1.3 ดั่งเปลวเทียนต้องลม
เวลาผ่านไปกว่าสองสัปดาห์อย่างรวดเร็ว เสาวรสเริ่มคุ้นเคยกับคฤหาสน์หลังใหญ่และการอยู่ในฐานะว่าที่เจ้าสาวของอัทธ์มากขึ้น เขาพาหล่อนไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ ซื้อข้าวของเครื่องใช้ให้ใหม่ทั้งหมด แม้จะไม่ได้มาใกล้ชิดเหมือนคนที่จะแต่งงานกัน แต่ก็ถามไถ่อยู่เสมอเวลาที่นั่งทานอาหารด้วยกัน
ขณะที่อีกด้านเด็กสาวก็ได้ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยตามความฝันของตัวเอง ได้แต่งชุดนักศึกษาอย่างภาคภูมิใจ แม้การรับน้องจะค่อนข้างหนักไปหน่อยสำหรับนักศึกษาใหม่มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร มัดไหมเช่าหอพักราคาถูกอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเพื่อจะได้เดินทางสะดวก และยังคงติดต่อกับเสาวรสอยู่เป็นประจำ หล่อนยังจำบทสนทนาครั้งล่าสุดของตัวเองกับพี่สาวใจดีได้
‘พี่รสเป็นยังไงบ้างคะ’
‘พี่สบายดีค่ะคุณมัด แล้วคุณมัดล่ะคะเป็นยังไงบ้าง’
‘มัดเริ่มปรับตัวได้แล้วละค่ะ ช่วงนี้ทั้งเรียนทั้งรับน้องหนักแต่ก็ไหวค่ะ ความฝันของมัดนี่คะ มัดต้องทำมันให้สำเร็จ’
‘คุณมัดเก่งมากค่ะ’
‘ถ้าไม่ได้พี่รส มัดคงไม่มีวันนี้’
‘อย่าคิดมากเลยนะคะ ตั้งใจเรียนก็พอ ทุกคนที่ไร่รอคุณมัดอยู่’
‘ค่ะ มัดจะไม่ท้อ’
เรียวปากที่เคลือบด้วยลิปมันสีธรรมชาติที่อยู่บนใบหน้าหมดจดคลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ ขณะเดินกลับหอพักหลังจากกิจกรรมรับน้องเสร็จลงในเวลาเกือบสองทุ่ม หล่อนเลือกที่จะไม่ถามถึงอัทธ์ เพราะมีความกลัวและหวาดหวั่นต่อชื่อนั้นอยู่ลึกๆ แม้เสาวรสจะไม่ได้บอกว่าเขาใจร้ายหรือใจดีแค่ไหน แต่เขาก็คือคนที่หล่อนอยากหลีกเลี่ยงมากที่สุด คงไม่มีคนดีที่ไหนจะบังคับคนอื่นให้แต่งงานด้วยเพื่อชดใช้หนี้หรอก
ร่างบางในชุดนักศึกษาควานหากุญแจในกระเป๋าแล้วไขเข้าไปในห้องตัวเอง แต่แล้วก็ต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ เพราะข้าวของในห้องถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย ครั้นพอมองไปทางบานเกล็ดก็เห็นว่ามันมีรอยงัดจนบานเกล็ดหลุดออกมาหนึ่งชิ้น
มัดไหมพยายามตั้งสติแม้จะหวาดกลัวจนตัวสั่น ข่าวครึกโครมที่มีให้เห็นอยู่เป็นประจำทั้งสื่อออนไลน์และหน้าหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยครั้ง ทำให้หล่อนต้องรีบโทร.หาคนที่คิดว่าจะเป็นที่พึ่งได้มากที่สุดในเวลานี้
เสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ของเสาวรสดังขึ้น ขณะที่หล่อนกำลังจะเข้านอน หล่อนยังคงใช้เบอร์เดิมแม้อัทธ์จะซื้อเครื่องใหม่ให้ และยังบันทึกเบอร์คนสำคัญไว้ครบทุกเบอร์ ทันทีที่เห็นว่าคนที่โทร.มาคือมัดไหม เสาวรสก็ไม่ลังเลที่จะกดรับ
“ว่าไงคะคุณมัด กลับถึงหอพักหรือยัง”
“ถึงแล้วค่ะพี่รส แต่มัดมีปัญหาค่ะ”
เสียงตื่นๆ ของมัดไหมที่ดังมาจากปลายสายทำให้เสาวรสเริ่มใจคอไม่ดี เพราะปกติเวลาที่คุยกันมัดไหมจะไม่ใช้โทนเสียงแบบนี้
“ปัญหาอะไรเหรอคะ”
“ห้องมัดโดนงัดค่ะพี่รส ข้าวของถูกรื้อเกลื่อนกลาดไปหมดเลย บานเกล็ดก็ถูกงัดจนแตก มัดจะทำยังไงดีคะพี่รส”
เรื่องที่ได้ยินมาทำให้เสาวรสพลอยตกอกตกใจไปด้วย “แล้วคุณมัดเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่ค่ะ มัดเพิ่งกลับมาถึง”
“ถ้าอย่างนั้นคุณมัดรอพี่แป๊บหนึ่งนะคะ เดี๋ยวพี่จะไปหาตอนนี้เลย”
“แต่ว่านี่มันดึกแล้วนะคะ คนทางโน้นจะว่าเอาหรือเปล่า มัดไม่ได้อยากรบกวน มัดแค่ไม่รู้จะโทร.หาใคร” แม้จะต้องการใครสักคนซึ่งเป็นที่พึ่งพายามเดือดร้อนเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้อยากทำให้เสาวรสพลอยเดือดร้อนไปด้วย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณมัด พี่ไปได้ คนที่นี่เข้าห้องกันหมดแล้ว พี่จะไปเงียบๆ คงไม่มีใครทันสังเกตหรอก เดี๋ยวเจอกันนะคะ คุณมัดไปอยู่กับเจ้าของหอพักก่อนนะ”
“ค่ะพี่รส”
หลังจากวางสาย เสาวรสก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเปิดประตูห้องออกไปอย่างพยายามให้เกิดเสียงน้อยที่สุด ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าห้องของอัทธ์และธีระต่างก็ปิดเงียบ
เสาวรสทำตัวไม่ต่างจากแมวขโมยที่แอบย่องเงียบลงมาชั้นล่างอย่างระแวดระวัง และดูเหมือนว่าทางของหล่อนจะสะดวก จนกระทั่งกำลังจะก้าวไปยังลานด้านนอก เสียงของอัทธ์ก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำเอาหล่อนถึงกับสะดุ้งโหยง
“นั่นเธอกำลังจะไปไหน”
“เอ่อ...คือรสจะออกไปข้างนอกค่ะ” เสาวรสไม่กล้าโกหกเพราะอัทธ์เคยบอกเอาไว้ว่าไม่ชอบ หล่อนจึงตอบแบบกว้างๆ
“ช่วยตอบให้มันแคบลงมากว่านั้นได้มั้ย”
“พอดีลูกสาวคนงานที่ไร่ที่มาเรียนในกรุงเทพฯ เพิ่งโทร.มาบอกรสว่าห้องถูกงัดค่ะ รสก็เลยจะไปดูแกน่ะค่ะ”
“แล้วจะไปยังไง”
“ไปแท็กซี่ค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันจะขับรถพาไปเอง”
ว่าแล้วอัทธ์ก็ก้าวนำไปยังโรงรถโดยไม่ยอมให้โอกาสเสาวรสได้ปฏิเสธ หญิงสาวเพิ่งสังเกตว่าตอนนี้อัทธ์ใส่เสื้อยืดคอวีสีขาวค่อนข้างรัดรูป อวดหุ่นอันสมส่วนของเขา ด้านล่างเป็นกางเกงขายาวผ้ายืดเนื้อนิ่มสีเข้ากับเสื้อ แม้จะดูเหมือนชุดที่ใส่อยู่บ้านแต่พอมันอยู่บนตัวของอัทธ์มันก็ดูดีเสียจนมองดูไม่น่าเกลียดที่จะออกนอกบ้านทั้งชุด
อัทธ์เปิดประตูรถให้เสาวรสขึ้นไปนั่งคู่กับเขาที่เบาะหน้า จากนั้นก็หันมาถามถึงสถานที่ที่เสาวรสจะไป ก่อนจะออกรถและขับรวดเดียวถึงที่หมายโดยไม่ต้องถามทางอีก