ซ่อนกลิ่นรัก

44.0K · จบแล้ว
Hidden M.
25
บท
3.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

หลินซูซิน หลานสาวของแม่ทัพใหญ่ของราชวงศ์ เติบโตมากับบาดแผลในใจจากการเห็นบิดาผู้เป็นเสนาบดี ที่มีภรรยาน้อยมากมาย ความเจ็บปวดนี้หล่อหลอมให้หลินซูซินเป็นหญิงสาวผู้เย็นชาและปิดกั้นหัวใจ นางเกลียดผู้ชายเจ้าชู้หลายใจเข้ากระดูกดำ แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลก เมื่อนางได้พบกับองค์ชายห้า หวังหมิงหลง ชายหนุ่มรูปงามผู้ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าสำราญและมากรัก ทว่าองค์ชายกลับตกหลุมรักหลินซูซินอย่างหมดหัวใจ เขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้นางมาเป็นพระชายาของเขา หลินซูซินจะเปิดใจยอมรับองค์ชายห้าผู้มากรักได้หรือไม่? องค์ชายห้าจะสามารถพิสูจน์รักแท้และเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อหญิงสาวที่เขารักได้หรือเปล่า?

นิยายจีนโบราณนิยายรักท่านอ๋องแต่งงานสายฟ้าแลบนอกใจนางเอกเก่งรักแรกพบจีนโบราณพระชายานิยายย้อนยุค

ความรู้สึกเมื่อแรกเจอ

ขบวนรถม้าเคลื่อนตัวออกจากชายแดน มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงอันแสนไกล เสียงกีบม้ากระทบพื้นดังเป็นจังหวะ สอดประสานกับเสียงล้อบดลงบนพื้นดินที่แห้งผาก ทิ้งฝุ่นควันสีน้ำตาลจางๆ ไว้เบื้องหลัง ขบวนยาวเหยียดนี้เต็มไปด้วยทหารหาญเกราะเงินวาววับ พวกเขาคือเหล่าทหารกล้าที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับแม่ทัพฉินไป๋เฟิง จนได้รับชัยชนะอย่างงดงาม

ณ ใจกลางขบวน แม่ทัพฉินไป๋เฟิงนั่งสงบนิ่งอยู่ภายในรถม้าใหญ่ ท่าทางองอาจผึ่งผายดั่งพญาเหยี่ยว อีกทั้งใบหน้าคมคายแสดงถึงความเด็ดเดี่ยวและเฉลียวฉลาด แม้ว่าอายุจะมากกว่าหกสิบหนาวก็ตามที แต่มองผ่านๆกลับดูเหมือนกับชายวัยกลางคน เขามองตรงไปข้างหน้า ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังเส้นขอบฟ้าที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ราวกับจะมองทะลุผ่านระยะทางอันยาวไกลไปยังเมืองหลวงที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า

การกลับมาครั้งนี้ของแม่ทัพฉินไป๋เฟิงไม่ใช่เพียงการเดินทางกลับมาพักผ่อนที่จวน แต่เป็นการเดินทางมาเพื่ออำนาจและเกียรติยศ เขาได้นำชัยชนะเหนือศัตรูและความภาคภูมิใจกลับไปมอบแด่ฮ่องเต้และประชาชน เพื่อเป็นเครื่องยืนยันถึงความจงรักภักดีของกองทัพของเขา

หลินซูซินที่นั่งอยู่ภายในรถม้าคันเดียวกัน คอยลอบมองออกไปนอกหน้าต่าง ขณะที่รถม้าเคลื่อนผ่านฝูงชนที่ต่างพากันเหลียวมองด้วยความชื่นชม

นางในรถม้าผู้นั้นงามล่มเมืองราวนางสวรรค์ ใบหน้างามหมดจด ดวงตากลมโตเป็นประกายดุจดวงดาวระยิบระยับ ริมฝีปากแดงระเรื่อดุจกลีบกุหลาบแรกแย้ม ผมยาวสลวยดุจแพรไหมสีดำขลับทิ้งตัวลงมาประบ่า เสริมให้ใบหน้างามนั้นดูอ่อนหวานยิ่งขึ้น ผิวพรรณผุดผ่องราวหิมะ ท่าทางสง่างามราวกับเทพธิดา แม้จะอยู่ในอาภรณ์เรียบง่าย แต่ก็ไม่อาจปกปิดความงามอันเป็นธรรมชาติของนางได้

ทุกคนที่ได้พบเห็นต่างพากันตะลึงงันในความงามของหญิงสาว บ้างก็กระซิบกระซาบถึงชาติกำเนิดอันแสนจะซับซ้อนของนาง บ้างก็เปรียบเทียบนางกับเทพธิดาบนสวรรค์ บ้างก็ตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกเห็น

แม้แต่ผู้คนที่เคยพบเห็นหญิงงามมากมายในเมืองหลวงก็ยังต้องยอมรับว่า หลินซูซินนั้นงามล้ำเหนือกว่าผู้ใด

"ท่านตาคะ ซูซินไม่อยากกลับไปที่จวนของเสนาบดีหลินเจ้าค่ะ"

แม่ทัพฉินไป๋เฟิงลูบเคราสีดอกเลาอย่างใช้ความคิด "ซูซิน เจ้ายังโกรธท่านพ่อของเจ้าอยู่หรือ"

"ไม่ใช่แค่โกรธหรอกเจ้าค่ะ ท่านตา ซูซินไม่อยากเห็นหน้าเขา ไม่อยากอยู่ในจวนที่เคยมีความทรงจำอันเจ็บปวด" หลินซูซินตอบ น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย

"แต่เจ้าเป็นบุตรสาวของเขานะ ซูซิน" แม่ทัพฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สายเลือดก็ตัดกันไม่ขาด"

หลินซูซินก้มหน้าลง "ข้ารู้เจ้าค่ะท่านตา แต่ข้ายังทำใจไม่ได้"

แม่ทัพฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่ "เข้าใจแล้ว ซูซิน" เขาลูบหัวหลานสาวเบาๆ "ไม่เป็นไร เจ้าอยากทำอะไรก็ทำเถอะ ท่านตาจะอยู่ข้างเจ้าเสมอ"

เมื่อขบวนรถม้าของแม่ทัพใหญ่ฉินเดินทางมาถึงเมืองหลวง หลินซูซินก็ลงจากรถม้าและให้ท่านตาเข้าไปในวังหลวงเพียงลำพังเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้

ส่วนหลินซูซินนั้นขอตัวกลับไปที่จวนของท่านตา นางไม่อยากอยู่แถวเขตวังหลวงนานเกินไป เพราะกลัวว่าจะได้พบกับเสนาบดีหลิน บิดาผู้มากรักของนาง

เมื่อหลินซูซินกลับถึงจวนของแม่ทัพฉิน นางได้รับจดหมายจากบิดาที่ตำหนินางอย่างรุนแรง บิดาต่อว่านางที่หนีออกจากบ้านไป สร้างความเสื่อมเสียให้กับวงศ์ตระกูล เขาตำหนินางว่าอกตัญญู ไม่สำนึกในบุญคุณที่เขาเลี้ยงดูมา การหายตัวไปของนางทำให้ผู้คนซุบซิบนินทาว่าเขาเป็นคนสำส่อน ภรรยาเอกตรอมใจตายเพราะเขา และเขายังทอดทิ้งบุตรสาวของตัวเอง บิดาต้องการให้นางกลับบ้านโดยเร็วที่สุดเพื่อสยบข่าวลือเหล่านี้

หลินซูซินขยำจดหมายนั้นแล้วโยนทิ้งลงบนพื้น นางไม่อยากสนใจคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย สำหรับหญิงสาวนั้น เสนาบดีหลินไม่ใช่บิดา แต่เป็นเพียงผู้ชายมักมากที่ทำลายชีวิตของมารดาของนาง

หญิงสาวรู้ว่าการตัดสินใจไม่กลับจวนจะทำให้เสนาบดีหลินโกรธมาก แต่นางไม่สนใจ และจะไม่ยอมกลับไปอยู่ใต้ปีกของบุรุษที่มัวเมาในกามอีกต่อไป

เช้าวันรุ่งขึ้น แสงอาทิตย์อ่อนๆ สาดส่องเข้ามาในห้องของหลินซูซิน นางลืมตาตื่นขึ้นอย่างช้าๆ ความรู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าไรนัก นางลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง หวีผมยาวสลวยของนางอย่างเบามือ ก่อนจะแต่งตัวด้วยชุดสีฟ้าอ่อนเรียบง่ายแต่สง่างาม

เมื่อแต่งตัวเสร็จ หลินซูซินก็เดินออกจากห้องไปยังห้องอาหาร ที่นั่น แม่ทัพฉินไป๋เฟิงกำลังนั่งรออยู่แล้ว เขากวักมือเรียกหลานสาวให้มานั่งข้างๆ "อรุณสวัสดิ์ ซูซินหลานรัก"

"อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ ท่านตา" หลินซูซินยิ้มให้ท่านตา ก่อนจะนั่งลงและเริ่มทานอาหารเช้า

"เมื่อคืนหลับสบายดีไหม" แม่ทัพฉินถามด้วยความเป็นห่วง

"หลับสบายดีเจ้าค่ะ" หลินซูซินตอบ

"ดีแล้ว" แม่ทัพฉินพยักหน้า "วันนี้เจ้ามีแผนจะทำอะไรหรือไม่"

"ซูซินอยากจะไปเดินเล่นในเมือง" หลินซูซินตอบ "หลานไม่ได้ออกมาเดินเล่นนานแล้ว คิดถึงบรรยากาศในเมืองหลวงเหลือเกิน"

"เช่นนั้นก็ไปเถอะ" แม่ทัพฉินยิ้ม "แต่ต้องให้เสี่ยวฟางไปเป็นเพื่อน ระวังตัวด้วยหล่ะ"

"เจ้าค่ะ ท่านตา" หลินซูซินรับคำ

หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ หลินซูซินก็ไปเปลี่ยนเป็นชุดที่เหมาะกับการออกไปข้างนอก จากนั้นก็เรียกเสี่ยวฟาง บ่าวรับใช้คนสนิทของนาง ให้เตรียมตัวออกไปเดินเล่นในเมืองด้วยกัน

หลินซูซินและเสี่ยวฟางเดินเล่นไปตามตรอกซอกซอยของเมืองหลวงด้วยความสนุกสนาน เสี่ยวฟางคอยเตือนคุณหนูของตนให้ระวังตัวอยู่เสมอ แต่หลินซูซินที่เติบโตมาในค่ายทหารกลับรู้สึกตื่นเต้นกับการได้สำรวจเมืองที่ไม่คุ้นเคย

"คุณหนู ระวังหน่อยเจ้าค่ะ ที่นี่ไม่เหมือนชายแดนนะเจ้าคะ" เสี่ยวฟางเอ่ยเตือนอีกครั้งเมื่อเห็นหลินซูซินเดินนำหน้าไปไกล

"ไม่เป็นไรหรอกน่า เสี่ยวฟาง" หลินซูซินตอบกลับด้วยรอยยิ้ม "ข้าดูแลตัวเองได้"

แต่แล้วความซุกซนของหลินซูซินก็พาเธอเดินพลัดหลงจากเสี่ยวฟาง นางเดินเลี้ยวไปตามตรอกเล็กๆ ที่ดูเปลี่ยวและเงียบสงบ ผิดกับบรรยากาศคึกคักของเมืองหลวงที่นางเพิ่งจากมา

ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ บรรยากาศก็ยิ่งดูน่าขนลุกขึ้นเท่านั้น ตรอกที่นางเดินเข้ามานั้นมืดสลัว มีเพียงแสงตะเกียงริบหรี่ส่องสว่างเป็นระยะๆ กลิ่นหอมฟุ้งของเครื่องหอมราคาแพงลอยมาแตะจมูก ทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยชอบมาพากล

ทันใดนั้นเอง ประตูไม้บานใหญ่ก็เปิดออก ชายหนุ่มรูปงามในชุดคลุมอันหรูหราสีดำสนิทก้าวออกมาจากหอเจี้ยนฟาง ใบหน้าหล่อเหลายังคงมีรอยยิ้มพึงพอใจประดับอยู่ ริมฝีปากของเขายังคงมีรอยชาดสีแดงสดติดอยู่ ราวกับเป็นเครื่องหมายแห่งความสุขสมที่เพิ่งได้รับ

หลินซูซินมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกขยะแขยง นางพบเห็นผู้ชายที่ทำตัวสำส่อนมานักต่อนัก แต่ไม่เคยมีใครทำให้นางรู้สึกสะอิดสะเอียนเท่ากับคนผู้นี้มาก่อน บางทีอาจเป็นเพราะใบหน้าที่งดงามราวกับเทพบุตรของเขา มันยิ่งตอกย้ำความรู้สึกดูแคลนที่นางมีต่อบุรุษเหล่านี้

ทว่าในจังหวะที่หลินซูซินกำลังจะหันหลังเดินจากไป สายตาของชายหนุ่มก็เหลือบมาเห็นนางเข้าพอดี ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นประกายวาววับด้วยความสนใจ ราวกับเจอเพชรน้ำงามที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

หลินซูซินไม่สนใจที่จะสบตาเขา นางเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะเดินหนีจากสถานที่อัปยศนี้ให้เร็วที่สุด แต่ดูเหมือนจะสายเกินไปเสียแล้ว ชายหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว

"แม่นาง ท่านมีนามว่าอะไรหรือ ข้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อน" เสียงทุ้มของเขาเอ่ยขึ้น

หลินซูซินไม่ตอบ นางเพียงแต่จ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ราวกับจะเยือกแข็งเขาให้กลายเป็นน้ำแข็ง แต่เขาก็ยังคงเดินตามนางไปพลางเอ่ยวาจาเกี้ยวพาราสีไม่หยุดปาก

"แม่นาง ท่านช่างงดงามยิ่งนัก ข้าไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนงดงามเท่าท่านมาก่อน" เขาเอ่ยชมอย่างไม่ปิดบังความรู้สึก

หลินซูซินรู้สึกขยะแขยงกับคำพูดของเขามากขึ้นไปอีก นางอยากจะตบหน้าเขาสักฉาดสองฉาด แต่ก็รู้ว่านั่นคงไม่ใช่การกระทำที่เหมาะสม นางจึงเพียงแต่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "หลีกไป ข้ามีธุระ"

แต่ดูเหมือนคำพูดของนางจะไม่ทำให้เขาล่าถอย เขายังคงเดินตามตื๊อนางไม่ลดละราวกับต้องมนต์สะกด

"องค์ชาย..คุณชายหวัง นายท่านเรียกกลับจวนแล้วขอรับ" เสียงของบ่าวคนสนิทดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มต้องละความสนใจจากหลินซูซินไปชั่วขณะ

แม้จะเสียดายเพชรน้ำงามตรงหน้า แต่มั่นใจว่าด้วยอำนาจและบารมีของเขา การตามหาใครสักคนในเมืองหลวงนี้ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เอาไว้ค่อยมาตามหาคนผู้นี้ทีหลังก็ย่อมได้

"เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน แม่นาง" เขาหันกลับมาส่งยิ้มให้นาง ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมจางๆ ของเครื่องหอมราคาแพง และความรู้สึกหลากหลายที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจของหลินซูซิน