1.2 ดั่งเปลวเทียนต้องลม
ไอหมอกสีขาวเหมือนควันหนาทึบปกคลุมทั่วอาณาบริเวณไร่มะขามหวาน บดบังแสงจากดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นจากขอบภูเขา แต่มันไม่ได้เป็นอุปสรรคขัดขวางรถคันหนึ่งที่กำลังแล่นตรงมายังบ้านสองชั้นซึ่งปลูกอยู่บนเนินหญ้าเตี้ยๆ แต่อย่างใด
ม่านหน้าต่างชั้นสองถูกรวบเมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์แล่นเข้ามาจอด คนขับและคนที่นั่งมาด้วยล้วนแต่งกายด้วยชุดสูท ทั้งสองเปิดประตูลงมาและโค้งศีรษะให้กับเสาวรสที่ยืนรออยู่พร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าสองใบ มัดไหมรู้ในทันทีว่าสองคนนั้นคือคนที่อัทธ์ส่งมา หากว่าไม่ได้เสาวรสช่วยหาทางออกให้ ป่านนี้คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคงเป็นหล่อนเอง
เสาวรสขยับไปยังตอนหลังของรถเมื่อคนขับเปิดประตูให้ โดยไม่ลืมที่จะเงยหน้าขึ้นมองไปยังหน้าต่างชั้นสองที่เป็นห้องนอนของมัดไหม พร้อมกับคลี่ยิ้มให้นิดๆ คล้ายกับจะบอกคนที่อยู่บนนั้นว่าไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว ทำเอามัดไหมน้ำตาคลอเบ้าด้วยความซาบซึ้งใจกับความเสียสละของคนที่ตัวเองรักเหมือนดั่งพี่สาว
หลังจากประตูรถปิดลง คนขับก็พารถแล่นออกไปไกลจากตัวบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็หายลับไปกับสายหมอก เหลือไว้เพียงความเงียบงันคล้ายกับว่ารถคันนั้นไม่เคยมาเยือนที่บ้านหลังนี้มาก่อน
เวลาผ่านไปกว่าสี่ชั่วโมงรถยนต์คันนั้นก็แล่นเข้ามาจอดยังหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองกรุง เสาวรสก้าวลงจากรถโดยไม่ต้องสนใจต่อกระเป๋าของตัวเอง เพราะมีคนถือให้อยู่แล้ว หล่อนก้าวตามผู้ชายสองคนนั้นเข้าไปข้างใน แม้จะเตรียมใจมาแล้วแต่ก็ยังอดหวาดหวั่นไม่ได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอัทธ์จริงๆ
“มาแล้วครับนาย”
เสียงที่ดังขึ้นทำให้ร่างสูงที่ยังอยู่ในชุดนอนสีฟ้าลายทางสวมทับด้วยเสื้อคลุมเนื้อดีผูกหลวมๆ ที่เอวหันมา ยกแก้วไวน์ที่อยู่ในมือขึ้นจิบ แล้วใช้สายตาที่คมกริบราวกับใบมีดโกนมองเสาวรสอย่างเพ่งพินิจ
“เธอชื่ออะไร”
คำถามแรกของเขาดังขึ้น เสาวรสพยายามควบคุมสติให้มั่นคง และไม่แสดงพิรุธใดๆ ออกมาให้อัทธ์ได้เห็น ทั้งๆ ที่ตอนนี้หล่อนตื่นเพริดไปหมด เพราะแม้ผู้ชายตรงหน้านั้นจะหล่อเหลามากเพียงใด แต่สิ่งที่ไม่ด้อยไปกว่ารูปร่างหน้าตาของเขาก็คือความดุดันร้ายกาจที่แผดรัศมีออกมาแรงจนหล่อนสะท้านไปหมด
“เสาวรสค่ะ”
“ลูกสาวนายมนูญใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“ฉันนึกว่าเธอจะเด็กกว่านี้เสียอีก” เขาวิจารณ์เหมือนจับผิด
“เอ่อ...คือ” เสาวรสคิดหาคำอธิบายไม่ถูกยามที่ถูกจ้องด้วยตาคมดุเช่นนั้น
“แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงเธอก็มาแล้ว ตอนแรกฉันนึกว่าเธอจะหนีไปเสียอีก”
“รสไม่หนีหรอกค่ะ ยังไงรสก็ต้องรักษาสัญญาของพ่อ เพื่อไร่ เพื่อคนงานของรส”
“ดี๊...ฉันชอบคนมีสัจจะ แต่เกลียดการโกหกที่สุดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นขอให้เธอรู้ไว้นะเสาวรส ในฐานะที่เธอจะมาเป็นเมียฉัน อย่าทำในสิ่งที่ฉันไม่ชอบ ถ้าไม่อยากเดือดร้อน”
“ค่ะ รสจะจำไว้” เสาวรสได้แต่รับคำเสียงแผ่ว เพราะหล่อนกำลังทำในสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดอยู่นั่นเอง
“เธอดูว่าง่ายดีนี่เสาวรส ฉันชอบคนแบบนี้ละ ฉันจะให้เวลาเธอปรับตัวให้เข้ากับฉันและคนที่บ้านหลังนี้ก่อน หลังจากนั้นฉันถึงจะจัดงานแต่งงาน เธอโอเคหรือเปล่า”
“ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามฉันมา ฉันจะพาไปรู้จักกับคนในบ้าน”
อัทธ์ก้าวนำไปยังประตูอีกด้านซึ่งเชื่อมไปยังห้องโถงใหญ่ของบ้าน มีคนนั่งรออยู่ในนั้นกว่าสิบคนทั้งหญิงและชาย ส่วนใหญ่แต่งตัวด้วยชุดแบบเดียวกัน มีเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่บนโซฟาที่ดูแตกต่างไปจากคนอื่น ทุกคนหันมามองอัทธ์และเสาวรส เมื่อทั้งสองก้าวเข้ามาในห้อง
เขานั่งลงก่อนบนโซฟาหนานุ่มตัวยาวที่วางอยู่ตรงกลาง พาดแขนไปตามพนักแบบสบายๆ ในมาดเจ้าของบ้าน และบอกให้เสาวรสนั่งลงที่โซฟาตัวที่อยู่ใกล้ๆ ตรงข้ามกับที่ผู้ชายอีกคนนั่งอยู่
“มากันทุกคนแล้วใช่มั้ยธี” อัทธ์หันไปถามผู้ชายที่ดูเหมือนจะเป็นคนสำคัญอีกคนของบ้าน แต่คงจะน้อยกว่าเขา เพราะผู้ชายคนนั้นดูเกรงใจอัทธ์เป็นพิเศษ
“ครับพี่อัทธ์”
“งั้นก็ดีแล้ว ที่ฉันเรียกทุกคนมาวันนี้ก็เพื่อแนะนำให้รู้จักกับว่าที่เจ้าสาวของฉัน นี่คือเสาวรส” เขาปรายตาไปทางเสาวรส และหญิงสาวก็ยกมือขึ้นไหว้ผู้ชายที่อัทธ์เรียกว่า ‘ธี’ ก่อนจะหันไปยิ้มกับคนอื่นๆ ที่นั่งพับเพียบอยู่กับพื้น
“สวัสดีค่ะทุกคน”
“นี่ธีระน้องชายของฉัน ส่วนที่เหลือเป็นคนที่ทำงานอยู่ที่นี่ทั้งหมด เธออยากได้อะไรก็บอกแม่พิศ แม่พิศเป็นคนเก่าคนแก่และเป็นคนดูแลความเรียบร้อยของบ้าน”
“ค่ะ” เสาวรสรับคำสั้นๆ พร้อมกับยิ้มให้แม่พิศอย่างฝากเนื้อฝากตัว
“ธี เดี๋ยวนายช่วยพาเสาวรสขึ้นไปที่ห้องนะ แล้วก็บอกเวลาอาหารเสียให้เรียบร้อย” อัทธ์หันไปออกคำสั่งกับคนที่ตัวเองบอกว่าเป็นน้องชาย ซึ่งเสาวรสฟังดูไม่เหมือนพี่กับน้องสักเท่าไหร่
“ครับพี่อัทธ์” ธีระรับคำและหันไปทางหญิงสาวที่เป็นสมาชิกใหม่ของบ้าน “เชิญครับคุณเสาวรส”
ธีระลุกขึ้นและผายมือให้เสาวรสเดินตาม โดยมีคนที่ไปรับหล่อนมาจากไร่เป็นคนหิ้วกระเป๋าตามหลังขึ้นไปยังชั้นสอง
ประตูห้องห้องหนึ่งถูกผลักเข้าไป คนที่หิ้วกระเป๋าเอามันไปวางไว้ แล้วทิ้งให้สองหนุ่มสาวอยู่กันตามลำพังในห้องกว้างชวนสบายนั้น
“ห้องนี้เป็นห้องของคุณเสาวรสนะครับ พออยู่ได้มั้ยครับ” ธีระเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและฟังดูเป็นกันเอง ขณะที่เสาวรสกำลังกวาดตามองสำรวจไปรอบๆ ห้อง
“ได้ค่ะ”
“ดูคุณเสาวรสตื่นๆ นะครับ” คราวนี้ธีระไม่แค่พูดแต่ยังยิ้มให้อย่างอบอุ่นด้วย
“ก็นิดหน่อยค่ะ พอดีรสไม่ค่อยได้ไปไหน นอกจากไร่กับมหาวิทยาลัย” เสาวรสกล้าคุยมากขึ้น อาจเป็นเพราะธีระไม่เหมือนพี่ชายของเขา แม้อัทธ์จะไม่ได้ทำอะไรมากแต่ก็สามารถทำให้หล่อนเกร็งไปหมดเวลาอยู่ต่อหน้าเขา ขณะที่ธีระดูผ่อนคลายและเข้าถึงได้ง่ายกว่า
“ผมนึกว่ากลัวพี่อัทธ์เสียอีก”
“นั่นก็ด้วยค่ะ คุณอัทธ์ออกจะน่ากลัว”
“แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่กลัวพี่อัทธ์นะครับ มีแต่คนอยากอยู่ใกล้ พออยู่ไปนานๆ คุณเสาวรสก็จะรู้เองละครับว่าพี่อัทธ์ไม่ใช่คนน่ากลัวอะไร ออกจะมีเสน่ห์ด้วยซ้ำ”
“รสก็หวังว่ารสจะรู้สึกแบบนั้นค่ะ” เสาวรสพูดกลางๆ อย่างคนที่ไม่ด่วนตัดสินใครหรืออะไรจากคำพูดคนอื่น หากว่าหล่อนต้องเป็นภรรยาของอัทธ์อย่างฝืนพรหมลิขิตไม่ได้จริงๆ หล่อนก็จะเรียนรู้ที่จะรู้สึกดีๆ กับเขา
“ถ้าอย่างนั้นผมไม่กวนแล้วนะครับ คุณเสาวรสจะได้พักผ่อน”
“เรียกรสว่ารสเฉยๆ ก็พอค่ะ อย่าเรียกชื่อเต็มอย่างนั้นเลย รสไม่ค่อยชิน”
“ก็ได้ครับคุณรส อ้อ...เวลาอาหารของที่นี่ ตอนเช้า 7.30 น. ตอนเย็น 18.30 น. นะครับ ส่วนตอนเที่ยงไม่ได้ระบุเวลาอะไร เพราะส่วนใหญ่พี่อัทธ์กับผมจะหาทานแถวๆ บริษัท ถ้าหากคุณรสอยากทานของว่างก็บอกแม่พิศได้ครับ”
“ขอบคุณคุณธีระมากนะคะ”
“เรียกผมว่าธีเฉยๆ ก็ได้ครับ” ธีระบอกอย่างเป็นกันเองเช่นเดิม
“ค่ะคุณธี ขอบคุณอีกครั้งค่ะ”
ธีระก้าวออกจากห้องเพื่อให้ว่าที่ภรรยาเจ้าของบ้านได้มีเวลาส่วนตัว เสาวรสเดินไปพิงหลังกับประตูพร้อมกับมองสำรวจไปรอบๆ พลางคิดถึงคนที่เพิ่งออกไปและพี่ชายของเขาอย่างน้อยที่นี่ก็มีอะไรหลายซึ่งตรงข้ามกับที่คิดไว้มาก