บทที่ 6
เธอก้มหน้า คำพูดนั้นแทงใจเธอ ปราณปรัชญ์หรี่ตาเมื่อเห็นอาการของสาวน้อย เขาวางช้อน แล้วเอื้อมมือลูบศีรษะเธอเบาๆ อย่างอ่อนโยน ทำให้เธออยากจะร้องไห้นัก
"อาก็ปากไม่ดีจริงๆ ต่อไปนี้อาจะไม่พูดเรื่องเก่าๆ อีกแล้ว มันทำให้จ๋าเศร้า"
"อาปืนยกโทษให้จ๋าใช่ไหมคะ เรื่อง..."
เธอจับมือเขามากุมไว้ ปราณปรัชญ์มองใบหน้าหวานแอร่มนั่น สัมผัสจากมือน้อย กระตุ้นอารมณ์บางอย่าง...ช่างเหลือเชื่อ เธอไม่ได้ทำอะไรเขาเลยด้วยซ้ำ แค่จับมือเขา มองตาเขาด้วยแววตาสวยใสฉ่ำหยาดน้ำนั่น...
ใจเย็นไอ้ปืน...
เขาพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และยิ้มให้เธอ ตาคมวับนั้นเป็นประกายวาวระยับอย่างที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว ว่ากำลังมองสาวน้อยตรงหน้าแทบจะกลืน
"อาจะไม่ยกโทษให้ถ้าจ๋าทุกข์กับเรื่องนี้อีก"
"เอ่อ..."
"รับปากสิ"
"ค่ะ"
"ดีมากเด็กดี กินอะไรหรือยัง กินกับอาไหม?"
เขาว่า ป้อนข้าวผัดให้เธอโดยไม่ต้องรอคำตอบ จิราก็อ้าปากรับโดยอัตโนมัติ
เขากินอาหารเช้ากับเธอเงียบๆ ป้อนให้เธอไปด้วยตัวเองไปด้วยจนหมดจาน กว่าจะจบมื้ออาหาร จิราก็หน้าแดงก่ำ หัวใจเต้นรัวเร็วจนแทบจะโลดออกมานอกอก
"จ๋าไปทำงานก่อนนะคะ"
เธอเอ่ยขอตัวเมื่อข้าวผัดเกลี้ยงจานแล้ว ปราณปรัชญ์มองเธอพร้อมกับเลิกคิ้วน้อยๆ ถ้าจำได้ตอนนี้จิราน่าจะอายุยี่สิบปีนี้ใช่ไหมนะ เธอควรจะกำลังเรียนไม่ใช่หรือ?
"ทำงาน จ๋าไม่ได้ไปเรียนหรือ?"
"จ๋าเรียนจบแล้วค่ะ"
เธออึกอักเล็กน้อยกับการตอบคำถามนี้กับเขา
"จ๋าจบปวช. แล้วก็มาช่วยงานลุงปราชญ์เลยค่ะ ลุงปราชญ์ไม่มีคนช่วยงานบัญชี"
"หืม?"
"จ๋าขอตัวก่อนนะคะ อาปืน ขอบคุณนะคะที่กินอาหารเช้ากับจ๋า แล้วก็ยกโทษทุกสิ่งให้จ๋า"
"จ้ะ"
ร่างบางลุกแล้วเดินแกมวิ่งออกไปจากห้องอาหาร บอกว่าเธอคงจะรีบเร่งไปทำงานจริงๆ ปราณปรัชญ์มองตามหลังเธอ เก็บความไม่ชอบใจไว้ ทำไมพี่ชายเร่งให้จิราออกมาช่วยงาน ทั้งที่ควรจะส่งเสียหล่อนต่อในระดับมหาวิทยาลัย
"อาปืน ดีใจจังที่เช้านี้เจออาปืน"
เสียงแหลมเล็กน้อยของยลดาดังขึ้น หล่อนอยู่ในชุดนิสิต มันยิ่งทำให้ปราณปรัชญ์นึกฉุนพี่ชายคนโตมากขึ้นไปอีก เขาฝืนยิ้มให้หล่อน โกรธจนหูอื้อไม่ได้ยินว่าหล่อนฉอเลาะอะไรบ้าง เขาลุกขึ้นและเดินปึงๆ ออกไปทั้งที่ยลดายังคุยไม่จบประโยคด้วยซ้ำ
"เป็นอะไรของเค้านะ"
ยลดาบ่นตามหลังเขา แล้วหล่อนก็ยิ้มเมื่อนึกถึง 'แผน' ในใจของตนเอง
เธอมีแผนให้กับตัวเองในการอยู่ที่นี่
ปราณปรัชญ์
เขาช่างหล่อเหลา เถื่อน แกร่ง ดูถูกใจเธอเสียเหลือเกิน
..........
ปราชญ์ตื่นค่อนข้างสาย เพราะเมื่อคืนนี้หนักไปหน่อย เขามองไปข้างตัว เขายิ้มนิดๆ เมื่อเห็นความว่างเปล่า ทิ้งไว้เพียงแค่กลิ่นและร่องรอยว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้นอนลำพัง ความสุดเหวี่ยงกับการปรนนิบัติจากผู้หญิงสามคนสุดสวยร้อนแรงเป็นเรื่องจริง
เขาสั่งไว้ว่าไม่ชอบให้ใครมาค้างคืน ถ้าเสร็จภารกิจแล้วเขาหลับแล้ว พวกหล่อนก็ต้องกลับไป ถือเป็นกฎเหล็กเลยก็ว่าได้ ถ้าใครฝ่าฝืน คนๆ นั้นก็จะถูกไล่ออก
ปราชญ์กลายเป็นคนไร้หัวใจ เสพเพียงเซ็กซ์ ไม่ให้ใจกับใครอีกเลยตั้งแต่หย่าขาดจากภรรยา ที่ทำให้เขาเจ็บปวดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยิ่งยามเห็นลูกสาวตัวน้อย ที่หล่อนพรากไปไกลถึงต่างแดน เขาก็ยิ่งทุกข์และยิ่งเกลียด
เขาลงความชังไปที่เด็กสาวคนนั้น
จิรา
เขาลุกขึ้นพลางบิดขี้เกียจ วันนี้เขาพลาดมื้อเช้า แต่ก็ช่างเถอะ เขาลุกขึ้นไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ตาคมตวัดเห็นรอยเล็บจางๆ ที่ข่วนลงบนเนื้อตัวของเขา ก็ยิ้มนิดๆ เมื่อคืนนี้...คืนเดียว เขาคงจะงดผู้หญิงไปอีกหลายวันเพราะอิ่มตื้อ
แล้วทำไมน้องชายของเขาถึงไม่ได้อยาก...
แปลก...
แล้วเขาก็ยักไหล่ บางทีปราณปรัชญ์อาจจะมีเหตุผลของตนเองก็ได้ว่าทำไมถึงได้จำศีลยาว คืนนี้เขาว่าจะพาน้องออกเที่ยวสักหน่อย บางทีหมอนั่นอาจจะชอบกับสิ่งที่ได้หามาเองมากกว่าสิ่งที่ถูกวางไว้ให้อย่างเรียบร้อยบนจาน
เขาสวมเสื้อยังไม่ทันเสร็จดี ก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ปราชญ์ขมวดคิ้วมุ่น ใครกันกล้ามายุ่งยามที่ห้องของเขา ร่างสูงเดินก้าวไม่กี่ก้าวก็ถึงประตู เขาเปิดออก แล้วก็ยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าใครมาเคาะห้องของเขาในยามสาย
"อ้าว นายปืน"
"ผมมีเรื่องจะคุยด้วย"
"เรื่องอะไร?" ปราชญ์เลิกคิ้ว แล้วผายมือออก เขายังคงไม่ได้กลัดกระดุมเสื้อ สวมเพียงกางเกงยีน
"พี่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย ด่วนไหมเรื่องของนาย"
"ก็...ไม่ด่วนเท่าไหร่หรอกครับ"
เขาเดินเข้าไปนั่งรอพี่ชายบนโซฟา ปราชญ์ยังคงทำอะไรตามสบายและใจเย็น เขากลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีเข้มที่สวม หวีผม และสำรวจความเรียบร้อยของตนเองในกระจก
ปราณปรัชญ์มองพี่ชายคนโตของครอบครัวพิทักษ์ราชสีห์ แน่ล่ะปราชญ์ยังดูดีมากในวัยสี่สิบสองปีของเขา เพราะเป็นคนดูแลตัวเอง ในบรรดาพี่น้องทั้งสามคน ปราชญ์คือคนที่หน้าตาดีที่สุด ตาของเขาสวยคมแพรวพราว นัยน์ตาเป็นสีน้ำตาลอ่อนจาง จมูกโด่งเป็นสันได้รูป ริมฝีปากอิ่มหยัก เรือนผมของเขาหยักศกเล็กน้อยมันตัดไว้เรียบร้อยเสมอ ปราชญ์เป็นคนแต่งตัวเหมาะกับสถานที่ และมักเป็นเป้าสายตา
นัยน์ตาของพี่ชายของเขาในวันนี้ ดูเยือกเย็นมากขึ้น นิ่งมากขึ้น เรื่องของเขาเหมือนเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวสำหรับคนในครอบครัว ทุกคนเปลี่ยน แม้กระทั่งเขาเองก็ตามที
"จริงสิ พี่มีเรื่องอยากจะขอร้องนาย"
"เรื่องอะไรหรือครับ"
"พี่จะให้นายพาจ๋าไปที่เชียงราย" คำพูดนั้นทำให้ปราณปรัชญ์เลิกคิ้ว แต่ก็รับคำสั้นๆ
"ครับ"
"แล้วก็อยู่ดูแลกำกับจนกว่าเด็กนั่นจะทำหน้าที่ของตัวเองเรียบร้อยดี ไม่เกเรกับทางนั้น แล้วนายก็ค่อยกลับมา"
"พี่จะให้ผมไปทำอะไรที่เชียงรายครับ"
"ไปส่งยัยตัวอัปมงคลของบ้านเรา ให้พ้นๆ ไปเสีย"
คนพูดฉีดน้ำหอมที่ข้อมือ กลิ่นของมันหอมเย็นฟุ้งไปทั่วห้อง
"พี่ยกยัยจ๋าให้ไปกับพ่อเลี้ยงอิทธิ อยู่ที่นี่ไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ขวางหูขวางตา ก็ควรจะไปให้ไกลๆ จะได้มีประโยชน์บ้าง"
"อะไรนะครับ"
ปราณปรัชญ์แทบไม่เชื่อหูกับสิ่งที่ตนเองได้ยิน พี่ชายของเขาวางขวดน้ำหอม แล้วหันมายิ้มให้เขา เป็นยิ้มที่ไปไม่ถึงนัยน์ตาแกร่งกระด้างนั่น
"พ่อเลี้ยงอิทธิขอยัยจ๋ามา แล้วพี่ก็ตอบตกลงว่าจะยกให้ มันเป็นการเชื่อมสัมพันธ์กัน เพราะพี่ต้องให้ทางนั้นช่วย เราจะไปเปิดกาสิโนลอยน้ำที่ฝั่งลาว พี่จะไปคุมเอง ส่วนกิจการทางนี้จะยกให้นายดูแล"
ปราณปรัชญ์ถึงกับพูดไม่ออก กับสิ่งที่ตนได้ยิน...คำที่ตั้งใจจะมาเรียกร้องสิทธิ์ให้สาวน้อยถูกกลืนลงไปในลำคอ เพราะงานที่ได้รับมอบหมาย
"จัดการให้พี่ด้วยล่ะนายปืน"
มือของปราชญ์ตบลงมาบนไหล่ของปราณปรัชญ์
น้ำหนักของมันในความรู้สึกของเขา
ราวกับว่าปราชญ์กำลังโยนโลกมาให้เขาแบก