บทย่อ
เมื่อ ‘เจ้าสาวตัวจริง’ คิดคดไม่รักษาสัญญาที่เคยให้กันไว้ ด้วยการส่ง ‘เจ้าสาวตัวปลอม’ มาเป็นตัวตายตัวแทน คนไม่โง่และไม่เคยยอมให้ใครลบคมง่ายๆ อย่าง ‘อัทธ์ อัฐเสนา’ จึงต้องดัดสันดานคนขี้โกงให้หลาบจำ ในเมื่อรังเกียจและเจ้าเล่ห์กันนักก็เอา ‘ความแค้น’ ไปแทน ‘หัวใจ’ แล้วกัน
1.1 ดั่งเปลวเทียนต้องลม
1
ดั่งเปลวเทียนต้องลม
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสารดังแว่วออกมาจากบ้านไม้สักสภาพกลางเก่ากลางใหม่ รูปทรงที่เป็นแบบเฉพาะนั้นบ่งบอกว่าครั้งหนึ่งเจ้าของบ้านหลังนี้เคยมีฐานะที่ร่ำรวยมาก่อน ก่อนที่มันจะทรุดโทรมลงตามเวลาและฐานะของผู้เป็นเจ้าของซึ่งระยะหลังประสบปัญหาหนี้สินอย่างหนัก
หลังจากผู้เป็นบิดาเสียชีวิตลงเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ตอนนี้ชีวิตของเด็กสาววัยสิบเก้าอย่าง ‘มัดไหม’ ก็ไม่ต่างอะไรกับเรือน้อยที่กำลังลอยเคว้งอยู่กลางพายุอันเชี่ยวกราดในทะเล เพราะไม่มีอะไรหรือใครเป็นเสาหลักให้ยึดเหนี่ยวอีกต่อไปแล้ว
พรุ่งนี้เจ้าหนี้ของพ่อจะมารับตัวหล่อนไปอยู่กรุงเทพฯ เพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว หลังจากที่พ่อไม่สามารถชดใช้หนี้สินหลายล้านให้กับเจ้าหนี้ได้ หล่อนนึกอยากมีปีกแล้วบินหนีได้เหมือนนก แต่หากหล่อนคิดจะบิดพลิ้วหรือหนีไปเช่นนั้น ไร่แห่งนี้ก็จะถูกยึด ซ้ำตัวหล่อนเองยังต้องถูกฟ้องร้องในฐานะทายาทคนเดียวของพ่อ
“ผมเป็นทนายของคุณอัทธ์ อัฐเสนา มาติดตามเรื่องสัญญาระหว่างคุณอัทธ์กับคุณมนูญ ตามที่ได้มีการทำสัญญาระบุเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าหลังจากที่คุณมนูญเสียชีวิต คุณมนูญจะให้ลูกสาวไปอยู่กับคุณอัทธ์และแต่งงานกับคุณอัทธ์ ดังนั้นผมจึงมาแจ้งให้ทราบล่วงหน้าว่า อีกสามวันคุณอัทธ์จะให้คนมารับตัวลูกสาวของคุณมนูญไปอยู่ที่กรุงเทพฯ เพื่อเตรียมตัวแต่งงานนะครับ อย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อม”
นั่นคือถ้อยคำประกาศิตที่ทนายของเจ้าหนี้มาบอกไว้เมื่อหลายวันก่อน ไม่ต่างอะไรกับสายฟ้าฟาดลงกลางดวงใจน้อยๆ ที่กำลังอยู่ในภาวะมืดมน ความฝันที่เคยวาดไว้ซึ่งใกล้จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ก็คือการได้ใส่ชุดนักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่ตัวเองใฝ่ฝัน คงไม่มีวันจะเป็นจริงแล้ว การแต่งงานกับเจ้าหนี้ใจร้ายมันจะต่างอะไรกับการต้องตกนรกทั้งเป็น
น้ำตาหยดใสๆ อาบลงสองแก้มไม่ขาดสายจนหมอนเปียกชุ่ม เสียงสะอื้นจนตัวโยนที่บ่งบอกความอ้างว้างเจ็บปวดนั้นบาดลึกเข้าไปในหัวใจคนฟังเหลือคณา จนคนที่ยืนฟังอยู่ข้างนอกทั้งสามคนต้องผลักประตูเข้ามาปลอบโยน
“ร้องไห้อีกแล้วเหรอคะคุณมัด” สาวิตรีคนเก่าแก่และเป็นคนสนิทของมารดาของมัดไหมถาม พลางเอื้อมมือไปกอดร่างบางซึ่งลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นครอบครัวของสาวิตรีเข้ามาในห้องอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
“มัดจะทำยังไงดีคะป้าสา ลุงโรจน์ พี่รส”
“ใจเย็นๆ นะคะคุณมัด ค่อยๆ คิดหาทางออกกัน” สาวิตรีเอ่ยปลอบและลูบศีรษะของสาวน้อยเบาๆ
“มันไม่มีทางใดแล้วละค่ะป้าสา พรุ่งนี้คนของคุณอัทธ์ก็จะมารับมัดแล้ว ถ้ามัดไม่ไปเขาก็จะยึดไร่ของเรา แล้วทุกคนที่นี่จะอยู่กันยังไง” มัดไหมส่ายหน้าอย่างท้อแท้ เสียงสะอื้นที่พยายามจะกลั้นเอาไว้หลุดออกมาอีกหนึ่งคำรบ ร่างเล็กโยกโยนราวกับลูกนกน้อยเปียกฝนก็ไม่ปาน
“แต่คุณมัดยังต้องเรียนหนังสือนะคะ” เสาวรสลูกสาวของสาวิตรีเอ่ยขึ้นอย่างเวทนาเด็กสาวที่ตัวเองทำหน้าที่เป็นเหมือนพี่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก จึงรักมัดไหมเหมือนน้องสาวแท้ๆ คนหนึ่ง หล่อนเองเพิ่งจะจบจากมหาวิทยาลัยราชภัฎแห่งหนึ่ง โดยมนูญพ่อของมัดไหมเป็นคนส่งเสีย ทำให้หล่อนรู้ว่าการเรียนนั้นสำคัญมากแค่ไหน
“มันจบแล้วค่ะพี่รส มัดคงไม่ได้เรียนแล้ว”
“คุณมัดต้องได้เรียนค่ะ ส่วนเรื่องแต่งงานใช้หนี้พี่จะทำแทนเอง” เสาวรสบอกอย่างเด็ดเดี่ยว หล่อนตัดสินใจแล้วว่าจะทำมันเพื่อตอบแทนบุญคุณของครอบครัวมัดไหม
“พี่รส!” มัดไหมอุทานออกมาอย่างตกใจ เช่นเดียวกับพ่อแม่ของเสาวรสที่ต่างก็หันไปมองเสาวรสเป็นตาเดียวกันเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“มันเป็นทางออกเดียวที่จะทำให้คุณมัดไม่ต้องไปค่ะ พ่อกับแม่อย่าว่ารสเลยนะจ๊ะ รสคิดดีแล้ว” เสาวรสขอความเห็นใจจากผู้เป็นบุพการีให้เห็นด้วยกับการตัดสินใจของตน
“ไม่ได้นะคะพี่รส มันไม่ใช่เรื่องที่พี่รสจะต้องมารับผิดชอบเลย” มัดไหมเอ่ยคัดค้าน แม้ตัวเองจะต้องทนทุกข์กับความรู้สึกของการถูกบังคับมากแค่ไหน แต่หล่อนก็จะไม่ยอมให้ใครต้องมารับหน้าที่แทน
“แต่ลุงเห็นด้วยกับยัยรสนะครับคุณมัด อย่างน้อยยัยรสก็จะได้ดูแลคุณมัดด้วย ตอนที่คุณมัดไปเรียนในกรุงเทพฯ”
“มัดเห็นแก่ตัวขนาดนั้นไม่ได้หรอกค่ะลุงโรจน์”
“ครอบครัวของคุณมัดมีบุญคุณกับครอบครัวของลุง เพราะฉะนั้นนี่เป็นโอกาสที่เราจะได้ตอบแทน อย่าปฏิเสธเลยครับคุณมัด มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว” สาโรจน์ยืนยันเจตนารมณ์ของครอบครัวตัวเอง และสาวิตรีกับเสาวรสต่างก็พยักหน้าสนับสนุน
“พี่จะพยายามถ่วงเวลาเอาไว้ค่ะคุณมัด พี่จะไม่แต่งงานกับคุณอัทธ์จนกว่าคุณมัดจะเรียนจบ และหลังจากนั้นเราค่อยคิดกันอีกทีว่าจะทำยังไง”
“แล้วถ้าคุณอัทธ์จับได้ล่ะคะพี่รส” มัดไหมเริ่มคลายใจเมื่อเสาวรสพูดเช่นนั้น แต่ก็ยังมีอีกปัญหาที่เด็กสาวอย่างหล่อนยังต้องกังวล
“อย่าลืมสิคะว่าคุณอัทธ์ไม่เคยเห็นคุณมัด และพวกเราก็ไม่เคยมีใครเห็นคุณอัทธ์ ได้ยินแต่ชื่อเท่านั้น คุณมัดทำใจให้สบายนะคะ เตรียมตัวไปเรียนก็พอ แล้วเจอกันที่กรุงเทพฯ ค่ะ”
“ขอบคุณค่ะพี่รส ขอบคุณลุงโรจน์ ขอบคุณป้าสาค่ะ” มัดไหมยกมือขึ้นไหว้ทั้งสามคนด้วยความซาบซึ้งใจโดยที่คราบน้ำตายังเปื้อนแก้ม
“คราวนี้ก็นอนได้แล้วนะคะคุณมัด ไม่ร้องแล้วนะคะคนดีของป้า” สาวิตรีกอดปลอบโยนลูกสาวของผู้มีพระคุณอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง
“ค่ะ มัดสัญญาว่าจะไม่ร้องไห้อีก”
มัดไหมรับปากกับทุกคนแล้วล้มตัวลงนอน แม้จะไม่สบายใจเท่าใดนักกับทางออกเช่นนั้น แต่มันก็เป็นทางออกเดียวที่สามารถทำได้ในตอนนี้