บทที่ 3 เจ้าหญิงเพชรดำ
“ไอ้สารเลว!”
หลินเฉินเสวี่ยเกือบคว่ำโต๊ะทำงาน เธอใกล้จะโมโหจนควันออกหูแล้ว หลายปีมานี้เธอเจอคนไม่ได้เรื่องมาเยอะมาก แต่ยังไม่เคยเห็นคนไม่ได้เรื่องขนาดนี้ ไอ้สารเลวนี่นอกจากจะไม่ได้เรื่องแล้ว ยังมีแต่คำพูดลามกเต็มไปหมด ทำให้เธอเมินภาษารัสเซีย ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศสที่ยอดเยี่ยมของเย่เทียนหลงไปเลย
เธอตบโต๊ะแล้วตวาดว่า “ไสหัวออกไปเลย ออกไปไกลได้เท่าไรยิ่งดี!”
เธอตะโกนพูดกับลู่เสี่ยวอู่ว่า “เสี่ยวอู่ ไล่ไอ้ไม่ได้เรื่องคนนี้ออกไป ทำไมเธอถึงให้คนแบบนี้มาสัมภาษณ์”
ลู่เสี่ยวอู่จะร้องแล้ว “ผู้จัดการหลิน ฉันขอโทษ เดี๋ยวฉันจะอธิบายทีหลัง”
หลังจากนั้นเธอไปดึงเย่เทียนหลง “นายรีบกลับไปเถอะ”
ตอนอยู่ที่ห้องรับรอง ลู่เสี่ยวอู่เห็นเย่เทียนหลงมั่นใจมาก นึกว่าผู้ชายคนนี้จะมีอะไรมหัศจรรย์ คิดไม่ถึงว่านอกจากจะทำให้การสัมภาษณ์เละเทะแล้ว ยังทำให้หลินเฉินเสวี่ยโมโหด้วย เธอเห็นภาพตอนที่หลินเฉินเสวี่ยตำหนิตัวเองแล้ว ทำให้เธอไม่มีแรงด่าเย่เทียนหลงแล้ว
“เดี๋ยวๆ ผู้จัดการหลินทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
เย่เทียนหลงมองหลินเฉินเสวี่ยด้วยใบหน้าใสซื่อ แบมือสองข้างเพื่อประท้วง “เมื่อกี้เรายังคุยกันดีๆ อยู่เลย เธอพูดคำคมมีชื่อเสียง ฉันก็เอาคำพูดจากในหนังในหนังสือมาพูด ฉันตอบได้เป็นอย่างดี เธอน่าจะดูออกว่าฉันมีความรู้มาก อีกทั้งเรายังมีความสนใจเหมือนกัน ทำไมถึงไล่ฉันกลับล่ะ”
“หรือว่ายังคุยกันไม่ลึกมากพอ งั้นเรามาคุยกันให้ลึกกว่านี้ดีไหม”
“มาโดกะ โอซาวะเคยพูดว่าฉันเป็นคนดื้อรั้นมาตลอด แต่ยอมให้คุณปราบบนเตียง......”
ใบหน้าสวยของหลินเฉินเสวี่ยยิ่งโมโห เธอชี้ไปที่ประตูด้วยความโมโห “ออกไป!”
“ปัง!”
ยังพูดไม่ทันจบ เย่เทียนหลงยังไม่ทันได้พูด มีคนเปิดประตูเข้ามา ชายวัยกลางคนในเสื้อเชิ้ตสีขาว พุงโต ออร่าไม่ธรรมดา เดินคาบซิการ์เข้ามาพร้อมกับชายหญิงสองสามคน ท่าทางเย่อหยิ่งเหมือนจักรพรรดิมาตรวจสอบดินแดนในครอบครอง
ถ้าเป็นสมัยโบราณ นี่คือนักเลงตามข้างถนน
ในกลุ่มคนพวกนี้ มีผู้หญิงชาวแอฟริกาแต่งตัวธรรมดาคนหนึ่ง ผู้หญิงชาวแอฟริกาอายุประมาณยี่สิบปี ผิวค่อนข้างคล้ำ หน้าผากกว้าง จมูกโด่ง ฟันขาว ดวงตาที่อยู่ใต้คิ้วได้สัดส่วนแวววาวเหมือนน้ำ ความบริสุทธิ์สดใสของวัยรุ่นแผ่ซ่านออกจากตัวเธอ เป็นคนผิวคล้ำที่สวยมาก
โดยเฉพาะบุคลิกของเธอ ดูมีความสูงส่งเป็นอย่างมาก
สายตาของเย่เทียนหลงมีความสนใจ ผู้หญิงคนนี้ไม่น่าใช่คนธรรมดา
เขารู้สึกว่ามีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว จึงถอยหลังไปรอดูตรงมุม
พอเห็นคนผลักประตูเข้ามา หลินเฉินเสวี่ยที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วหน้าบึ้งทันที จ้องชายวัยกลางคนแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า
“รองผู้จัดการหลิว ไม่รู้จักเคาะประตูก่อนเข้ามาเหรอ”
ชายวัยกลางคนชื่อหลิวหย่งไฉ เป็นรองผู้จัดการสาขาของฮว๋าเย่า กรุ๊ป แล้วก็เป็นคนที่แข่งกับหลินเฉินเสวี่ยมาตลอด
พอได้ยินหลินเฉินเสวี่ยสั่งสอนตัวเองต่อหน้าทุกคน อีกทั้งยังจงใจเน้นคำว่ารองผู้จัดการ หลิวหย่งไฉที่สวมแว่นกรอบทองหัวเราะคิกคักแล้วตอบอย่างไม่แคร์ว่า “ฉันรู้อยู่แล้วว่าต้องเคาะประตูก่อน แต่ฉันมีเรื่องด่วนมาหาผู้จัดการหลิน ทำให้ลืมเคาะประตู ผู้จัดการหลินอภัยให้ด้วย”
“ขนาดแฟนมีชู้ยังทนได้ เรื่องแค่นี้คงไม่หนักหนาอะไรใช่ไหม”
หลินเฉินเสวี่ยพูดอย่างเย็นชาว่า “มีอะไรก็ว่ามา ไม่ต้องมาไร้สาระ ไม่งั้นก็ไสหัวออกไปเลย”
แม้หลิวหย่งไฉเป็นผู้อาวุโสของบริษัท แต่หลินเฉินเสวี่ยก็ไม่ไว้หน้า เพราะความดุดันของเธอ ทำให้ข่มคนพวกนี้ได้บ้าง
ไม่งั้นคงโดนหลิวหย่งไฉชิงตำแหน่งไปนานแล้ว
“ได้ งั้นฉันพูดธุระเลยแล้วกัน”
ตอนเย่เทียนหลงละสายตาจากหญิงชาวแอฟริกา หลิวหย่งไฉเดินมาดึงเก้าอี้แล้วนั่งลง จากนั้นชี้หญิงชาวแอฟริกาแล้วพูดว่า “ครึ่งชั่วโมงก่อนผู้หญิงคนนี้มาที่นี่ ในมือเธอมีบิลผลิตภัณฑ์ยาของหวังเย่า กรุ๊ปคู่แข่งของเรา”
“เธอพูดกับเราอยู่นาน เหมือนต้องการอะไรสักอย่าง”
“แต่ฉันฟังความหมายโดยรวมไม่รู้เรื่อง ล่ามแปลภาษาของเธอไม่ออก ตอนแรกฉันจะไล่เธอกลับ”
“แต่นึกได้ว่าผู้จัดการหลินไปเรียนมาหลายประเทศ ไม่แน่อาจเข้าใจภาษาของเธอก็ได้ ฉันเลยพามาพบเธอ”
“ตอนนี้การแข่งขันในตลาดดุเดือดมาก โดยเฉพาะลูกค้ารายใหญ่อย่างโจวซื่อจากไป ทำให้ผลประกอบการของสาขาลดฮวบ ถึงจะเป็นลูกค้ารายเล็กๆ ก็ยังดีกว่าไม่มีลูกค้าเลย”
หลินเฉินเสวี่ยกวาดตามองหญิงชาวแอฟริกา จากนั้นมองหลิวหย่งไฉแล้วพูดว่า “ลูกค้าเหรอ นายจะใช้เธอทำให้ฉันอับอายขายหน้าใช่ไหม”
“คิดว่าฉันไม่รู้ความคิดนายเหรอ”
“อีกอย่างถ้าเธอเป็นลูกค้าจริงๆ นายจะพาเธอมาพบฉันเหรอ จากนิสัยของนาย คงหาล่ามมาเจรจากับเธอไปแล้ว”
“หลิวหย่งไฉ ชีวิตนายมันน่าเบื่อมากเลยเหรอ รู้ไหมว่าทำแบบนี้มันทำให้ฉันกับนายเสียเวลา”
“เอาเวลาที่ทำให้ฉันอับอาย ไปหาลูกค้าหาเงินมาดีกว่าไหม”
เธอรู้ความคิดของหลิวหย่งไฉทันที อีกฝ่ายรู้ว่าหญิงชาวแอฟริกาไม่มีประโยชน์ บวกกับกำแพงภาษา จึงใช้เธอมาเล่นงานตัวเอง
หลิวหย่งไฉหัวเราะร่า จากนั้นแบมือสองข้าง “ฉันไม่มีความคิดท้าทายผู้จัดการหลินจริงๆ เธอว่าฉันแบบนี้ ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ”
“ส่วนเรื่องหาลูกค้าหาเงิน เธออาจเป็นลูกค้าก็ได้ ฉันพาเธอมา เพราะคิดถึงผลประโยชน์ของบริษัท”
“ผู้จัดการหลินเอาแต่พูดว่าทำเพื่อบริษัท ไม่ว่ายังไงก็ควรคุยกับลูกค้าหน่อยไหม”
ขณะที่เย่เทียนหลงส่ายหัวให้กับความหน้าไหว้หลังหลอกของไอ้หมอนี่ หลินเฉินเสวี่ยไม่สนใจหลิวหย่งไฉแล้ว เธอเงยหน้ามองสาวชาวแอฟริกาที่มีสีหน้าเหนื่อยใจและกังวล จากนั้นยิ้มอย่างสดใส ไม่ว่ายังไงเธอต้องปฏิบัติกับลูกค้าอย่างเป็นมิตร เธอใช้ภาษาอังกฤษถามเบาๆ ว่า
“ฉันชื่อหลินเฉินเสวี่ย เป็นผู้จัดการของฮว๋าเย่า มีอะไรที่ฉันพอช่วยเธอได้หรือเปล่า”
สาวชาวแอฟริกาเห็นทุกคนมองมาที่ตัวเอง เธอรู้ทันทีว่ากำลังพูดกับตัวเองอยู่ จึงตะโกนออกมาด้วยความดีใจว่า
“ซาชีวาดา! คัววานีนี! ทัวคาอานจี ลัวตีลาอูมียาคัวอู!”
หลินเฉินเสวี่ยงงทันที
ให้ตายเถอะ! นี่เหมือนภาษาของชนเผ่าแอฟริกาเลย ถึงจะเรียนต่างประเทศ ก็ฟังไม่รู้เรื่องหรอก
เธอรู้ว่าตัวเองไม่สามารถสื่อสารได้ แล้วก็รู้ว่าหาล่ามแบบนี้ยากมาก จึงพูดภาษาอังกฤษว่า “ขอโทษ ฉันเสียใจจริงๆ ที่ช่วยไม่ได้”
หลิวหย่งไฉยียวน “คิดไม่ถึงว่าผู้จัดการหลินก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ฉันคิดว่าเธอรู้ทุกเรื่องซะอีก นึกว่ามีความรู้กว้างขวาง และมีความสามารถรอบด้าน”
ลูกน้องของเขาเริ่มยิ้มยียวนเหมือนกัน
สาวชาวแอฟริกาพอจะเข้าใจคำว่า “ขอโทษ” และเดาสิ่งที่หลินเฉินเสวี่ยต้องการจะสื่อได้ สีหน้าเธอยิ่งกังวล
“ชีนาทิงคัวอูจี วาอูซือมีตา”
ใบหน้าสวยของหลินเฉินเสวี่ยมีความกระอักกระอ่วน เธอรู้ว่าอีกฝ่ายมีเรื่องด่วนที่อยากบอก แต่เสียดายที่เธอช่วยไม่ได้
ขณะที่เธอกำลังคิดว่าจะถามบริษัทล่ามดีหรือเปล่า เกิดเสียงดัง “กรอบ” เหมือนเสียงกัดอะไรสักอย่าง
ลู่เสี่ยวอู่ตกใจทันที ไอ้คนประหลาดนั่นอีกแล้ว......
เย่เทียนหลงกำลังกัดแครอทจริงๆ เขาเดินช้าๆ ออกมาจากมุม “มีมีน่าคัวอูตี ตารายทิงคัวอูจี”
หลินเฉินเสวี่ยอึ้งอีกรอบ
เย่เทียนหลงเดินมาข้างหน้าสาวชาวแอฟริกาเหมือนอัศวินขี่ม้าขาว จากนั้นพูดว่า “วาอูสือตาจี คัวคัวอูมีนี”
“กูสืออูนีคัวมี อูมีตัวสือคาจี”
พอสาวชาวแอฟริกาได้ยิน เธอตัวสั่นทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ เธอกอดเย่เทียนหลงแล้วหอมแก้มเขาต่อหน้าทุกคน
“วาอู วาอู”
เหมือนเธอเจอญาติ จับมือเย่เทียนหลงแล้วกระโดดสองสามครั้ง ท่าทางประหลาดมาก จากนั้นหอมแก้มไปอีกสองที
พวกหลิวหย่งไฉถอยไปด้านหลังทันที แสดงความรังเกียจออกมาอย่างไม่สามารถปิดบังได้
สาวชาวแอฟริกาไม่สนใจพวกเขา หลังจากปล่อยเย่เทียนหลง เธอก็พูดอีกยกใหญ่
ระหว่างนั้นทั้งสองคนยังทำท่าทำทาง ดูมีความตื่นเต้นนิดหน่อย
สิ่งที่ทำให้หลินเฉินเสวี่ยตกใจคือ เย่เทียนหลงเจอภาษาชนเผ่าแบบนี้ เขาสามารถตอบกลับอย่างมั่นใจ
ลู่เสี่ยวอู่ถึงกับช็อกไปเลย
“เชี้ย! แปลกมาก”
หลิวหย่งไฉที่คิดว่าทำให้หลินเฉินเสวี่ยอับอายได้แล้ว พูดอย่างดูหมิ่นว่า “มีเรื่องใหม่ให้เห็นทุกวันจริงๆ สมัยนี้ยังมีมนุษย์ดึกดำบรรพ์แบบนี้อีกเหรอ พูดอะไรไม่รู้เรื่อง ถ้าให้พวกเขาถือท่อนไม้กับหิน คงไม่ต่างอะไรกับยุคดึกดำบรรพ์”
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ผู้จัดการหลิน ฝากด้วยนะ ค่อยๆ คุยแล้วกัน”
“ผู้จัดการหลิน เธอเป็นเจ้าหญิงของเผ่าเพชรดำที่แอฟริกา”
ขณะที่พวกหลิวหย่งไฉกำลังเดินหัวเราะออกไป จู่ๆ เย่เทียนหลงหยุดคุยแล้วพูดกับหลินเฉินเสวี่ย
“เธอต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ยาห้าล้านดอลลาร์”
รอยยิ้มของพวกหลิวหย่งไฉชะงักไปทันที