บทที่ 2 ทะลุมิติจริงๆ ใช่ไหม (2/1)
“โอ๊ย! ทำไมปวดหัวจัง” เธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวจี๊ดที่แทบจะระเบิด
“เดี๋ยวก่อนนะ นี่ฉันยังไม่ตาย? ฉันขับรถชนตอม่อตายแล้วนี่น่า ทำไมยังมีเนื้อหนังเหมือนคนปกติแบบนี้ล่ะ”
ก่อนจะมีภาพความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอผุดเข้ามายิ่งกว่าการฉายภาพยนตร์ เธอรู้แน่ชัดแล้วว่าเธอทะลุมิติเข้ามาในร่างของชุยเหมยฮวา ร่างนี้แต่งงานแล้วสามีชื่อเซียวหย่งเสียน แต่งงานเมื่อสามเดือนก่อน เพราะความผิดพลาดบางอย่างจนทำให้ต้องแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก
มีพ่อสามีชื่อเซียวจ้ายซวน และแม่สามีชื่อหลินหลาน ทั้งสองท่านแม้จะรู้ว่าชุยเหมยฮวาร้ายกาจแค่ไหน แต่เมื่อแต่งเข้ามาแล้วก็คือลูกสะใภ้คนหนึ่ง พ่อและแม่สามีจึงดีด้วยไม่น้อย
แต่เพราะความเลวของร่างเดิม พ่อและแม่สามีจึงค่อย ๆ หมดใจ อยากจะทำอะไรก็ทำ ขนาดว่าบ้านแทบไม่มีกินลูกสะใภ้เอาของกลับไปให้แม่เลี้ยงที่บ้านเดิม ท่านทั้งสองคนก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร ยอมกินน้ำข้าวต้มแทน เพราะว่าลูกสะใภ้คนนี้คือลูกสาวของสหายรุ่นน้องที่สนิทและรักไม่ต่างคนในครอบครัว
ส่วนเซียวหย่งเสียนเองก็ไม่พูดอะไร ต่อให้ไม่รักแต่แต่งมาแล้วเขาจึงพยายามทำหน้าที่สามีให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เลว เลวมาก ฉันไม่เคยเห็นใครเลวขนาดนี้มาก่อน มีสามีแต่กลับยังเล่นหูเล่นตากับน้องสามี หากร่างนี้ถึงขั้นนอนแบให้อีตานั่นย่ำยีร่างกาย ฉันจะปาดคอตัวเองตายเสียตอนนี้เลย สรุปแล้วฉันต้องเข้ามาอยู่ในร่างของเธอใช่ไหม ชุยเหมยฮวา”
เธอพูดอย่างปลงตกกับตัวเอง ยังดีที่ต่อให้ร่างนี้ร้ายกาจแค่ไหน แต่ไม่เสียตัวให้คนอื่น ไม่งั้นเธอจะขอปาดคอตัวเองตายอีกครั้งแน่เพราะรับไม่ได้
เมื่อปรับความคิดและได้ความทรงจำมาครบแล้ว ชุยเหมยฮวาที่มีวิญญาณของสุมิตาจึงเดินออกมาสำรวจบ้าน
“โอ้โห นี่ถ้าเข้าหน้าหนาวแล้วหิมะตกหนัก หลังคาจะตกลงมาทับหัวตายอีกรอบแน่ นี่อะไร ข้าวสารกรอกหม้อก็แทบไม่มี อาหารอย่างอื่นก็ไม่เหลือ เฮ้อ...เวรกรรมจริงๆ ที่มีลูกสะใภ้เช่นนี้ เอาว่ะ ในเมื่อมาใช้ร่างนี้แล้วก็ต้องสู้ต่อไป”
เมื่อปรับความคิดและอารมณ์ตัวเองแล้ว จึงคิดว่าควรจะทำอะไรกินดีเพราะทั้งบ้านไม่มีวัตถุดิบให้เธอเลย ก่อนจะเห็นดอกเหมยที่ฝ่ามือ ทำให้เธอคิดว่าตัวเองน่าจะมีมิติเหมือนในนิยายที่เคยอ่านหรือเปล่า จึงหลับตาและตั้งสมาธิเพ่งมอง และแล้วเธอก็เห็นร้านอาหารของตัวเอง มีห้องเก็บของและห้องเย็นด้านหลังร้าน รวมถึงชั้นบนยังเป็นห้องนอนที่เธอใช้ในยุคก่อน
“ดีหน่อยที่มีมิติติดตัวมาด้วย แค่นี้ก็ไม่อดตายแล้ว”
เธอพูดอย่างดีใจ แม้ว่าจะจนหากมีสองมือสองเท้าและไม่ขี้เกียจเธอก็สามารถทำให้ความเป็นอยู่ของทุกคนดีขึ้นได้ ตอนนี้ยังไงก็ไม่อดตายแล้ว ดีหน่อยที่ยังเช้าอยู่ทุกคนยังไม่มีใครกลับมาจากไร่นาในที่ดินทำกิน เธอจึงกล้าที่จะเอาอาหารและข้าวสารรวมทั้งเครื่องปรุงต่างๆ ออกมาไว้ หากใครถาม ก็ค่อยบอกว่าซื้อมาจากอำเภอตอนที่ทุกคนไปทำงานก็แล้วกัน
จากนั้นจึงก่อไฟตั้งหม้อหุงข้าว วันนี้เธอตั้งใจจะทำอาหารเพียงสองสามอย่าง ในเมื่อพ่อแม่และสามีไปทำงานที่ไร่คงจะเหนื่อยไม่น้อย เธอจึงตั้งใจทำอาหารดีๆ ให้กิน
เธอหยิบหมูสามชั้นออกมาและตุ๋นด้วยซีอิ๊ว ก่อนจะใส่เครื่องเทศลงไปเรียกง่ายๆ คือสามชั้นตุ๋นพะโล้ จากนั้นจึงหยิบไก่ออกมาสับและทำแกงไก่อีกหนึ่งอย่าง สุดท้ายคือผัดกะหล่ำปลีใส่กุนเชียง คิดว่าสามอย่างคงพอให้ทั้งสามคนได้กินจนอิ่ม
หลังจากที่ทำทุกอย่างจนเสร็จชุยเหมยฮวาจึงเข้ามิติไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่เพื่อที่จะเอาอาหารไปให้สามีและพ่อแม่สามีที่ไร่ในที่ดินทำกินอันน้อยนิดที่ทางรัฐแบ่งให้ เพราะไม่มีเงินมากพอที่จะขอเช่าซื้อที่ดินเพิ่ม