเที่ยงเป็นมื้อเดียวกัน จานที่มีข้าวพูนจานของบุลลาหมดเกลี้ยงไม่เหลือสักเม็ด จนคุณบานเย็นมองด้วยความทึ่ง

บรรยากาศยามเที่ยงของฤดูหนาว กลับไม่ได้หนาวอย่างที่คิดเอาไว้ แสงแดดยังคงส่องสว่างไปทั่วเพื่อแสดงฤทธิ์ให้รู้ว่า ถึงแม้จะไม่ใช่ฤดูกาลของมัน แต่ช่วงกลางวันก็ยังคงเป็นเวลาของดวงอาทิตย์อยู่ดี

บุลลาล้างจานพลางเช็ดเหงื่อที่ไหลตามใบหน้ากระทั่งจานทุกใบถูกคว่ำอย่างเรียบร้อยจึงหันมาเช็ดมือแล้วออกจากห้องครัว

“พรุ่งนี้ตื่นเช้าแต่งตัวให้เรียบร้อยด้วยล่ะ แม่จะพาไปสมัครงานที่ไร่”

นั่งลงตูดยังไม่ทันจะร้อนมารดาก็หาเรื่องปวดหัวให้เสียแล้ว ใบหน้าหวานงอง้ำทันทีพลางทำปากยื่นปากยาวอย่างน่าตี

“ไม่เอาหรอกแม่ งานไร่พวกนั้นใครจะทำ ดำกันพอดีสิ” ว่าพลางส่ายหน้ายกใหญ่

..แค่คิดก็ขนลุกแล้วจะให้ผู้หญิงสวยอย่างบุลลาไปทำงานไร่ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง ใส่เสื้อผ้าลายสก็อตไร้รสนิยมน่ะหรือ เมินเสียเถอะ!

“แล้วแกจะทำอะไร นอนไปวันๆ แบบนี้น่ะหรือ”

พยักหน้ารับแล้วหยิบแตงโมขึ้นมากัด

“ใช่ จะนอนไปทั้งวันแบบนี้แหละ” หล่อนไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น แค่คิดว่าจะต้องทำงานใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อแต่เสียรู้เพราะความโง่

..อ่า ใช้คำว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์จะดีกว่า

เสียรู้เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ใจมันก็เดือดเหมือนน้ำร้อน จนไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ได้อยากนั่งรถไปกรุงเทพฯ เพื่อจะตะบันหน้าแฟนหนุ่มและเพื่อนรักที่มันกล้าทำกันได้ลงคอ เอาเงินไปเสวยสุขแล้วปล่อยให้เธอทุกข์เพียงลำพัง

ดีนะก่อนมาได้จัดการยายเพื่อนหน้าเนื้อใจเสือ ชกเข้าที่จมูกโด่งจนอีกฝ่ายต้องกลับไปแก้หน้าที่เกาหลีอีกรอบ สะใจดี แต่ก็มารับรู้ทีหลังว่าเงินพวกนั้นก็คือเงินที่เธอสมควรจะได้รับ!

คิดแล้วก็เจ็บใจจนต้องหาทางเบี่ยงเบนความสนใจไปเรื่องอื่น

“ไม่ได้ ฉันบอกคุณดนัยให้แล้วว่าพรุ่งนี้แกจะไปสมัครงาน นอนทั้งวันแบบนี้ได้อืดตายกันพอดี”

เรื่องทั้งหมดยังไม่ถูกเล่าให้มารดาฟัง ท่านจึงรู้เพียงว่าบุตรสาวลาออกจากงานและกลับมาที่บ้านเพราะทนความคิดถึงไม่ไหว

แม้จะไม่เชื่อแต่ก็ไม่อยากซักไซ้อะไรให้มากความ ทำเพียงปล่อยผ่านจนเวลาล่วงเลยมากว่าหนึ่งสัปดาห์ ความอดทนสิ้นสุด ไม่อาจทนมองบุตรสาวนอนเล่นหายใจทิ้งปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ได้อีกต่อไป

“ไม่ไป ไม่รู้แหละ ยังไงหนูก็ไม่มีทางไปเด็ดขาด” เอามือกอดอกเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างถือดี

จนคนเป็นแม่ปวดหัวกับท่าทีดื้อรั้นของบุตรสาว

“แกต้องไป ถ้าไม่ไปฉันไล่ออกจากบ้าน”

ยื่นคำขาดให้ทำเอาหล่อนอ้าปากหวอ ไม่คิดว่ามารดาจะใช้ไม้นี้กับตน คนสูงวัยกว่าลุกขึ้นไปหยิบหมวกสานขึ้นมาสวมแล้วเดินออกไปนอกบ้านไม่รอฟังคำตอบใดของบุลลาอีก

“ทำข้าวเย็นไว้ด้วยนะ วันนี้แม่อาจจะกลับค่ำ เดี๋ยวต้องแวะบ้านนังปราณีมันก่อน” ไม่วายหันมาสั่งบุตรสาวที่ยังคงนั่งท่าเดิม ไม่มีการตอบรับทว่าก็รับรู้ บานเย็นส่ายหน้าระอาคนที่อายุ 24 ปีแต่ทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโตเสียที

บานเย็นเดินไปที่บ้านข้างๆ นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปยังไร่ที่ตนทำงานหาเลี้ยงชีพ

ลับหลังมารดา บุตรสาวเพียงคนเดียวก็ดิ้นพราดไปมาราวโดนน้ำร้อนลวก

ไม่ไปหรอก! ไม่มีทางเด็ดขาด จะให้พริตตี้สาวสวยอย่างเธอไปทำงานไร่งกๆ เพียงเพื่อนเงินไม่กี่พันหรือ หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ไป ต่อให้เอาช้างมาลากหรือเอาม้ามาฉุด นางสาวบุลลาคนนี้ก็จะไม่ออกจากบ้านไปไร่บ้าบอนั่นเด็ดขาด!

แต่แล้วทำไมเธอต้องมายืนหน้าไร่ด้วยเสื้อผ้าลายสก็อตของมารดาด้วยเล่า!

ใบหน้าหวานบูดบึ้งตั้งแต่โดนบังคับออกจากบ้าน เดินตามแรงจูงของบานเย็นที่หันมาส่งเสียงไม่พอใจในลำคอใส่บุตรสาวที่แสนจะพูดยากของตนเอง

“ก็บอกว่าไม่อยากทำ ไม่อยากทำไงแม่” แทบจะกลายเป็นตะโกนบอก

มารดาซึ่งหันมาเอ็ดบุตรสาวเสียงเขียว

“พูดมาก ตามมา”

ร่างบางทำท่ากระฟัดกระเฟียดเดินตามหลังบานเย็นไปพร้อมมองชุดที่ดูไร้รสนิยมอย่างอึดอัด ที่จริงก่อนมาก็เลือกชุดของตนแต่ก็ตัดใจไม่ใส่เพราะกลัวเสื้อผ้าราคาเป็นพันเปื้อนฝุ่นเปื้อนดิน

บุลลาทำใจไม่ได้ที่เห็นของรักต้องมาเปรอะเปื้อนดินโคลน จำต้องใส่เสื้อผ้าของมารดาแม้จะดูไม่เป็นตนเองก็ตาม

ดวงตากลมโตมองไปรอบไร่เป็นครั้งแรกระหว่างเดินไปห้องทำงานของผู้จัดการซึ่งดูแลไร่แห่งนี้ ‘ไร่รุ่งอรุณ&ฟาร์มสายรุ้ง’ ถือเป็นไร่ขึ้นชื่อของจังหวัดแห่งนี้ มีพื้นที่กว่าสามพันไร่ มีทั้งปลูกพืชผักผลไม้และเลี้ยงสัตว์สี่เท้าคือม้ากับวัว คาดคะเนจากสายตาแล้วก็อดชื่นชมเจ้าของไร่ในใจไม่ได้ว่ามีวิสัยทัศน์กว้างไกล แต่ก่อนเธอเห็นที่ดินตรงนี้เป็นเพียงพื้นที่โล่งเตียนคงไม่สามารถสร้างประโยชน์อะไรได้ ใครจะคิดว่าหลายปีต่อมาจะสามารถสร้างรายได้ให้ชาวบ้านที่อยู่ละแวกนี้จนไม่ต้องเข้าไปทำงานในเมืองหลวง

ระหว่างทางก็ผ่านไร่ผักปลอดสารสารเคมีซึ่งมีบรรดาคุณลุงคุณป้านั่งทำงานอย่างขยันขันแข็งเอ่ยทักมารดาของตน บุลลาก็หันไปไหว้ตามมารยาท พยายามปั้นหน้ายิ้ม ทว่าเมื่อพ้นสายตาเหล่านั้นก็กลับมาทำหน้าบึ้งดังเดิม

การมาทำงานในไร่ไม่ใช่สิ่งที่ชอบสักนิด คนอย่างบุลลาต้องเฉิดฉายในเมืองหลวง ทำงานอยู่ห้องแอร์เย็นสิ แต่ดูที่ไร่แห่งนี้ต้องยกมือขึ้นมาบังทั้งที่ใส่หมวกแต่แดดก็แรงจ้าไม่ปรานีคนหาเช้ากินค่ำสักนิด

ระหว่างเดินตามบานเย็นบุลลาก็ก้มหน้าก้มตากระทั่งชนแผ่นหลังของมารดาเข้าหล่อนจึงเอ่ยถามเสียงแข็ง

“อะ แม่หยุดทำไม”

“คุณนัยคะ น้าพาลูกสาวมาสมัครงาน” ไม่ได้ตอบลูกสาวคนเดียวแต่กลับโต้ตอบบทสนทนากับผู้จัดการไร่ที่ท่าทางนอบน้อมคนหนึ่ง

บุลลาเงยหน้าขึ้นไปมองแล้วยกมือไหว้ เขาค่อนข้างมีอายุ หากคะเนด้วยสายตาคงสามสิบกว่า ใบหน้ามีแววใจดี ในดวงตาไม่มีความเจ้าชู้อย่างที่เห็นบ่อยในเมืองกรุงยามมองมาที่เธอ

“นี่หรือครับลูกสาวน้าเย็น” ผู้จัดการไร่รับไหว้คนตัวเล็กก่อนเอ่ยถามเสียงทุ้มที่ทำเอาสาวในไร่หลายคนหลงเสน่ห์

ทว่าใช้ไม่ได้กับบุลลา สเปกของเธอค่อนข้างสูง ผู้ชายในไร่ที่กินเงินเดือนหมื่นกว่าบาทไม่มีสิทธิ์เอื้อมถึงดาวแสนสวยดวงนี้หรอก

“ค่ะ ชื่อบัว ฝากคุณนัยด้วยนะคะ จะให้ทำอะไรหรือเรียกใช้งานตอนไหนก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจค่ะ”

บุลลาจับแขนแม่ที่พูดเกินไป จนกลัวว่าชายหนุ่มจะทำจริงตามคำของมารดา

ดนัยหัวเราะร่วนมองใบหน้าหวานเล็กน้อยแล้วแอบประเมินอีกฝ่ายในใจ

ดูแล้วหากให้ทำงานกลางแจ้งคงไม่ไหวแน่ เก็บส้มหรือตัดองุ่นก็คงไม่รอด ถ้าอย่างนั้นควรให้ผู้หญิงผิวขาวใบหน้าสวยคนนี้ทำอะไรภายในไร่ดี สำนักงานของเขาก็มีตำแหน่งครบหมดแล้ว จะให้เข้าแทรกก็เห็นทีจะไม่ดี หรือจะส่งไปฟาร์ม..

ไม่เด็ดขาด ได้ถูกคุณพณณกรไล่ตะเพิดตั้งแต่เดินเข้าไปน่ะสิ

ดนัยส่ายศีรษะ คิดไม่ตกว่าจะส่งบุลลาไปที่ใด กระทั่งมีชายร่างสูงเดินเข้ามาหาเสียก่อน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel