ความทรงจำที่เลวร้าย
หลินซูซินนั่งเหม่อมองเปลวเทียนสั่นไหว ความทรงจำในวัยเด็กหวนกลับมาทิ่มแทงใจดวงน้อยอีกครั้ง ภาพของมารดานั่งร้องไห้น้ำตานองหน้าเพราะบิดาพาผู้หญิงคนอื่นเข้าบ้านยังคงชัดเจนในห้วงความคิด
มารดาของนางเป็นสตรีที่งดงาม อ่อนโยน และมีจิตใจดี แต่กลับต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความเจ้าชู้ของสามี ตามขนบธรรมเนียมที่ฝังรากลึกในสังคม บิดาผู้เป็นใหญ่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของภรรยา นางจำได้ว่าตั้งแต่จำความได้ บิดาก็พาผู้หญิงคนอื่นเข้าบ้านไม่เว้นแต่ละวัน โชคดีที่คนพวกนั้นไม่มีบุตร ไม่อย่างนั้นมารดาคงใจสลายมากกว่านี้
หลินซูซินในวัยเด็กได้แต่เฝ้ามองมารดาร้องไห้ด้วยความสงสาร นางอยากจะปลอบโยน อยากจะปกป้องมารดาจากความเจ็บปวด แต่ก็ทำได้เพียงแค่เฝ้ามองอย่างจนใจ
หลายครั้งที่นางถูกกลั่นแกล้งโดยอนุภรรยาของบิดา แต่ก็ตอบโต้ไม่ได้ เพราะบุตรสาวที่บิดาไม่สนใจไม่ได้มีอำนาจมากพอจะไปต่อกรกับใครได้ ความคับแค้นใจถูกเก็บสะสมไว้ในส่วนลึกของหัวใจ รอวันที่จะปะทุออกมา
จนกระทั่งหลินซูซินอายุได้สิบขวบ มารดาที่มักจะอดทนเกิดล้มป่วยขึ้นมาเพราะตรอมใจ นางสั่งเสียกับหลินซูซินว่าไม่อยากให้ลูกต้องพบจุดจบเดียวกัน นางโง่เองที่คิดว่าสามีจะกลับตัวกลับใจ หากมีโอกาสให้หลินซูซินหนีไปให้ไกล ไปอยู่กับท่านตาที่ชายแดนเสียยังดีกว่าต้องทนอยู่ในบ้านหลังนี้ ก่อนที่นางจะสิ้นลมหายใจไป
ภายในงานศพ มีเพียงหลินซูซินที่โศกเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง ท่านตาที่เป็นแม่ทัพใหญ่ก็ไม่อาจมาเข้าร่วมงานศพได้เพราะต้องปกป้องชายแดน ส่วนบรรดาอนุ
ภรรยาของบิดากลับนั่งหัวเราะยินดีที่แม่ของหลินซูซินซึ่งเป็นภรรยาเอกจากไป ภาพนั้นยิ่งตอกย้ำความเกลียดชังในใจของหลินซูซินที่มีต่อบิดาและอนุภรรยาของเขา
หลินซูซินปฏิญาณกับตัวเองว่าจะไม่มีวันให้อภัยพวกเขา และจะไม่มีวันเดินตามรอยมารดา นางจะเข้มแข็งและใช้ชีวิตของนางเอง
หลังจากมารดาจากไปได้ไม่นาน บิดาก็แต่งตั้งอนุคนหนึ่งขึ้นเป็นภรรยาเอก สตรีผู้นั้นมีนามว่า 'เหม่ยหลัน' นางเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา ที่บิดาอ้างว่าช่วยชีวิตไว้จากโจรป่า แต่หลินซูซินรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้าง ที่แท้แล้วนางเป็นอนุภรรยาที่บิดาหลงใหลมากที่สุด
ข่าวการแต่งตั้งเหม่ยหลันเป็นฮูหยินใหญ่สร้างความโกรธแค้นให้หลินซูซินอย่างมาก นางไม่สามารถทนเห็นหญิงชั้นต่ำที่เคยเป็นเพียงอนุ มาแทนที่มารดาผู้สูงศักดิ์ของนางได้ ความเกลียดชังที่มีต่อบิดาก็ยิ่งทวีคูณขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
หลินซูซินตัดสินใจเด็ดขาด นางจะไม่ทนอยู่ในบ้านหลังนี้อีกต่อไป นางจะไปหาท่านตาที่ชายแดน ไปอยู่ในที่ที่ไม่มีเงาของบิดาผู้ไร้หัวใจคนนี้อีก
นางหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายถึงท่านตา บรรยายความคับแค้นใจทั้งหมดที่ต้องทนอยู่กับบิดา ความเจ็บปวดที่ต้องเห็นอนุขึ้นมาแทนที่มารดา และความตั้งใจที่จะไปพึ่งพิงท่านตาที่ชายแดน
เมื่อเขียนจดหมายเสร็จ หลินซูซินก็เรียกเสี่ยวาง สาวใช้คนสนิทของนางเข้ามา
"เสี่ยวฟาง เจ้าช่วยนำจดหมายฉบับนี้ไปส่งให้กับคนของท่านตาที่โรงเตี๊ยมเถาฮวาหน่อยได้หรือไม่" หลินซูซินยื่นจดหมายให้เสี่ยวฟาง
"ได้เจ้าค่ะ คุณหนู" เสี่ยวฟางรับจดหมายไป
"และอย่าบอกเรื่องนี้กับใคร เข้าใจไหม" หลินซูซินกำชับ
"เจ้าค่ะ คุณหนู" เสี่ยวฟางรับคำอย่างแข็งขัน
หลินซูซินถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อย่างน้อยนางก็ได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อตัวเองเสียที
หลังจากนั้น หลินซูซินก็แกล้งป่วยนอนซมอยู่ในห้อง นางรู้ดีว่าไม่มีใครในบ้านนี้สนใจใยดีนางมากนัก แม้แต่บิดาก็คงไม่มาเหลียวแล นี่เป็นโอกาสดีที่นางจะหนีออกจากบ้านไป
ตกดึก หลินซูซินลุกขึ้นจากเตียง นางแต่งตัวด้วยชุดสีดำทะมัดทะแมง สวมผ้าคลุมหน้าปิดบังใบหน้า เตรียมสัมภาระที่จำเป็นเพียงเล็กน้อย นางเปิดหน้าต่างห้องออกอย่างเงียบเชียบ
หลินซูซินและเสี่ยวฟางมองซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครเห็น ก่อนจะรีบวิ่งไปยังกำแพงหลังบ้าน
ที่นั่นมีรถม้าคันหนึ่งจอดรออยู่ นางจำได้ว่าเป็นรถม้าของคนของท่านตา
"คุณหนู รีบขึ้นมาเร็ว" ชายคนหนึ่งกระซิบเรียกนางจากบนรถม้า
หลินซูซินและเสียวฟางรีบปีนขึ้นไปบนรถม้าอย่างรวดเร็ว ชายคนนั้นก็ตวัดแส้ ม้าก็ออกวิ่งไปทันที
หลินซูซินนั่งตัวสั่นอยู่ในรถม้า หัวใจของนางเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นและหวาดกลัว นางไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่นางก็รู้ว่านางไม่มีทางเลือกอื่น นางต้องหนีไปจากที่นี่
รถม้าวิ่งไปตามถนนที่มืดมิด หลินซูซินมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงไฟจากบ้านเรือนต่างๆ ค่อยๆ เลือนหายไป นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหลุดพ้นจากพันธนาการ
ในที่สุด รถม้าก็มาถึงจุดนัดพบ นั่นคือค่ายทหารของตระกูลฉินที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง
หลินซูซินลงจากรถม้าและมองไปรอบๆ ค่ายทหารแห่งนี้กว้างใหญ่มาก มีทหารมากมายเดินไปมา บรรยากาศเต็มไปด้วยความเข้มแข็งและมีระเบียบวินัย
"คุณหนู เชิญทางนี้" ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหานาง "ท่านแม่ทัพกำลังรอท่านอยู่"
หลินซูซินเดินตามชายคนนั้นไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้น นางกำลังจะได้พบกับท่านตาของนางอีกครั้ง หลังจากไม่ได้เจอกันมาหลายปี
ชายคนนั้นพาหลินซูซินเข้าไปในกระโจมหลังใหญ่ ที่นั่น แม่ทัพฉินไป๋เฟิงกำลังนั่งรออยู่บนเก้าอี้
"ท่านตา!" หลินซูซินร้องออกมาด้วยความดีใจ นางวิ่งเข้าไปกอดท่านตาของนาง
แม่ทัพฉินยิ้มและลูบหัวหลานสาวของเขา "ซูซิน เจ้ามาถึงแล้ว"
"เจ้าค่ะ ท่านตา" หลินซูซินตอบ
"ดีแล้วที่เจ้ามา" แม่ทัพฉินพูด "ข้าดีใจที่ได้เจอเจ้าอีกครั้ง"
หลินซูซินเงยหน้าขึ้นมองท่านตาของนาง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ "ขอบคุณท่านตาที่ช่วยเหลือซูซิน"
"ไม่ต้องขอบคุณหรอก" แม่ทัพฉินยิ้ม "ข้าเป็นห่วงเจ้ามาก เจ้าทำถูกแล้วที่หนีมาจากคนผู้นั้น"
หลินซูซินพยักหน้า นางรู้ว่าท่านตาของนางเข้าใจนางดีที่สุด
"เอาล่ะ" แม่ทัพฉินพูด "เจ้าคงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไปพักผ่อนก่อนเถอะ"
"เจ้าค่ะ ท่านตา" หลินซูซินรับคำ
หลินซูซินเดินออกจากกระโจมไปพร้อมกับเสี่ยวฟาง นางรู้สึกโล่งใจที่ได้หนีออกมาจากบ้านหลังนั้นเสียที ในที่สุดนางก็เป็นอิสระแล้ว
นางมองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่ ชีวิตที่นางจะเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง
หวังหมิงหลงที่กำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่จวนของตนด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน หญิงสาวที่เขาพบเจอเพียงแวบเดียวกลับฝังแน่นอยู่ในความคิดของเขา เขาไม่สามารถสลัดภาพใบหน้างามและสายตาเย็นชาคู่นั้นออกไปจากหัวได้
"หลี่เฉิน" เขาเรียกบ่าวคนสนิทของตน
"ขอรับ องค์ชาย" หลี่เฉินโค้งคำนับ
"เจ้าจงส่งคนออกไปตามสืบหาหญิงสาวที่ข้าพบเจอที่หอคณิกาเมื่อวานนี้" หวังหมิงหลงสั่งเสียงเข้ม "ข้าต้องการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนาง"
"ขอรับ" หลี่เฉินรับคำสั่งทันที เขาเข้าใจดีว่าองค์ชายของเขากำลังสนใจหญิงสาวผู้นั้นมากเพียงใด
"และอย่าให้ใครรู้เรื่องนี้" หวังหมิงหลงกำชับ "ข้าไม่อยากให้มีข่าวลือใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป"
"ขอรับ กระหม่อมจะจัดการให้เรียบร้อย" หลี่เฉินโค้งคำนับอีกครั้ง ก่อนจะรีบออกไปทำตามคำสั่ง
หวังหมิงหลงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ สายตาของเขามองออกไปนอกหน้าต่าง เขาไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นั้นเป็นใคร มาจากไหน แต่เขารู้เพียงว่าเขาต้องได้พบกับนางอีกครั้ง เขาจะต้องรู้จักนางให้มากกว่านี้
"รอข้าก่อน แม่นาง" เขาพึมพำกับตัวเอง "ข้าจะตามหาเจ้าให้พบ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม"